ตอนที่ 218 ภาพจงรักภักดีต่อประเทศชาติ

ศาลของเยว่เฟยตั้งอยู่ที่หมู่บ้านไป๋หยางเฉียวแห่งจื่อฝางโถวเซียงในอำเภอชาง เริ่มก่อสร้างขึ้นในสมัยเจิ้ง

เต๋อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นประวัติศาสตร์ห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้แล้ว ภายในอารามจัดวางพระพุทธรูปสามศักดิ์สิทธิ์ ตรงกลางคือวีรบุรุษแห่งชาติ เยว่เฟย ทั้งสองท่านด้านข้างคือลูกชายสองคนของเยว่เฟย เยว่อวิ๋นและเยว่เหลย

ตอนที่กลุ่มของหยางโปมาถึง มองเห็นศาลบรรพชนของเยว่เฟยปรับปรุงใหม่ทั้งหมดแล้ว เยว่เหยี่ยนยุ่งวุ่นวายไปหมด เยว่เหยาก็ไม่ได้ไปเรียน ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คนหนุ่นมาช่วยงานเป็นจำนวนมาก มองเห็นเธอต่างก็เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ !”

วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดครบ 900 ปีของเยว่เฟย เพื่อต้อนรับกับวันพิเศษนี้ ชนรุ่นหลังตระกูลเยว่เมื่อหนึ่งปีก่อนก็ได้รวมตัวกันยื่นคำร้องปรับปรุงศาลบรรพชนของเยว่เฟยและก่อสร้างลานศาลบรรพชนของ

เยว่เฟยกับกรมอนุรักษ์วัตถุวัฒนธรรมแล้ว

 

คนหนุ่มที่มารายงานเมื่อวานนั้นยืนอยู่ข้างกายหยางโป เพราะว่าเยว่หมินยุ่งมาก จำต้องจัดการให้ศิษย์คนสุดท้องจี้เฉียงมารับรองเป็นพิเศษ

“เรื่องการซ่อมแซมศาลบรรพชน เป็นการจัดการของท่านอาจารย์มาโดยตลอด ท่านอาจารย์เพิ่งจะเริ่มหาเงินทุน ชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่สายหลักก็อาสาบริจาค สามแสนห้าหมื่นหยวน ใช้เวลาแค่ 6 เดือน งานโครงสร้างหลักและงานซ่อมแซมรูปปั้นในอารามก็เสร็จเรียบร้อย การก่อสร้างในตอนนี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

จี้เฉียงมองผู้คนที่ขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง แล้วเริ่มเอ่ยอธิบายขึ้นมา

“พอบอกว่าบริจาคเงิน ทุกคนก็กระตือรืนร้นเป็นพิเศษ มีผู้เฒ่าอายุ 80 กว่าที่เอาเงินเก็บของตนเองออกมา มีเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบที่เอาเงินใช้จ่ายที่เก็บออมไว้ออกมา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะทำให้บรรพชนผิดหวังไม่ได้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเพื่อหลงเหลือความทรงจำทางประวัติศาสตร์ให้กับลูกหลาน ให้ลูกหลานจดจำความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ”

 

หยางโปได้ฟังก็รู้สึกทั้งหวั่นไหวทั้งประหลาดใจ โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นรอยยิ้มจากใจที่แขวนไว้บนใบหน้าของผู้คนในศาลบรรพชนตระกูลเยว่ เขาก็อดรู้สึกยินดีขึ้นมาไม่ได้

เดินรอบศาลบรรพชนตระกูลเยว่ไปรอบหนึ่ง หยางโปก็สังเกตเห็นภาพวาดที่ตกแต่งไว้ภายในอย่างประณีต บรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญชั่วชีวิตของเยว่เผิงจู่ (อีกชื่อของเยว่เฟย) ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งปรากฏจิตวิญญาณอันจงรักภักดีต่อประเทศชาติไปทั่วทุกที่

หยางโปมองเห็นกระบี่เล่มนั้นที่ตนเองเคยให้เป็นของขวัญวางอยู่ในส่วนจัดแสดงด้านหลัง

กู่ฉางซุ่นมองเห็นภาพฉากเช่นนี้ก็ถอดทอนใจว่า “ในอนาคตถ้าหากมีคนมาตั้งศาลบรรพชนให้ฉันได้ นั่นก็คงเป็นชื่อเสียงดีงามตลาดกาลจริงๆ”

 

เดินอยู่ด้านหน้า จู่ๆ ก็มีเสียงทะเลาะแว่วมา หยางโปเร่งรีบสืบเท้าเข้าไปดู มองเห็นสีหน้าของเยว่เหยี่ยนจริงจัง ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ด้านหน้าตัวเขามีคนสองฝ่ายกำลังทะเลาะอะไรกันอยู่

เยว่เหยี่ยนมองเห็นหยางโปเดินเข้ามาก็เร่งรีบกวักมือให้กับเขา

รอจนหยางโปเดินเข้าไปอีกหน่อย เยว่เหยี่ยนก็เอ่ยแนะนำว่า “หยางโปคือนักประเมินวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงในประเทศ​ เรื่องนี้ให้เขามาตัดสินเถอะ!”

หยางโปมองไปอย่างสับสนงุนงนเล็กน้อย เห็นฝั่งหนึ่งวางภาพภาพหนึ่งเอาไว้ จุดสนใจของทุกคนก็ล้วนอยู่ที่ภาพนี้ แล้วก็อดที่จะมองไปทางทั้งสองฝ่ายอย่างสงสัยไม่ได้

 

“ฉันจะพูด!”

“ฉันจะพูด!”

ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร เยว่เหยี่ยนขมวดคิ้วแล้วตำหนิ “หุบปากให้หมด เยว่ปินพูดก่อน !”

เยว่ปินคือชายวัยสามสิบกว่าปี คางมีไฝเม็ดหนึ่ง “ภาพนี้พ่อของผมนำกลับมาจากอเมริกา ตอนที่ซื้อมาทีแรก คนขายบอกกับพ่อผมเองว่าภาพนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา”

“ที่สำคัญคือ พ่อของผมเพื่อพิสูจน์ว่าภาพนี้เป็นของจริงหรือของปลอมก็ได้ไปประเมินกระดาษมาโดยเฉพาะ ผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่ากระดาษที่ใช้วาดภาพนี้เป็นกระดาษสมัยราชวงศ์ซ่ง อย่าบอกนะว่าแบบนี้แล้วจะยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าภาพนี้เป็นของจริงอีก?”

 

ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกลับคัดค้านเขา แค่นเสียงคำหนึ่ง “ปล่อยให้นายพูดพล่ามไร้สาระ แต่นายไม่รู้ใช่ไหม ภาพนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง ภาพเหมือนกันทุกกระเบียด หรือว่านายคิดจะพูดว่าภาพนั้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นของปลอม?”

“ฉันไม่ได้จะพูดแบบนี้”

ทั้งสองฝ่ายเสียงดังเจี๊ยวขึ้นมา

หยางโปยืนอยู่ด้านข้าง เขาเร่งรีบคำนับ “ทุกคนอย่าทะเลาะกัน ให้ผมดูก่อนนะ!”

กล่าวจบ หยางโปก็เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ถึงได้สังเกตเห็นรายละเอียดของภาพนี้ นี่คือภาพจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ดูจากคำบรรยายแล้วน่าจะเป็นภาพวาดของหวางเมิง จิตรกรชื่อดังสมัยราชวงศ์หยวน

 

จิตรกรหวางเมิงมีชีวิตอยู่ในยุคปลายราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง ในช่วงต้นราชวงศ์หมิงเขาเคยเป็นขุนนางระดับสูงในเมืองไท่อัน ต่อมาเพราะไปเกี่ยวข้องกับคดีของหูเหวยยงจึงตกตายในคุกไป

ตัวของหวางเมิงเองก็เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก และชื่อเสียงของเขายิ่งใหญ่กว่าตาของเขาเล็กน้อย ตาของเขาคือเจ้าเมิ่งฝู่ นักอักษรชื่อดังในสมัยราชวงศ์หยวน สร้างแบบอักษรเจ้าถี่ขึ้นมาด้วยตนเอง

หยางโปจำได้อย่างชัดเจน ภาพนี้ถูกแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นของปลอมสูงมาก แต่ว่าคิดถึงว่าภาพนี้ได้ซื้อกลับมาจากประเทศ​ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หยางโปจึงเริ่มจ้องมองภาพนี้

สองคนที่อยู่ด้านข้าง ยังคงถกเถียงกันไม่รู้จบ

“ภาพนี้พ่อของฉันซื้อกลับมาบริจาคจากต่างประเทศตั้งไกล ฉันจะต้องแขวนภาพนี้ให้ได้”

 

“ไม่ได้ ภาพนี้ต้องเป็นของปลอมแน่ ของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง เมื่อวานฉันเอาเอกสารให้นายดูแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากแขวนภาพปลอมนี้ขึ้นไปจริงๆ ก็ขายหน้าคนตระกูลเยว่เราแล้ว!”

“จะเป็นของปลอมไปได้ยังไง? ฉันก็เอารายงานการประเมินให้นายดูแล้ว ภาพนี้เป็นภาพของหวางเมิง เป็นงานของเขาจริงๆ!”

“จะไม่ใช่ของปลอมไปได้ยังไง อย่าบอกนะว่าบนโลกนี้ยังมีภาพที่เหมือนกันทุกกระเบียดได้?”

….

เยว่เหยี่ยนยืนอยู่ด้านหนึ่งและก็ไม่ได้ห้ามการทะเลาะของทั้งสองคน แต่กลับส่งสายตามาทางหยางโป

หยางโปได้ยินการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขาทั้งสองคน ประกายแสงตรงหน้าก็วาบขึ้น ประกายแสงรวมตัวกัน ไม่นานก็ก่อร่างเป็นลำแสง!

 

หยางโปประหลาดใจขึ้นมา เพราะว่าเขาถึงกับพบยุคสมัยที่วาดภาพนี้นั้นเป็นยุคต้นราชวงศ์หมิง!

ภาพนั้นในเชินเฉิง หยางโปไม่เคยเห็นกับตาของตัวเองเลย ทว่าความเป็นไปได้ที่ภาพนั้นจะเป็นของจริงนั้นเป็นไปได้มาก ถ้าหากตอนนี้หยางโปบอกว่าภาพตรงหน้านี้เป็นของจริง ภาพในพิพิธภัณฑ์เป็นของปลอม ทุกคนก็จะต้องสงสัยว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ!

เยว่เหยี่ยนมองเห็นหยางโปยิ่งนิ่งไม่พูดจา ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “หยางโป เป็นยังไงบ้าง?”

หยางโปส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยคำ

“นายพูดมาตามตรงๆเถอะ ฉันคิดว่าพวกเขายอมรับได้” เยว่เหยี่ยนกล่าว เขาร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเพราะว่าเรื่องนี้แล้วต้องยื้ดเยื้อออกไป เขาก็เป็นคนบาปของตระกูลเยว่แล้ว!

 

“ผมขอดูอีกที” หยางโปกล่าว เขาไม่กล้ายืนยัน ถึงขนาดไม่กล้าให้บทสรุปไปโดยง่าย

ตาอ้วนหลิวเดินเข้ามาอย่างประหลาดใจมาก เขาเอ่ยถามเสียงเบากับหยางโปว่า “เป็นยังไง?”

หยางโปส่ายหน้า “คุณลองมาดูสิ”

ตาอ้วนหลิวดูอยู่ครู่นึงแล้วก็ส่ายหน้าอย่างประหลาดใจ เขาก็ไม่กล้าให้บทสรุป เพราะว่าภาพนี้อ้างอิงจากลักษณะเฉพาะในผลงานของหวางเมิงแล้ว ถึงขนาดแทบไม่แตกต่างกับภาพนั้นที่อยู่ในเชินเฉิงเลย

ตาอ้วนหลิวกล่าว “ภาพนี้ถึงกับเหมือนกันทุกกระเบียด ภาพนี้น่าจะเป็นของจริงนะ”

“ภาพนั้นในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นของปลอมเหรอ?” อีกคนหนึ่งเอ่ยค้าน

ตาอ้วนหลิวมองหยางโป “เรื่องนี้…”

 

“ภาพนี้น่าจะเป็นของจริง!” หยางโปถูกประโยคหนึ่งของตาอ้วนหลิวเรียกสติ ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา

คนผู้นั้นไม่ยอมปล่อย “ถ้างั้นความหมายที่จะนายจะบอกก็คือ ผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงล้วนตาบอด ใช้ของปลอมภาพหนึ่งมาหลอกลวงประชาชนทั้งประเทศเหรอ?”

หยางโปส่ายหน้า “ผมไม่ได้จะพูดแบบนี้”

“ก็นายหมายความแบบนี้!”

“แล้วถ้าผมพูดว่าทั้งสองภาพนี้เป็นของจริงล่ะ?”

หยางโปกล่าวออกไปหนึ่งประโยค รอบด้านพลันเงียบสนิท ทุกคนต่างก็ตกใจจนสะดุ้ง