กองกำลังทั้งหมดเดินทางมุ่งตรงเข้าไปในเทือกเขาชีชง
อากาศในบริเวณรอบ ๆ ชื้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตนเองนั้นมีไอน้ำเกาะเป็นจำนวนมาก มู่เฉียนซีได้กลิ่นอายที่แปลกประหลาดนี้ก็รู้ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาถึงตัวแล้ว
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
สิ่งมีชีวิตบางอย่างผสานเป็นสีเดียวกันกับใบไม้แยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่พวกเขา
— ตูม! —
กลุ่มของหุบเขาหมอเทวดานั้นเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาชักกระบี่ยาวออกมาโต้กลับอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็ลงมือเช่นกัน
— ปัง! ปัง! ปัง! —
— ฟิ้ว! —
เจ้าสิ่งนี้ไปไวมาไวราวกับสายลม หลังจากที่ตอบโต้พวกมันกลับไป พวกเขาก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
— ฟึ่บ! —
มันโจมตีเข้ามาอีกครั้ง
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว นางรีบโบกมือส่งเข็มยาเข็มหนึ่งพุ่งออกไปปักเข้าที่ท้องของมัน
“จี๊ดดดดดด!” เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา พวกเขาหลายคนได้ยินสิ่งที่ลอบโจมตีพวกเขาอย่างชัดเจน
ครู่หนึ่ง สีหน้าของทุกคนรอบ ๆ พลันซีดเผือด “หนูป่าปีศาจ บัดซบแล้ว! พวกเราบุกเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันได้อย่างไรกันนี่ ?”
“รีบหนีเร็วเข้า! เข้ามาในอาณาเขตของหนูป่าปีศาจมีหวังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่”
ความโกลาหลวุ่นวายบังเกิด หนูป่าปีศาจลอบโจมตีพวกเขาตลอดแนว
กำลังของหนูป่าปีศาจเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกมันเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันสามารถบินได้ อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับต้นไม้ใบหญ้าได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถพบต้นตอของพวกมันได้
“อ๊าก!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนึ่งในกลุ่มก็โดนหนูป่าปีศาจเหล่านี้โจมตีจนกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
แต่แน่นอนว่าเหล่าบรรดาหนูป่าปีศาจเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ยงคงกระพัน พวกมันโดนคนของหุบเขาหมอเทวดาเล่นงานกลับอย่างอนาถเช่นกัน
— ฉึบ! ฉับ! ฉัวะ! —
กระบี่ยาวตัดผ่านอากาศ ฟาดฟันไปที่ปีกของพวกมัน
— พลั่ก! —
ทุกคนมองไปที่พวกเขาอย่างตะลึงงัน
“พลังจิตของคนกลุ่มนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก สมกับเป็นศิษย์สำนักระดับสองโดยแท้”
หากมีพลังจิตที่แข็งแกร่งพอ หนูป่าปีศาจเหล่านี้ก็ไม่สามารถบดบังตัวได้ คนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักปรุงยาทั้งสิ้น พลังจิตจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรกันเล่า ?
แต่การใช้พลังจิตในการเพ่งเล็งหนูป่าปีศาจเหล่านี้ทำให้พวกเขาสูญเสียพลังจิตไปมาก ต่อให้พวกเขาเป็นนักปรุงยา แต่ภายใต้หนูป่าปีศาจจำนวนมากมายเช่นนี้พวกเขาก็หนักใจเหลือเกิน
ทว่ามู่เฉียนซี นางชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาฟาดฟันหนูป่าปีศาจอย่างง่ายดาย นางเดินไปข้าง ๆ เฟิงหลิงอวิ๋นและกล่าวขึ้น “ผู้นำหลิงอวิ๋น หากเชื่อข้าก็ถอยมากับข้าเถอะ”
“ได้”
ผู้นำกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นโบกมือเพื่อบอกสมาชิกในกลุ่มนักผจญภัยของเขา จากนั้นก็เดินตามมู่เฉียนซีมุ่งไปยังเส้นทางที่มีหนูป่าปีศาจน้อยที่สุด
อันที่จริงคนของหุบเขาหมอปีศาจสังเกตเห็นก่อนหน้านี้แล้วว่าจะต้องไปทางนั้น พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนชิงมุ่งหน้าไปทางนั้นก่อน …มันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ หรือเป็นเพราะหนึ่งในกลุ่มพวกที่ชิงมุ่งไปทางนั้นมีคนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่กันแน่
ดวงตาของศิษย์พี่สามแห่งหุบเขาหมอปีศาจเปล่งแสงเย็นวาบ เมืองที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้จะมีผู้มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าพวกเขาได้อย่างไรกัน
“ฆ่ามัน!”
การต่อสู้ที่ดุเดือดในครั้งนี้ กลุ่มนักผจญภัยเฮยฉีได้ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด ส่วนสำนักย่อยของสำนักนักอวิ๋นเยียนมีผู้อาวุโสเจ็ดอยู่ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
เพียงแต่… หนูป่าปีศาจที่มากล้นเช่นนี้ ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที
เฟิงหลิงอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงขรึมเข้ม “ต้องตีฝ่าวงล้อมนี้ออกไปให้ได้ มิเช่นนั้นพวกเราต้องโดนหนูป่าปีศาจบัดซบนี่ฝังตายทั้งเป็นแน่!”
เฮยฉีกล่าวเย้ยหยันขึ้นว่า “หนูป่าปีศาจล้อมทั้งแปดทิศเช่นนี้จะตีฝ่าวงล้อมไปได้อย่างไรกันเล่า ? เจ้าเป็นเกราะป้องกันก็ตีฝ่าไปก่อนเซ่!”
ทางด้านมู่เฉียนซี ถึงแม้ว่าทางด้านของพวกนางจะมีหนูป่าปีศาจอยู่น้อย ทว่าถึงอย่างไรแล้วสมาชิกในกลุ่มก็ไม่อาจรับมือกับหนูป่าปีศาจเหล่านี้ได้ แต่มู่เฉียนซีนางกลับมีวิธีรับมือ
มีศัตรูผู้แข็งแกร่งอยู่ด้วยเช่นนี้ หากเปิดเผยไพ่เด็ดออกไปมากจะเป็นการเสียท่า
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “อู๋ตี้ ในฐานะที่เจ้าเป็นแมวตัวหนึ่ง รีบออกมาจับหนูเล่นเถอะ”
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานหนึ่งเดียวในใต้หล้า มาแล้ว! เจ้าพวกหนูน่ารังเกียจจงถอยไปให้หมดซะ”
แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น เจ้าแมวอู๋ตี้สีขาวราวหิมะสะบัดหางปุยออกมาอย่างน่ารัก
“เมี๊ยว!” เสียงร้องของมันทำเอาสนามต่อสู้อลหม่านขึ้นได้ไม่น้อยเลย
ร่างของเหล่าบรรดาหนูป่าปีศาจสั่นสะท้านราวกับพวกมันเจอศัตรูที่ยิ่งใหญ่ก็มิปาน พวกมันพากันวิ่งหนีไปทันที สถานการณ์ที่อลหม่านนี้ก็ได้คลี่คลายลง
ทุกผู้คนตะลึงลานเมื่อสายตามองไปที่เจ้าเด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวผู้งดงามที่กำลังก้มลงอุ้มเจ้าแมวน้อยขนปุยสีขาวขึ้นมา หลายคนยังคงขมวดคิ้วเพราะไม่นึกว่าหนูป่าปีศาจที่ดูโหดร้ายเหล่านี้จะกลัวแมวตัวเล็ก ๆ หากรู้ก่อนหน้านี้พวกเขาคงจะซื้อแมวมาหลาย ๆ ตัวแล้ว
เจ้าแมวน้อยขนปุยสีขาวนี้ดู ๆ ไปแล้วไม่มีพลังในการต่อสู้เลย มันดูไม่ต่างอะไรกับสัตว์วิญญาณระดับหนึ่ง แต่กลับทำให้หนูป่าปีศาจกลัวจนหัวหด วิ่งหนีออกไปอย่างสุดชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม คนของหุบเขาหมอเทวดาไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยปากขอบคุณ พวกเขากล่าววาจาดูถูกเหยียดหยามแทน
“คนอย่างเจ้าสามารถทำพันธสัญญากับลูกแมวตัวแค่นี้ได้ด้วยรึ ? อืม แต่เจ้าก็ทำให้หนูป่าปีศาจกลัวจนวิ่งหนีออกไปได้ ในฐานะที่เจ้าได้ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม จงเอาสัตว์พันธสัญญาของเจ้ามา พวกเราจะหาวิธีทำให้มันแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ให้เอง”
สัตว์ธรรมดาไม่อาจจะไล่หนูป่าปีศาจไปได้อย่างแน่นอน เจ้าแมวตัวนี้ดูเหมือนว่าไม่มีพลังในการต่อสู้แม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกว่าเจ้าแมวตัวนี้เป็นแมวที่พิเศษกว่าตัวอื่น รอให้ได้มาครอบครองเสียก่อน เขาจะทำการพิสูจน์อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกอดอู๋ตี้ไว้แน่น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น อู๋ตี้ของข้าเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น”
คนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้ชอบทำตัวอวดเก่งหยิ่งผยองเสียจริง ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
เมื่อได้ยินนายท่านชื่นชมยกย่องเช่นนี้ อู๋ตี้ก็กระดิกหางฟูด้วยความชอบใจ เสี่ยวหงเห็นเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวโจมตี “เจ้าแมวโง่! เจ้าจะดีใจไปทำไมกันเล่า นายท่านก็เพียงกล่าวหลอกลวงคนโง่พวกนั้นเจ้าไม่รู้รึ ?”
เจ้าสำนักอวิ๋นปู้หลัว “คุณชายมู่ คุณชายผู้นี้เป็นถึงนักปรุงยาระดับสูง ต้องช่วยคุณชายมู่ได้แน่ เหตุใดคุณชายถึงปฏิเสธตัดน้ำใจเช่นนี้หรือ ?”
อวิ๋นปู้หลัวรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ เขาอยากจะได้รับโอกาสดี ๆ เช่นนี้บ้างแต่กลับไม่มีเลย
มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่เป็นไร อู๋ตี้ขี้กลัว มันไม่ชอบอยู่กับคนอื่น”
ใบหน้าของศิษย์พี่สามหม่นลงไม่น้อย ก่อนหน้านี้มีแต่คนมาขอให้เขาช่วย แต่ตอนนี้เขายื่นมือจะช่วย ไม่นึกเลยว่าจะมาถูกปฏิเสธ แต่ต่อหน้าผู้คนมากมาย แน่นอนว่าเขาไม่กล้าหาเรื่องแต่อย่างใด ถึงอย่างไรศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาก็ได้ชื่อว่าเป็นนักปรุงยาที่มีหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ในใต้หล้า
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการก็ช่างเถอะ รีบเดินทางต่อดีกว่า”
ในเมื่ออู๋ตี้ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคนแล้ว มู่เฉียนซีจึงให้มันออกมาสูดอากาศเดินเล่นข้างนอก แต่ทุกครั้งที่มันหันไปเห็นใบหน้าของเหล่าบรรดาคนของหุบเขาหมอเทวดาเจ้าเล่ห์เหล่านั้นแล้ว มันก็แทบอดใจไม่ไหว อยากจะเอากรงเล็บอันแหลมคมไปข่วนหน้าพวกนั้นเสียจริง
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอดทนเอาไว้ นายท่านกำชับมาแล้วว่าอยู่ในเทือกเขาชีชงที่อันตรายเช่นนี้ มีพวกเขาร่วมทางด้วยจะดีกว่า เพื่อให้พวกเขาป้องกันอันตรายที่เข้ามา อย่าเพิ่งลงมืออะไรเด็ดขาด
รอให้หาเป้าหมายเจอก่อน ถึงตอนนั้นจะลงมือก็ไม่สาย หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นก็ค่อยจับพวกเขาเอาไว้ จากนั้นจะทำอะไรกับพวกเขาก็ย่อมได้
กว่าจะจัดการกับหนูป่าปีศาจนั้นได้ไม่ง่ายเลย ทุกคนคิดว่าจะเดินทางต่อกันอย่างสงบ แต่ในเวลาต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง
— ตูม! ตูม! ตูม! —
สัตว์วิญญาณในบริเวณนี้ก่อจลาจลขึ้นอีกคราแล้ว สัตว์วิญญาณและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังพุ่งเข้ามา
เฟิงหลิงอวิ๋นตะโกน “คุณชายมู่ มากับข้า!”
การจลาจลครั้งนี้โหดร้ายและรุนแรงอย่างมาก ทำให้ทุกคนตกใจและวิ่งหนีแยกย้ายกันไป
มู่เฉียนซีตะโกนบอกเฟิงหลิงอวิ๋น “ผู้นำหลิงอวิ๋นไม่ต้องเป็นห่วงข้า ระวังตัวด้วย”
มู่เฉียนซียัดซองผงยาให้กับอู๋ตี้ขณะที่แววตาเยาะเย้ยปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “อู๋ตี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าก็อดทนมานานแล้ว สหายจากหุบเขาหมอเทวดาอุตส่าห์มาเยือนเราจากแดนไกล พวกเรามอบของขวัญให้พวกเขาสักหน่อยเป็นอย่างไร ?”
.