ตอนที่ 16 งั้นคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายในชีวิตเจ้า

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงสามวันมานี้จี้เทียนซิงไม่ได้ออกจากสกุลจี้แม้เพียงครึ่งก้าว เขาเอาแต่ฝึกยุทธ์อยู่ในห้องลับ

 

เขามีบาดแผลกระบี่ที่หลังและต้นขา ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง  แต่อาการบาดเจ็บทางกายก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการฝึกสมาธิและไม่ได้ทำให้การฝึกพลังปราณควบแน่นปราณกระบี่ล่าช้าลงแต่อย่างใด

 

3 วันที่แล้วเขากรุยจุดชีพจรได้ 6 เส้นทางแล้ว หลังจากพยายามอย่างหนักอยู่ 3 วัน  ในที่สุดเขาก็ควบแน่นปราณกระบี่อีก 6 เส้นที่เหลือได้สำเร็จ !

 

ตอนนี้เท่ากับว่าเขาประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณกระบี่ที่จุดชีพจรทั้ง 12 เส้นทางแล้ว  เขาสามารถทดลองควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงต้องยอมแพ้หลังจากทดลองไปแล้วถึง 9 ครั้งภายในวันเดียว เพราะเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการควบแน่นตัวอ่อนกระบี่

 

ในทุกๆครั้งที่เขาปรับแต่งปราณกระบี่เข้าสู่เส้นชีพจรและเคลื่อนมันไปที่ตันเถียน  เส้นชีพจรดูเหมือนจะถูกตัดขาดและก่อให้เกิดความเจ็บปวดอยู่ร่ำไป

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมด แม้ว่าปราณกระบี่จะถูกควบแน่นสำเร็จทั้ง 12 สายแล้วก็ตาม  แต่การที่ไร้ซึ่งตันเถียนไว้กักเก็บพลังจะทนทานต่อปราณกระบี่เหล่านั้นได้อย่างไร ?

 

จี้เทียนซิงยังคงดื้อรั้นและพยายามต้านความเจ็บปวด  เขายืนยันที่จะอดทนอย่างแน่วแน่อยู่เป็นเวลานานจนเสื้อผ้าทั้งร่างถูกแช่ไปด้วยเหงื่อเย็น

 

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

เขากลับไปที่ห้องและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน จากนั้นก็ไปที่หอฝึกยุทธ์

 

ในห้องโถงหลักของหอฝึกยุทธ์ เขาได้ลองทดสอบระดับความแข็งแกร่งด้วยหินวิญญาณอีกครั้ง

 

ผลที่วัดได้กลับทำให้เขาทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นมาก เขาก้าวมาถึงระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 !

 

ในเวลาเพียงสามวันระดับพลังของเขาก็ขึ้นจากปรับแต่งกายาขั้นที่ 6 ไปถึงขั้นที่ 9 ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์น่าตกใจอะไรเช่นนี้ ?!

 

อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็สามารถกลับเข้าสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง !

 

หลังจากข่มความตื่นเต้นยินดี จี้เทียนซิงก็กลับไปที่จวนของตนเอง และนั่งทำสมาธิอยู่ภายในห้อง

 

*“*หมายความว่า วิถีใจกระบี่ขั้นแรกนั้นสอดคล้องกับระดับปรับแต่งกายาของวิถียุทธ์ทั่วไปนี่เอง….”

ดังนั้น เมื่อใดที่ข้าควบแน่นปราณกระบี่สิบสองสายเข้าสู่ชีพจรจนตั้งครรภ์ตัวอ่อนกระบี่ได้ ข้าก็จะไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง  แสดงว่าตัวอ่อนกระบี่ก็เปรียบดั่งตันเถียนใช่ไหม…. ?**”

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง ฮวนเอ๋อก็เคาะประตูแล้วเข้ามารายงานว่า

“คุณชายใหญ่คะ คุณชายจี้ห่าวกำลังรอพบท่านอยู่ เขารออยู่ที่สวน”

 

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นทันทีและดวงตาเปล่งประกายเฉียบคม

จี้ห่าวมาขอพบข้า?”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับฮวนเอ๋อว่า “บอกให้เขาเข้ามา”

 

ฮวนเอ๋อโค้งคำนับและปฏิบัติตามที่จี้เทียนซิงบอก จากนั้นไม่นานจี้ห่าวก็เดินเข้ามาในห้อง

 

วันนี้เขาแต่งตัวในชุดผ้าหรูหราและรวบมัดผมเผ้าเป็นอย่างดี ร่างกายของเขามีกลิ่นดอกไม้และพืชพรรณจางๆซึ่งทำให้เขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

 

จี้เทียนซิงนั่งที่โต๊ะและจิบชา เขาจ้องไปที่ตาของอีกฝ่ายแล้วถามว่า “น้องสอง เจ้ามีเรื่องอะไร ทำไมถึงแต่งหล่อเช่นนี้เล่า ?”

 

จี้ห่าวเดินมาที่โต๊ะด้วยรอยยิ้มและหยิบซองสีแดงจากแขนเสื้อหลวมกว้างวางไว้หน้าจี้เทียนซิง “พี่ใหญ่ ข้าเพิ่งได้รับคำเชิญจากองค์ชายน้อย  องค์ชายน้อยเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำที่วังวิญญาณเพลิงในคืนนี้  พระองค์ได้เชิญหนุ่มสาวผู้มีความสามารถและมีพรสวรรค์มาร่วมรับประทานอาหารค่ำ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชี้แนะกัน”

“พี่ใหญ่ คืนนี้ไปด้วยกันเถอะ !”

 

จี้เทียนซิงรู้ดีว่าองค์ชายน้อยที่จี้ห่าวกล่าวถึงเป็นใคร เขาคือองค์ชายคนเล็กของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน, องค์ชายลั่วหยาน จี้หลิง

 

ว่ากันว่าองค์ชายผู้นี้ตันเถียนได้รับความเสียหายแต่กำเนิดและไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณได้

 

เพราะฉะนั้นองค์ชายคนเล็กผู้นี้จึงติดอยู่ที่ระดับปรับแต่งกายาไปชั่วชีวิต

 

ทว่า สวรรค์กลับยุติธรรมต่อองค์ชายผู้นี้ แม้จะไร้ซึ่งคุณสมบัติในเชิงยุทธ์และไม่มีวันเป็นผู้บ่มเพาะพลังได้ แต่สวรรค์กลับมอบสติปัญญาและความเป็นจ้าวแผนการให้แก่เขา จนได้ชื่อว่าสุภาพบุรุษหน้าหยกผู้อ่อนโยน

 

ในช่วงเวลาหนึ่ง จักรพรรดิได้มอบตราประจำตระกูลราชวงศ์เพื่อให้องค์ชายจี้หลิงปกครองรัฐหยานโจวและลั่วโจว

 

และพระนามราชาลั่วหยานก็มีที่มาจากเหตุการณ์นี้

 

ระหว่างทั้งสองรัฐมีอาณาเขตประมาณ 2000 ไมล์ และมีประชาชนในปกครองถึง 50 ล้านคน มีบ่อยครั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านได้เข้ามารุกราน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากองค์ชายจี้หลิงได้เข้าปกครองทั้งสองรัฐ เขาใช้เวลาเพียงสองปีในการควบคุมเบ็ดเส็ดตลอดจนสามารถป้องกันการรุกรานของประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์ !

 

เป็นที่เห็นชัดเจนว่า องค์ชายจี้หลิงมีสติปัญญาและกลยุทธ์มากเพียงใด

 

นอกเหนือจากสติปัญญาอันชาญฉลาดและกลยุทธ์แล้ว องค์ชายจี้หลิงยังเป็นที่รู้จักกันดีในรัฐนภากระจ่าง

 

เขาให้ความสำคัญกับประชาชนโดยคำนึงถึงความทุกข์ยาก อีกทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำใจ  ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือข้ารับใช้ล้วนแต่ชื่นชอบและเทิดทูนในตัวองค์ชายผู้นี้เป็นอย่างสูง

 

ในสายตาของชาวรัฐนภากระจ่าง องค์ชายน้อยจี้หลิงเป็นสุดยอดสุภาพบุรุษผู้สมบูรณ์แบบและเป็นดั่งเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ในฝันของสตรีหลายพันคน

 

ในทุกๆปี องค์ชายจี้หลิงจะเป็นเจ้าภาพในการจัดเลี้ยงประตูมังกรที่วังวิญญาณเพลิง เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับเยาวชนที่มีความสามารถของรัฐนภากระจ่าง

 

ในงานเลี้ยงนี้ไม่เพียงแค่จะมอบโอกาสให้เหล่าบรรดาอัจฉริยะในการแลกเปลี่ยนชี้แนะ แต่ยังดึงดูดผู้มีความสามารถของรัฐนภากระจ่างเพื่อสร้างเกียรติยศในงานเลี้ยงประตูมังกรอีกด้วย

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ในรัฐนภากระจ่างจึงเต็มไปด้วยความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในงานเลี้ยงประตูมังกร

 

จี้เทียนซิงเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ว่านี้เพียงครั้งเดียวเมื่อสองปีก่อนและไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย

 

ในช่วงเวลานั้นเขามีชื่อเสียงโด่งดังในนามอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิ เขาไม่ได้มองว่าเหล่าเยาวชนผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นเป็นคู่มือและไม่เคยสนใจที่จะแลกเปลี่ยนชี้แนะกับใครเลย

 

ต่อมา องค์ชายจี้หลิงได้ส่งคำเชิญถึงเขาอีกสองครั้งในแต่ละปีที่ผ่าน  แต่เขาก็ไม่ได้ไปทั้งสองครั้ง

 

นับจากนั้นมาองค์ชายจี้หลิงก็ไม่ได้เชิญเขาอีกต่อไป

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จี้เทียนซิงเพียงมองบัตรเชิญบนโต๊ะและกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “น้องสอง เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบบรรยากาศของงานเลี้ยงประตูมังกร สองปีที่ผ่านมา องค์ชายน้อยส่งคำเชิญมา ข้าก็ไม่เคยไปเลยสักปี นอกจากนี้ องค์ชายจี้หลิงก็เพียงเชิญแค่เจ้าเท่านั้น ไม่ได้เชิญข้า”

 

อารมณ์ของจี้ห่าวดูตื่นเต้นยินดีอย่างมาก และพยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วว่า “พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบงานเลี้ยงประตูมังกร แต่ว่าคืนนี้มันไม่เหมือนปีก่อนๆ !”

“ข้าได้ยินมาว่างานเลี้ยงประตูมังกรปีนี้จะมีคนของนิกายหนุนสวรรค์มาชี้แนะด้วย แถมพวกเขาจะอยู่ที่นั่นในคืนนี้”

 

เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง จี้ห่าวก็ร่ำร้องอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ ข้าทราบเสมอมาว่าความฝันของท่านคือการได้เป็นศิษย์นิกายหนุนสวรรค์  แต่โชคไม่ดีที่ในการทดสอบเบื้องต้นในวันนั้นท่านไม่ผ่าน… ”

“ความแข็งแกร่งของท่านถดถอยแต่ประสบการณ์ในเชิงยุทธ์ของท่านยังคงอยู่  หากท่านเข้าร่วมงาน บางทีคนของนิกายหนุนสวรรค์อาจจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากตัวท่านก็เป็นได้ใช่ไหมเล่า ?”

 

จี้เทียนซิงยังคงเงียบและไม่เอ่ยอะไร แต่ในใจของเขากลับปรากฏวงหน้าอันงดงามของหยุนเหยาและศิษย์ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนของนิกายหนุนสวรรค์

หรือว่าพวกเขาจะมาที่เมืองจักรวรรดิเพื่อเรื่องนี้กันนะ?**”

จี้เทียนซิงคาดการณ์อย่างลับๆในใจว่างานเลี้ยงประตูมังกรคืนนี้ย่อมมีอะไรลึกลับบางอย่าง…

 

เมื่อนึกถึงเท้าที่เหยียบย่างบนกระเรียนวิญญาณที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และนางฟ้าในชุดขาวผู้งดงาม  ชายหนุ่มก็รู้สึกช่วยไม่ได้นอกจากพยักหน้าและตกลง

“ก็ได้ งั้นคืนนี้ข้าจะไปกับเจ้า”

 

เมื่อจี้ห่าวได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับคำ เขาก็ยิ้มด้วยความยินดี

“พี่ใหญ่ ท่านทำถูกแล้ว ! ข้ารู้ว่าท่านต้องตกลง !”

 

จากนั้นจี้ห่าวก็นัดแนะกับจี้เทียนซิงอีกเล็กน้อยและอำลาออกจากห้องไป

 

 

……

 

ภายในลานเล็กๆบ้านตระกูลหลิง

 

หลิงหยุนเฟยสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และอ่านคัมภีร์ที่ดูเก่าแก่โบราณอยู่เล่มหนึ่ง

 

ทันใดนั้นเอง นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งก็บินเข้าไปในลานและหยุดยืนลงบนโต๊ะหินตรงหน้านาง

 

หลิงหยุนเฟยวางหนังสือโบราณลงและเดินไปดูที่นกพิราบด้วยรูปลักษณ์ที่งงงวย  นางยื่นมือออกไปเพื่อปลดท่อทองแดงออกจากขาของนกพิราบ

 

มีกระดาษม้วนเล็กๆอยู่ในท่อทองแดง เมื่อนางเปิดกระดาษมาดูก็พบว่าไม่ได้ลงชื่อผู้ส่งสาสน์เอาไว้เพียงมีข้อความเขียนไว้ว่า

 

จี้เทียนซิงจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่วังวิญญาณเพลิงคืนนี้

หลิงหยุนเฟยเลิกคิ้วขึ้นในทันใด และดวงตาคู่งามก็แสดงออกถึงท่าทีเย้ยหยันและจิตสังหาร

ฮึๆ งั้นคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของชีวิตเจ้า