ตอนที่ 321

The Divine Nine Dragon Cauldron

ยุ่งเรื่องของคนอื่น

ปั่ก–

 

ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือภาพตู่หลงที่คุกเข่าต่อหน้าซือหยู

 

ทั้งสองมือและหน้าผากของเขาสัมผัสกับพื้นดิน เขาพูดอย่างจริงใจ

 

“ข้ารู้ว่าข้าไม่มีสิทธิ์จะขอความอภัยจากท่าน ข้าจะรับใช้ท่านไปสามปี โปรดไว้ชีวิตเขาเถอะ!”

 

บุรุษที่แท้จริงไม่คุกเข่าให้ใครง่ายๆ

 

ตู่หลงคือนายน้อยคนก่อนของตระกูลตู่ และยังเป็นหัวหน้าลำดับสองของโจรสลัดวารีทมิฬ เขาเคยมีตำแหน่งใหญ่โตเหนือว่าผู้คนมากมาย และเขาก็ยังมีคนที่เคารพนอบน้อม

 

แต่ในตอนนี้ เขาคุกเข่าต่อหน้าซือหยูและขอร้องให้ซือหยูยกโทษให้คนในตระกูลที่เขาไม่คุ้นหน้า

 

ซือหยูตกใจ

 

“มันคุ้มค่ากันรึ? พวกนั้นจำนายน้อยตระกูลไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”

 

ตู่หลงกลับตระกูลตู่ไม่ได้อีกแล้ว

 

ตู่หลงหัวเราะเยาะตัวเอง

 

“ข้าละอายใจเกินกว่าจะกลับตระกูลตู่ แต่ข้าก็ยังมีสายเลือดของตระกูลตู่”

 

“ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกหลานของตระกูลตู่มาเป็นสิบปีแล้ว ข้าละอายเกินกว่าจะกลับไป ข้าขอร้องให้ท่านเอาข้าไปรับใช้เสียสามปี ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนในตระกูลข้าสืบเชื้อสายต่อไป ได้โปรดเถอะท่านเจ้าตำหนัก ได้โปรดรับฟังคำขอของข้าด้วย!”

 

ตู่หลงคุกเข่าอีกครั้ง

 

เสียงหน้าผากกระแทกพื้นดังลั่น

 

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับขยะที่มิอาจกลับตระกูลจะทำเพื่อตระกูลได้

 

บุรุษยังคงอยู่ได้หากไร้หัวใจ แต่จะต้องตายหากไร้รากเหง้า

 

จิ้งจองตายด้วยใบหน้าที่หันเข้าหารัง แล้วจะต่างอะไรกับเขา?

 

ซือหยูลดมือลงช้าๆ เขาหันออกมาอย่างเงียบเชียบ

 

“ไปกันเถอะ นี่จะมีครั้งเดียวเท่านั้น”

 

ตู่หมิงฮั่วจ้องตู่หลงที่คุกเข่าและพูดด้วยเสียงแหบพร่า

 

“ท่านคือนายน้อยตู่หลงงั้นรึ?”

 

ตู่หลงยืนขึ้นช้าๆ เขาหันหลังให้ตู่หมิงฮั่ว

 

“เจ้ายังไม่คิดจะหนีไปอีกรึ?”

 

ตู่หมิงฮั่วตาเป็นประกาย เขารีบหนีด้วยความยากลำบาก

 

“เจ้าก็ไปได้เหมือนกัน”

 

ซือหยูพูด

 

“เจ้ากับข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามารับใช้ข้าสามปี”

 

ซือหยูนับถือคนที่ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์อย่างสูงส่งเช่นนี้

 

ตู่หลงหัวเราะเยาะตัวเอง

 

“ร่างกายกับฐานพลังของข้าพิการไปแล้ว แต่หัวใจของข้าก็ยังคงเต้นอยู่ ตู่หลงผู้นี้ไม่เคยคืนคำ”

 

ซือหยูมองเขาอย่างลึกซึ้งและถอนหายใจ

 

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง”

 

ซือหยูพูดจบและกลับไปยังบนเวทีประมูล

 

เขายังไม่ได้จัดการเรื่องของคนทรยศตำหนักเฉินเทียน…เกาคัง!

 

แต่เกาคังก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว

 

เขาจะต้องหนีไปในตอนที่ซือหยูกำลังสู้อยู่เมื่อครู่

 

ดวงตาซือหยูเปล่งประกายแสงอันเย็นชา ดวงตานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

“ข้าบอกว่าข้าจะฆ่าเจ้าวันนี้ ไม่ว่าใครจะปกป้องเจ้ามันก็เปล่าประโยชน์!”

 

ซือหยูมองไปยังห้องพิเศษที่มีฮั่นเจียงหลินอยู่ แต่เขาก็พบเพียงแค่ฮั่นเจียงหลินกับสตรีอายุสามสิบอยู่ที่นั่น

 

เกาคังได้เป็นศัตรูกับรองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผย ดังนั้นฮั่นเจียงหลินจึงไม่ออกตัวเพื่อปกป้องเกาคัง

 

อย่างที่เขาคิด เกาคังหนีออกไปแล้ว ถ้าซือหยูจากไป เขาจะกลับมารวมตัวกับฮั่นเจียงหลินอีกครั้ง

 

แต่ทุกแห่งในที่ประมูลนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เขาทำได้แค่หนีออกไปข้างนอก!

 

ฟึ่บ–

 

ซือหยูพุ่งทะลุหลังคอและบินขึ้นสูงในพริบตา เขาใช้พลังดวงตา ระยะร้อยห้าสิบลี้อยู่ในการควบคุมของเขา

 

หลังจากที่มองผ่านรอบๆไปแล้วเขาก็เห็นคนที่บาดเจ็บสาหัสปะปนอยู่กับผู้คน เขาสะท้อนในแววตาของซือหยู

 

“ตามข้ามา!”

 

ซือหยูหันกลับไปตะโกนเบาๆ ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงบินตามเขา

 

ในห้องพิเศษ

 

ปั้ง—

 

เอ้าอี้ไม้ที่ฮั่นเจียงหลินนั่งกลายเป็นฝุ่นผงกระจายทั่วห้อง

 

เขากำหมัดแน่นพร้อมกับจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่เต็มดวงตา

 

ซือหยูชิงธนูเงินของเขาไปและยังไล่ล่าศิษย์ของเขาเพื่อที่จะสังหาร!

 

เมื่อคิดถึงความชิงชังที่เขามีเมื่อซือหยูฆ่าลูกชาย ฮั่นเจียงหลินอยากจะฉีกซือหยูให้เป็นชิ้นๆ

 

แต่เขาก็โจมตีอย่างเปิดเผยไม่ได้

 

“ยู่เหลียน ถึงตาเจ้าแล้ว! จงจำไว้ ถ้าเจ้าไม่แน่ใจว่าจะฆ่ามันได้ อย่าแสดงตัวออกมา!”

 

สตรีอายุสามสิบข้างฮั่นเจียงหลินพยักหน้า

 

“เข้าใจแล้ว! ข้าต้องทำสำเร็จแน่!”

 

ฮั่นเจียงหลินพยักหน้า

 

“นั่นแหละ ด้วยพลังของเจ้า เจ้าจะต้องฆ่ามันได้ในการโจมตีเดียว ถึงมันจะบ่มเพาะวิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง ด้วยมือเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีชีวิตรอด”

 

เฉินยู่เหลียนคือรองเจ้าพันธมิตรร้อยดินแดนลำดับสาม นางมีฐานพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง

 

ด้วยพลังของซือหยู เขาไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน!

 

เกาคังที่รับรู้ถึงอะไรบางอย่างหันไปมองขอบนภา เขาอ้าปากค้างและชักสีหน้า!

 

ซือหยูนำคนของเขามุ่งหน้าเข้ามา!

 

เกาคังอยากจะหนีไปยังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้หนีไปไกลอย่างที่เป็นไปได้!

 

ฟึ่บ–

 

เกาคังลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสและพยายามหนีอย่างหมดท่า

 

ความตายที่ใกล้เข้ามาทำให้เกาคังข่มความเจ็บปวดเอาไว้ เขาเร่งความเร็วและเคลื่อนไหวเร็วอย่างกับสายฟ้า ในพริบตาเขาก็ไปได้ไกลหลายลี้

 

ซือหยูไล่ล่าอย่างรีบร้อน

 

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

 

ซือหยูไล่เกาคังออกมาจากเมืองอันยี่ไปทางป่าทมิฬ เกาคังซ่อนตัวในป่าทำให้ยากที่ซือหยูจะหาตัวเจอ

 

แต่ในท้ายสุดเขาก็มิอาจข่มความเจ็บปวดเอาไว้ได้และซือหยูก็ตามทัน

 

“หยินหยู! เหตุใดเจ้าต้องป่าเถื่อนเช่นนี้? เจ้าไม่ได้มีเรื่องอะไรกับข้าซักหน่อย!”

 

เกาคังนอนแผ่กับพื้น เขาหน้าซีดเผือด แววตานั้นโศกเศร้า

 

ซือหยูบินลงช้าๆอย่างเยือกเย็น

 

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังมาอ้อนวอนขอความเมตตาอีกรึ?”

 

“ฮั่นเจียงหลินฮุบเอาตำหนักเฉินเทียนไป เพราะเหตุนั้น เมื่อคิดถึงชีวิตและอนาคตเจ้า เจ้าช่วยไม่ได้ที่ต้องยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลินและเป็นศิษย์มัน เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

 

“แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือเจ้าที่ไม่มีความรู้สึกผิดและยังคงไม่รู้สำนึก! แทนที่เจ้าจะละอายใจ เจ้ากลับภาคภูมิใจเสียได้! และเจ้าก็ยังหว่านล้อมให้ฉีหยุนเซี่ยงเป็นคนเช่นเจ้าได้อย่างไร้ยางอาย!”

 

“ตอนที่เจ้ารับใช้ฮั่นเจียงหลิน ข้าไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าของเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้ากลับทำมันอย่างปลื้มใจ! เจ้าเคยสำนึกบุญคุณที่เจ้าตำหนักฉีชุบเลี้ยงเจ้าบ้างหรือไม่?”

 

ซือหยูเดินเข้าไป แววตาเย็นยะเยือก

 

“ทรราชย์ย่อมต้องชดใช้ในการทรยศ เจ้าตำหนักฉีไม่อยู่ที่นี่ ข้าก็จะลงโทษเจ้าแทนเขา!”

 

ซือหยูตั้งใจจะฆ่าเกาคัง เกาคังรู้ดีว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังคงโกรธแค้น

 

“หยินหยู! ข้าเป็นคนทรยศแล้วยังไงรึ? ข้าไม่รู้สำนึกแล้วยังไง? นี่มันปัญหาของเจ้างั้นเรอะ? เจ้าต้องมายุ่งกับเรื่องของข้างั้นเรอะ?”

 

เกาคังพูดอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับว่าอยากจะกินมนุษย์

 

หึ–

 

ซือหยูแววตาเย็นชา เขาทำลายฐานพลังของเกาคังด้วยดัชนีเดียว

 

“อย่างที่เจ้าพูด ข้าไม่มีสิทธิ์จะทำอะไร แต่ถ้าเป็นหยุนเซี่ยงก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

 

ซือหยูถอยไปหนึ่งก้าวและให้ฉีหยุนเซี่ยนเดินเข้ามา

 

แววตาอันงดงามของฉีหยุนเซี่ยงนั้นเยือกเย็น นางไม่สงสารเกาคังแม้แต่น้อย

 

“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

 

เกาคังสีหน้าเคร่งเครียด ฉีหยุนเซี่ยงคือบุตรสาวของำเจ้าตำหนัก ถ้านางไม่มีสิทธิ์ลงโทษเขาก็ไม่มีใครมีสิทธิ์นั้นอีกแล้ว

 

“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ตายซะ!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงตะโกนและกำลังจะปลิดชีวิตเกาคัง

 

แต่ก่อนที่นางจะได้ฆ่าเกาคังนั้นเอง…

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่คิดว่านี่มันน่าละอายใจรึ ที่คนหลายคนรุมทำร้ายคนที่ไร้การป้องกันเช่นนี้?”

 

เสียงหัวเราะอันสง่างามดังมาจากต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก

 

หนุ่มน้อยผิวพรรณดีราวกับราชวงศ์อยู่บนต้นไม้และยิ้มมองลงมา

 

ซือหยูเคยเห็นคนคนนี้

 

ตอนที่เขาเข้าเมือง เพื่อที่จะได้เอาใจศิษย์พี่เว่ย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแทรกแถว เขาทำแม้กระทั่งชี้พัดใส่ซือหยูและทำให้ซือหยูต้องถอยกลับอย่างไร้เหตุผล

 

คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหนึ่งในสี่บุตรชายจากหอสดับหิมะ

 

เขามีฐานพลังอำมฤตระดับสามขั้นต้น พลังนับว่าน่าชมเชย

 

ซือหยูเหลือบตามอง

 

“อะไรของเจ้า? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ยืนดูแล้วหุบปากไปซะ!”

 

แม้ซือหยูจะไม่มีเรื่องบาดหมางระหว่างกัน ซือหยูก็ไม่ได้ประทับใจเขานัก

 

และเห็นได้ชัดว่าเขาตามซือหยูมาตั้งแต่งานประมูล แรงจูงใจของเขานั้นชัดเจน…เว่ยเทียนเฉินนั้นมุ่งมั่นมากที่จะได้ธนูมังกรฟ้าดินนี้

 

ฟึ่บ–

 

ชายหนุ่มบินลงช้าๆอย่างสง่างาม

 

เขายิ้มแย้มอย่างใจดีราวความไม่พอใจที่มีต่อซือหยูได้หายไป เขาแนะนำตัว

 

“ข้าคือจางซือยี่ บุตรลำดับสี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหอสดับหิมะ”

 

บุตรลำดับสี่รึ?

 

ฉีหยุนเซี่ยงกับฮั่วฉีหลานแอบตกใจ

 

พวกนางที่อยู่ในทวีปแห่งนี้จะไม่รู้จักบุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะได้อย่างไร?

 

เหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้อยู่ที่หอสดับหิมะ พวกเขาคือตัวตนที่ตระการตาที่สุด

 

แม้จางซือยี่จะเป็นลำดับสี่ แต่ในทวีปแห่งนี้ก็มีน้อยคนมากที่เหนือกว่าเขา

 

ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงหญิงสาวสองคนที่ตกตะลึง จางซือยี่ยิ้ม

 

“ถ้าพวกเจ้ารู้จักตัวตนของข้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า เจ้าจะให้ข้าจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่?”

 

จางซือยี่พูดและเดินเข้ามา

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

ซือหยูพูดขึ้นมาทันที