จางซือยี่หยุดเดิน เขาหัวเราะ
“มีอะไรรึ?”
“ข้าสนิทกับเจ้ารึอย่างไร?”
ซือหยูยืนมือไพล่หลัง
รอยยิ้มของจางซือยี่หายไป
“ไม่หรอก แต่ข้าคือหนึ่งในบุตรทั้งส….”
เขาไม่คิดว่าซือหยูจะพูดแทรก
“ถ้าเจ้าไม่รู้จักกับข้า ข้าจะเชื่อใจเจ้าไปทำไมกัน? เจ้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่รึ? ถ้าเจ้าไม่เกี่ยวอะไรแล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องของคนอื่นกัน?”
จางซือยี่ตัวแข็งทื่อ เขาไม่พอใจเล็กน้อย
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบซือหยูมาจนถึงตอนนี้ ซือหยูทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเป็นเขาเองที่มาหาเรื่องในทั้งสองครา
จางซือยี่ข่มความไม่พอใจ เขาฝืนยิ้ม
“ข้าคือหนึ่งในบุตรทั้งสี่ เจ้าไม่เชื่อในชื่อเสียงของข้ารึ?”
“ส่วนการยุ่งเรื่องของเจ้า หึหึ ข้าก็แค่มาช่วยเหลือเมื่อเห็นเรื่องไม่เป็นธรรมเท่านั้น นี่มิใช่หน้าที่ของผู้บ่มเพาะพลังหรอกรึ?”
ซือหยูส่ายหัว
“บุตรทั้งสี่ดังมากนักรึ? ขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินชื่อพวกเจ้าเลย! ถึงจะเคยได้ยินก็ค่อยให้ข้าเชื่อใจเจ้าตอนที่เจ้าแห่งหอสดับหิมะมาเองเสียยังดีกว่า!”
“ส่วนเรื่องความไม่ยุติธรรม เจ้าช่วยหนูให้รอดจากสุนัขที่วิ่งไล่จับก็เป็นการช่วยเหลือในความไม่เป็นธรรมเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า”
ซือหยูพูดโดยไม่เกรงใจ
จางซือยี่มิอาจข่มความโกรธได้อีก หลังจากที่ถูกปฏิเสธหลายครั้งหลายหน เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่หายไป สีหน้าของเขาไม่เป็นมิตรอีกแล้ว
“ฮื่ม! ข้าหวังดีและพยายามจะช่วยคลี่คลายเรื่องผิดใจของพวกเจ้า แต่เจ้ายังไม่ยินดี เจ้ากลับดูหมิ่นข้า!”
“ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้!”
จางซือยี่สะบัดพัดในมือ
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“หวังดีรึ? เจ้าปลิ้นปล้อนเก่งนัก จริงๆเจ้าก็แค่หวังอยากได้ธนูมังกรฟ้าดินของข้า”
“ข้าต้องพูดให้ชัดก่อนเจ้าจะหยุดใช่หรือไม่?”
จางซือยี่หัวเราะ
“คนที่เป็นแค่รองเจ้าตำหนักอย่างเจ้าคิดจะใส่ร้ายข้าด้วยลมปากพล่อยๆรึ?”
“จางซือยี่ผู้นี้จะกระทำการชั้นต่ำอย่างนั้นรึ? ข้าก็แค่ทนเห็นเจ้ารังแกเขาไม่ได้ เจ้าจำนวนเยอะกว่ายิ่งนัก ข้าพูดแทนความไม่ยุติธรรมที่เขาได้รับก็เท่านั้น”
จางซือยี่อยากจะได้ธนูมังกรฟ้าดินอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะพูดว่าเขาเข้ามาเพื่อความยุติธรรม การโกหกคำโตเช่นนี้ทำให้ซือหยูหัวเราะ
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง ซือหยูก็อาจจะเชื่อสักหนึ่งในสิบส่วนว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ
แต่เมื่อตัดสินจากเรื่องในอดีต คนที่หยาบคายเช่นนี้จะออกรับหน้าปกป้องคนอื่นได้อย่างไร?
“ย่อมได้ บอกข้ามาว่าเจ้าจะแก้สถานการณ์ยังไง?”
ซือหยูยิ้มเบาๆ
ฉีหยุนเซี่ยงแอบเป็นกังวล ทำไมเขาถึงปล่อยให้คนอื่นจัดการกับเรื่องนี้กัน?
อีกฝ่ายพยายามจะปกป้องเกาคังอย่างเห็นได้ชัด!
ฮั่วฉีหลานเลิกคิ้ว การเปลี่ยนแปลงความคิดของซือหยูนั้นเหนือความคาดหมาย
ตู่หลงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ในสายตาของเขา หยินหยูจะไม่ยอมรามือ เหตุใดเขาถึงยอมรับกับคำขออันไร้สาระเช่นนี้?
จางซือยี่ยิ้มกว้าง
“หึหึ ดูเหมือนเจ้าจะคิดดีแล้วสินะ!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเข้ามาแทรกเพื่อคลี่คลายความบาดหมางของพวกเจ้า!”
จางซือยี่พูดช้าๆ
“ข้าคิดว่าพวกเราต้องย้อนกลับไปมองตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อไขข้อบาดหมางของพวกเจ้า!”
“เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าเป็นคนที่ทำร้ายเกาคังและขโมยธนูของเขาไป นี่เป็นเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น”
ซือหยูกำลังฟังอยู่หัวเราะออกมา
“ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย ใครกันที่จ่ายสมุนไพรเทพไปเพื่อการประมูล? ทำไมเจ้าถึงพูดว่าธนูนั่นเป็นของเขา? ข้าผิดรึที่ทำร้ายเขาเพื่อเอาธนูของข้าคืนมา?”
จางซือยี่หัวเราะและส่ายหัว
“ขออภัย ข้าแค่เห็นตอนที่เจ้าส่งสมุนไพรเทพออกไปเท่านั้น ข้าไม่แน่ใจว่าธนูเงินนั่นเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์! แต่ตระกูลตู่ที่จัดงานส่งธนูให้กับเกาคัง นั่นก็หมายความว่าธนูนั่นเป็นของเกาคัง แล้วเจ้ามีเหตุผลอะไรไปทำร้ายเขาแล้วชิงของของเขามา?”
จางซือยี่พูดบิดเบือนความจริง เขาพลิกผิดเป็นถูก มันช่างน่าขันนัก
ซือหยูไม่คิดจะพูดต่อ เขายักไหล่
“เอาล่ะ แล้วเจ้าจะคลี่คลายเรื่องของพวกข้ายังไงรึ?”
จางซือยี่หัวเราะ
“ง่ายดายนัก ถ้าเจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าทำผิด!”
“เพื่อคลี่คลายเรื่องระหว่างพวกเจ้า อย่างแรก เจ้าจะต้องคืนธนูที่ชิงมาให้เขาไป! อย่างที่สอง เจ้าจะต้องขอโทษที่ทำร้ายเขา!”
“เจ้าจะต้องทำอย่างแรกซะ ส่วนอย่างที่สอง…”
จางซือยี่มองเกาคัง
“เจ้าจะเห็นแก่ข้าแล้วให้อภัยอีกฝ่ายได้หรือไม่? เพราะเจ้าไม่ทำเรื่องให้ชัดเจนและทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เจ้าจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไม่?”
เกาคังจะไม่ยอมรับได้อย่างไร? เขาพยักหน้าอย่างงุนงง
“ก็ได้ก็ได้ ข้าให้อภัยเขา เขาไม่ต้องขอโทษ!”
ซือหยูนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัวให้กับยอดฝีมืออย่างหนึ่งในบุตรทั้งสี่ของหอสดับหิมะงั้นรึ?
จางซือหยูยิ้มและมองซือหยูอีกครั้ง
“หึหึ เป็นยังไงเล่า? เจ้าไม่ต้องขอโทษเลย แค่คืนธนูให้เขาก็พอ”
ซือหยูพูด
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่ แค่นี้ก็พอ! เรื่องบาดหมางระหว่างเจ้าจะได้จบลงเสียที่นี่!”
จางซือยี่หัวเราะอย่างใจเย็น
ซือหยูพยักหน้า
“อืม!”
ซือหยูพูดจบและก้าวไปข้างหน้า
ฉั่วะ–
โลหิตสดๆกระจายไปทุกหนแห่ง ชิ้นเนื้อลอยขึ้นกลางอากาศ
หัวของเกาคังที่ถูกเหยียบระเบิดกลายเป็นซาก
เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้กรีดร้องก่อนที่จะถูกเหยียบตาย!
คนรอบๆเงียบกริบ พวกเขาตกตะลึงกับการกระทำของซือหยู
โลหิตกระจายทั่วชุดของจางซือยี่ ตรงกันข้ามกับใบหน้าที่ซีดเผือดของเขายิ่งนัก
จางซือยี่ที่ตกตะลึงชักสีหน้าทันที เขาตะโกน
“ทำอะไรของเจ้า?”
ซือหยูยกขาขึ้น เขาสะบัดโลหิตเบาๆ
“ข้าก็ฆ่ามันน่ะสิ เจ้าไม่เห็นรึ?”
จางซือยี่ใบหน้าดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
“ข้าถามเจ้าว่าทำไมเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก? ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ!”
ซือหยูกอดอก
“ช่วยรึ? ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องสะสางความบาดหมางอะไรนั้นเลย การฆ่าเขามิใช่ทางออกหรอกรึ?”
“แปลกนัก เจ้าก็เห็นอยู่ว่าแค่ข้าเหยียบมันไปเรื่องก็จบแล้ว แต่เจ้ากลับเสนอวิธีที่ข้าต้องเสียสมบัติเทพและยังต้องขอโทษอีก”
“ตั้งแต่แรกที่ข้าเจอเจ้า ข้าคิดว่าเจ้ามันเยิ่นเย้อ เจ้าถึงกับคิดวิธีอ้อมโลกซะได้!”
ซือหยูส่ายหัวและหันไปมองฉีหยุนเซี่ยง
“ขอโทษนะ จริงๆข้าอยากจะให้เจ้าเป็นคนได้ฆ่าเขา”
ฉีหยุนเซี่ยงตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็เป็นศิษย์ตำหนักเฉินเทียนเหมือนกัน แม้จะไม่นาน เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์ของพ่อข้า นี่นับว่าเป็นการชำระล้างตำหนัก”
“หึหึ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไปกันเถอะ”
ซือหยูมองท้องนภา นี่ก็ถึงกลางคืนแล้ว พวกเขาต้องรีบไปบ่มเพาะพลังในที่ของอาณาจักรทมิฬ
ฮั่วฉีหลานมองซือหยู นางเคยคิดว่าซือหยูจะยอมจำนนจริงๆ…เมื่อคิดเช่นนั้น…
ครืน—-
รังสีรพลังอันน่ากลัวระเบิดมาจากด้านหลัง
จางซือยี่โกรธแค้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
“หยินหยู! เจ้าปั่นหัวข้าเรอะ!”
ในตอนนี้ จะมีคำอื่นใดอธิบายเรื่องนี้ได้อีก?
เขาพูดโดยตั้งใจว่าจะให้โอกาสจางซือยี่ในการไกล่เกลี่ยเรื่องราว แต่ท้ายสุดเขาก็สังหารคนที่จางซือยี่เข้ามาปกป้องต่อหน้าต่อตาจางซือยี่
ซือหยูหันไปมองและยิ้มเยาะ
“ปั่นหัวรึ? ก็เจ้ามันดึงดันนัก ข้าจะไปทำอะไรได้?”
“ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า เจ้าก็ยังเอาตัวเองมาให้ถูกดูหมิ่น เจ้าจะไปโทษใครกันเล่า?”
จิตสังหารฉาบแววตาจางซือยี่
“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ซือหยูไม่สนใจ เขาหันหลังเตรียมจะเดินทาง
“ข้าบอกให้หยุด!”
เสียงคำรามลั่นดังมาจากข้างหลัง
ฟึ่บ–
จางซือยี่เร็วปานสายฟ้า เขาเข้ามาขวางทางด้วยความดุดัน
“ส่งธนูมังกรฟ้าดินมา!”
จางซือยี่ฝืนข่มจิตสังหาร
ในที่สุดเขาก็ทิ้งข้ออ้างไปและเผยธาตุแท้ออกมา
ซือหยูหัวเราะอย่างดูถูก
“โอ้? เกาคังก็ตายไปแล้ว เจ้ายังอยากจะช่วยเกาคังให้ได้ธนูอีกรึ?”