ตอนที่ 272

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 272 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (1)

เขาได้กระพริบตาอย่างโง่งมอยู่นานก่อนที่จะได้ยินคำอธิบายจากโรเซร่า และในที่สุดก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว

แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขารู้สึกอึดอัดเลยสักนิด

“นักเวทย์? ราชินีคนนั้นน่ะหรอ?”

“ใช่แล้วล่ะ! เธอมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังได้! แค่ในแง่พรสวรรค์เธอก็มีล้นเหลือแล้ว”

ใบหน้าของซอลจีฮูได้มีประกายความสงสัยขึ้นมา ชาล็อต อาเรียเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคนโง่เขลา และเกลียดคร้าน กลับมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นนักเวทย์ที่มีชาวโลกเพียงส่วนน้อยมากๆที่เป็นได้งั้นหรอ?

นี่มันค่อนข้างยากจะเชื่อได้เลย

“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดอยู่หน่อยนะ”

โรเซร่าได้ยิ้มสดใสออกมา

“การเป็นคนมีพรสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าจะฉลาดหรือมีสติปัญญาที่ดีอะไร นอกจากนี้มันยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการกระทำตามปกติด้วย”

ซอลจีฮูได้ผงะไปเมื่อความคิดของเขาถูกอ่านออกมา แต่ว่าเขาก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว เขายังจำได้ดีถึงความสามารถในการอ่านใจของโรเซร่า

“พรสวรรค์มันหมายถึงความถนัดแต่กำเนิด และความสามารถที่จำเป็นในการทำบางอย่างให้สำเร็จ หากให้จำกัดความล่ะก็ความถนัด และความสามารถที่จำเป็นสำหรับการกลายเป็นนักเวทย์นั่นก็คือแค่มานา”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว พอมาคิดดูแล้ว แม้กระทั่งชาวโลกเงื่อนไขแรกในการเป็นนักเวทย์ก็คือระดับมานา

“มานาแต่กำเนิดที่มหาศาล แน่นอนว่ามันก็มีข้อยกเว้น และฉันก็ไม่ได้จะบอกว่าคนที่พยายามสร้างรากฐานของตัวเองทั้งชีวิตมันแย่หรอกนะ มันก็แค่ว่าสายเลือดมันมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมานาของคนๆหนึ่ง”

นั่นมันหมายความว่าชาล็อต อาเรียมีพรสวรรค์แต่กำเนิด

ความจริงแล้วซอลจีฮูก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ถึงมานาโดยกำนิดของเขาจะสูงมาก แต่นั่นไม่ใช่เพราะสายเลือด เขาได้ผ่านการฝึกมานาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ที่ยังเล็กเพราะเขาเกิดมาพร้อมกับนพเนตร เขาเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่โรเซร่าหมายถึงอย่างแน่นอน

ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา

“ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ… แต่ว่าหากเธอมีมานามากขนาดนั้นล่ะก็ ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่ถูกฝึกตั้งแต่ยังเด็กล่ะ?”

“คำถามนี่คงมาจากการที่คุณไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพาราไดซ์สินะ”

โรเซร่าได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น

“พาราไดซ์เป็นที่ที่มีการแบ่งสถานะชนชั้นกันอย่างเคร่งครัด ต่อให้จะเป็นหญิงสาวที่อยู่ในชนชั้นสูง แต่ว่าที่ต่างก็เป็นเพียงแค่วิธีการใช้งาน และบรรทัดฐานทางสังคมนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต่อให้จะเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของสมาชิกราชวงศ์ก็เป็นได้เพียงลูกที่ถูกเลี้ยงดูเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกระชับความสัมพันธ์ของประเทศเท่านั้นเอง”

“…”

“เมื่อไหร่ที่พวกเธอโตขึ้น พวกเธอก็จะต้องขายออกไปอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นธรรมดาที่ราชวงศ์จะไม่อยากให้ตัวประกันของพวกเขารู้เรื่องเวทมนต์”

“คุณกำลังหมายถึง…”

“การแต่งงานทางการเมืองเป็นเพียงแค่หลักประกันเท่านั้นเอง ลูกสะใภ้ควรที่จะเชื่อฟัง และไม่สร้างปัญหาใดๆ เพราะงั้นแล้วเหล่าราชวงศ์หรือชนชั้นสูงจะคิดยังไงล่ะหากว่าตัวประกันของพวกเขาได้เรียนรู้พลังลึกลับอย่างเวทมนต์? พวกเขาจะเป็นกังวล โดยเฉพาะตัวประกันคนนั้นมาจากตระกูลอาเรียด้วยยิ่งแล้วใหญ่”

ซอลจีฮูไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้อีก เขารู้สึกเหมือนกับโรเซร่ากำลังบอกอ้อมๆว่า ‘อย่าได้ด่วนสรุปอะไร’

“ก็นะ.. ฉันเป็นกรณีที่ค่อนข้างจะพิเศษ”

โรเซร่าได้ยิ้มแห้งออกมา

“แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ คุณต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เด็กคนนั้นอยู่ด้วย คุณก็ได้ยินไม่ใช่หรอว่าสงครามกับปรสิตเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะรู้ถึงตำแหน่งของเธอซะอีกน่ะ?”

โรเซร่าได้โน้มน้าวซอลจีฮูอย่างกระตือรือร้นราวกับเธอไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ไป

‘เธอพูดถูก’

ตามรายงานแล้ว ปรสิตได้บุกเข้ามาในตอนที่เธออายุแค่สี่ขวบ และเธอได้หนีออกมาจากเมืองในตอนอายุแปดขวบ

ซอลจีฮูได้ฝืนพยักหน้าออกมา ในเมื่อแม่มดแห่งความฝันที่เคนกดดันให้จักรวรรดิต้องหวาดกลัวได้ยืนยันด้วยตัวเอง ซอลจีฮูจะไปปฏิเสธเธอได้ยังไงกัน

ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนต์ เขาก็ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปสงสัยในตัวโรเซร่า ลา กราเซียเลยด้วย

“ผมเข้าใจแล้ว ผมคงจะเผลอตั้งมาตราฐานสูงเกินไปเพราะคิดว่าผมจำเป็นต้องหานักเวทย์ที่มีศักยภาพที่ตองสืบทอดแสงนิรันดร์แห่งปัญญา”

“อ่า คุณก็พูดถูก”

โรเซร่าได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อซอลจีฮูชมถึงความสำเร็จของเธอ

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก! อาจารย์อัจฉริยะคนนี้จะไม่มีทางมีศิษย์ที่ไร้ความสามารถแน่!”

โรเซร่าได้กล่าวชมตัวเองก่อนที่จะแอบมองซอลจีฮู

“แต่เนื่องจากว่ามันมีโอกาสที่เธอจะยังไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมที่สุดอยู่… ฉันก็จะยินดีมากหากว่าคุณพอจะช่วยแนะนำเด็กๆที่มีพรสวรรค์ได้อีกสักสองสามคน…”

ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง ตอนแรกเขาคิดว่าแค่หาผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์สักคนก็พอแล้วซะอีก

[แน่นอนว่าหากเขาหรือเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดจะดีมาก แต่ว่าฉันก็ชอบคนที่มีความพยายาม และมีระเบียบวินัยกับตัวเอง]

นี่เธอพูดอะไรกันเนี้ย?

“อ๊ะ ในเมื่อฉันพูดแบบนี้แล้ว มาตราฐานของพรสวรรค์ก็ต้องเป็นแบบฉัน”

โรเซร่าได้ใช้กำปั้นเล็กๆของเธอทุบอกของซอลจีฮู ก่อนจะยืดหน้าอกอันน้อยนิดออกมา

“ถูกสอนหนึ่งอย่าง และเข้าใจได้สิบอย่าง จากนั้นก็ใช้ทั้งสิบอย่างที่เรียนรู้ไปเป็นรากฐานต่อยอดเป็นนับร้อย นับพัน หรือกระทั่งนับล้าน คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ต่อให้พันปีก็ใช่ว่าจะมีสักคน เพราะงั้นแล้วฉันก็ไม่ได้เพ้อฝันขอให้คุณแนะนำคนแบบนั้นให้ฉันหรอกนะ”

ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่โรเซร่าก็ยังพูดต่อไปอย่างไหลลื่น

“แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่า ‘หากคนๆนั้นไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่เป็นไร’ หรอกนะ มันจะยอดเยี่ยมหากว่าพวกเขามีทั้งพรสวรรค์และความพยายาม มันต้องเป็นแบบนี้แหละ ฟุฟุ”

โรเซร่าที่หัวเราะซุกซนได้หันมาเหลือบมองอยู่แวบหนึ่ง

“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองหรอกนะ เราต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งคู่ แค่การพาตัวผู้มีความสามารถมาคุณก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว”

ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาอย่างสงสัย โรเซร่าได้ยกมือขวาขึ้นทาบหัวใจ และกางแขนซ้ายออกมาก่อนที่จะพูดต่ออย่างยิ่งใหญ่

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยกยอตัวเองอะไรหรอกนะ แต่ว่าโลกแห่งความฝันใบนี้ถูกฉันสร้างออกมาด้วยความพยายามอย่างมหาศาลเพื่อให้เป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการวิจัยเวทมนต์ คุณสามารถจะสร้างอะไรที่จินตนาการออกมาก็ได้ เพราะงั้นแม้กระทั่งผู้เริ่มต้นก็สามารถจะฝึกเวทมนต์ได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถจะเพลิดเพลินไปกับมันได้อีกด้วย”

“อ่า”

จากนั้นซอลจีฮูก็รู้ถึงโชคลาภที่เขาได้รับมา

ไม่สิ เขารู้อยู่แล้ว มันก็แค่เขาไม่คิดว่ามันจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้

“คุณพูดถูก โอเค ผมจะลองไปคุยกับราชินีดู”

“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”

โรเซร่าได้ส่ายหัวออกมา

“ฉันซาบซึ้งในข้อเสนอของคุณ แต่ว่าฉันแค่ขอให้คุณหาผู้มีศักยภาพมาให้เท่านั้นเอง การโน้มน้าวพวกเขาเหล่านั้นคือหน้าที่ของฉัน ฉันคงไม่กล้ารบกวนอะไรคุณไปมากกว่านี้แล้ว”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา ในเมื่อโรเซร่าบอกว่าเธอจะจัดการเรื่องนี้เอง มันก็ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องไปแทรกแซง

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นผมควรจะทำยังไงล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ถามออกมาพร้อมกับจับจี้เอาไว้ โรเซร่าได้ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มซุกซนเหมือนเด็ก

“ก็ไม่ยากหรอก”

เธอได้เข้ามากระซิบข้างหูของซอลจีฮูเบาๆ

***

แปะ เมื่อเทเรซ่าปรบมือ ซอลจีฮูก็ลืมตาขึ้น เขาก็ยกร่างขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่คุ้นเคยดี

“แกว๊ก?”

เตียงที่ใหญ่จนเกินพอดี และห้องที่ขนาดใหญ่พอๆกันมันทำให้เขารู้สึกอ้างว้าง

“แกว๊ก แกว๊ก!”

ขณะที่เขากำลังสับสนอยู่ เสียงร้องก็ดังเรียกเขากลับมา ซอลจีฮูได้มองลงไปเห็นลูกเจี๊ยบที่กำลังโกรธอยู่

จากวิธีกระพือปีกเล็กๆของมันพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างแล้ว มันดูเหมือนกับว่าลูกเจี๊ยบกำลังประท้วงอยู่อย่างไม่พอใจ นี่มันก็เพราะว่ามันนอนอยู่บนหน้าผากของซอลจีฮูก่อนที่จู่ๆเขาจะดีดตัวขึ้นมาทำให้ลูกเจี๊ยบกระเด็นตกไป

“ทะ โทษที”

“แกว๊กกกก!”

ซอลจีฮูได้ขอโทษออกมาแล้ว แต่ว่าความโกรธของลูกเจี๊ยบก็ไม่ได้มีทีท่าจะลดลงเลยสักนิด

“หากว่านายเอาแต่ร้อง ระวังเสียงจะแหบเอานะเจ้าตัวน้อย”

ทั้งๆที่ยังเกิดมาไม่ถึงเดือน แต่มันจะร้องดังขนาดนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ? ซอลจีฮูได้บ่นขึ้นอยู่ในใจ

“ก็ได้ๆ ฉันจะให้นายกลับมานอนบนหัวนะ พอใจไหม?”

ลูกเจี๊ยบดูจะชอบบนหัวของซอลจีฮูที่สุด เมื่อเขาได้จับลูกเจี๊ยบไปวางลงบนหัว เสียงร้องก็เงียบลงไปในทันที

“ฟี๊…”

ตัดจากเสียงครางและการบิดไปมาแล้ว มันดูเหมือนจะพอใจ

‘ไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้แล้วสิ’

ในตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว ซอลจีฮูได้กระโดดออกจากเตียง และเดินตรงไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว

แผนเมื่อคืนที่เขาได้วางเอาไว้กับคิมฮันนาห์นั้นถูกสร้างขึ้นภายใต้สมมติฐานที่ว่าชาล็อต อาเรียไร้ความสามารถ ในเมื่อมันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว มันก็ชัดเจนว่าต้องเปลี่ยนแผน

แล้วต่อให้เขาจะยังทำตามแผนเดิมอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็จะต้องบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ซอลจีฮูได้เคาะประตูเบาๆอยู่สองครั้ง ก่อนจะเปิดเข้าไป

เมื่อเห็นคิมฮันนาห์ยังคงหลับอยู่ เขาจึงทุบเตียงอย่างแรง

“คิมฮันนาห์! คิมฮันนาห์!”

ทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา

“?!”

เมื่อจู่ๆเหมือนมีแผ่นดินไหวกลางดึก คิมฮันนาห์ได้ดิ้นไปมาด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเห็นซอลจีฮูที่กำลังทุบเตียงโดยที่มีลูกเจี๊ยบนั่งอยู่บนหัว เธอได้หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะ…

“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ!?”

…กรีดร้องลั่นออกมา

“เฮ้! นี่นายรู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้ว! นี่มันห้องของสาวโสดนะ! ในที่สุดนายก็เสียสติ…!”

เธอคงจะตกใจมากจนยังคิดคำพูดไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ

“ฉันมีเรื่องที่ต้องบอกกับเธอ”

ยังไงก็ตามสีหน้าของซอลจีฮูดูจริงจังมาก สีหน้าของคิมฮันนาห์ได้คลายลงไปแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม

“…เรื่องด่วนงั้นหรอ?”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าด่วนไหม แต่ว่าฉันคิดว่าฉันควรบอกกับเธอก่อนเที่ยง”

คิมฮันนาห์ขมวดคิ้วขึ้น เธอรู้ว่า ‘ตอนเที่ยง’ คือเวลาที่พวกเขาจะไปที่วัง นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะไปทานอาหารกลางวันกับราชินี

“ว่ามาสิ”

คิมฮันนาห์ได้ปรับท่าทางใหม่

“คิมฮันนาห์ มันจะดีไหมหากว่ามีคนที่มีตำแหน่งที่มั่นคงในพาราไดซ์ปลุกพลังขึ้นมาในฐานะนักเวทย์ และกลายเป็นมิตรที่น่าไว้ใจ? ที่จะบอกคือคนแบบเจ้าหญิงเทเรซ่า”

นี่มันเป็นคำถามแปลกจริงๆ คิมฮันนาห์ได้รีบกระพริบตาออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลง

“จีฮู…”

“ว่าไง?”

“ฉันก็สงสัยอยู่ว่ามันเรื่องเร่งด่วนอะไร… ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกนายไปแล้วหรอ? นักเวทย์น่ะคือดวงดาวท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน”

เธอได้พูดต่อพร้อมถอนหายใจ

“ในพาราไดซ์ คลาสนักเวทย์เป็นเหมือนกับบัตร VIP นายยังจำขั้นตอนการลงทะเบียนองค์กรได้ไหม? หากว่าคาเพเดี่ยมมีนักเวทย์ เราก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรมากขนาดนั้น หากว่าไม่มีเหตุผลร้ายแรงให้ถูกตัดสิทธิ์ ไม่ว่าเมืองไหนก็ให้ผ่านทั้งนั้น ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะมีนักเวทย์ยังไงล่ะ”

คิมฮันนาห์เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรง

“นายพูดถูก การมีนักเวทย์นั้นจะได้รับอภิสิทธิ์อย่างมาก แต่ว่าการหาตัวนักเวทย์เป็นเหมือนกับการเด็ดดาวจากท้องฟ้า”

“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเข้ามใจผิด ซอลจีฮูได้รีบอธิบายออกมา

“อะไรนะ?”

หลังจากคำอธิบายสั้นๆได้จบลง น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันที

“เชี้ย นั่นมันหมายความว่ายังไงกันนะ? ยัยโง่คนนั้นมีพรสวรรค์ที่จะกลายเป็นนักเวทย์?”

“เธออยากจะเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ? ฉันก็เป็นเหมือนกัน ฉันอยากจะบอกว่าไม่ แต่ว่าคุณโรเซร่ายังคงเน้นย้ำว่าเธอมีศักยภาพนั้น”

ซอลจีฮูได้แตะที่จี้ และพูดออกมา

[หาววววว….]

และน้ำเสียงง่วงนอนก็ดังออกมา

[อย่าตีฉันสิ… อย่าทำร้ายฉัน…]

“อ่า ขอโทษนะ”

หลังจากขอโทษโฟลนที่นอนละเมอแล้ว ซอลจีฮูก็จ้องคิมฮันนาห์ที่กำลังทำสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างหนัก

จากทุกๆอย่างที่ได้ยินมาทำให้เธอกำลังหัวหมุน คุณค่าของนักเวทย์นั้นไม่จำเป็นต้องให้พูดถึงเลย

แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักเวทย์ที่ล้ำค่าอยู่แล้วเท่านั้น แต่เป็นถึงคลาสใหม่ที่มีชื่อว่าผู้ใช้มนตรา? ผู้ใช้มนตรานี้เป็นถึงราชินีของเมือง และพันธมิตรที่ไว้ใจได้งั้นหรอ? แถมราชินีคนนี้ก็ไม่ได้ละเอียดอ่อนเหมือนกับเทเรซ่า แต่ว่าจะเป็นคนที่ทำทุกๆอย่างให้กับคนที่ใจดีกับตัวเธอ?

หากว่าที่ซอลจีฮูบอกเป็นความจริง การมาที่อีวาก็คงจะเป็นตัวเลือดที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

มันดีมากเกินไปจนถึงขนาดทำให้เธอสงสัย

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ซอลจีฮูจะมาพูดเรื่องไร้สาระกลางดึกแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะติดเล่นยังไง เขาก็คงไม่ทำถึงขนาดนี้

ในท้ายที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ก็ได้แค่พูดออกมาด้วยความสงสัย

“อธิบายรายละเอียดมาอีกหน่อย”

***

จองซูได้เดินทางไปที่วังในทันทีที่รุ่งเช้ามาถึง การมาที่วังแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยเนื่องจากว่าเธอสนิทกับชาล็อต อาเรีย จนที่วังเป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองของเธอ ยังไงก็ตามวันนี้เธอมีเป้าหมายที่ต่างไปจากปกติ

เธอได้รับข่าวมาว่าวันนี้ราชินีจะนัดเจอกันกับตัวแทนวัลฮาลา

เมื่อเธอได้เจอกับราชินี และกินมื้อเช้าด้วยกัน เธอก็นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”

ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมาอย่างเคร่งขรึม พร้อมกับกดซ้อมลงไป

“ฉันจะเจอเขาในวันนี้ และคุยกับเขาให้เอง”

จองซูขมวดคิ้วขึ้น ท่าทีการพูดของราชินีได้เปลี่ยนแปลงไป ตามปกติแล้วเธอจะพูดเหมือนเธอจะเข้าข้างจองซู และพร้อมช่วยจองซูสู้ แต่คราวนี้น้ำเสียงเธออ่อนลงมาก มันแทบจะเหมือนกับว่าเธอแค่จะคุยกับซอลจีฮูเท่านั้นเอง

“เขาเป็นคนที่ดีกว่าที่ฉันคิด เอ่อ ฉันชอบเขา ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องฟังคำขอของฉันแน่”

‘คำขอ..’ จองซูหรี่ตาลง

“ท่านเจอเขาแล้ว?”

ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้างขึ้น

“ทำไมล่ะ? ไปเจอไม่ได้หรอ?”

“ไม่หรอก ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”

จองซูได้ปรับสีหน้า และยิ้มสดใสออกมาในทันที เธอได้ขยับแขนขึ้นมาและพูดเหมือนกับเป็นเรื่องเล็กๆ

“ฉันแค่เป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะ ฉันบอกไปแล้วนี่? ตัวแทนของวัลฮาลาต่างไปจากนักเลงพวกนั้น”

“…”

“เขาเป็นชาวโลกที่มีความชอบธรรม พี่สาวเทเรซ่าพูดถูก”

มือที่จับช้อนของจองซูได้กำแน่น จากสิ่งที่ชาล็อต อาเรียพูดมาได้ทำให้เธอมั่นใจแล้ว เธอก็รู้เหตุผลแล้วด้วย

‘เทเรซ่า ฮัสเซย์’

การที่เธอได้รับการแทรกแซงจากอีกราชวงศ์

‘นี่มันไม่ดีเลย’

จองซูรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นใจ และพูดออกมา

“องค์ราชินี”

“หืม?”

“ฉันขอเข้าร่วมการนัดพบกันในวันนี้ได้ไหม?”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ… แต่ว่าถ้าเธอไม่มาก็ได้นะ เธอไม่รู้สึกอึดอัดหรอ?”

“สำหรับฉันแล้ว การโยนภาระทั้งหมดไว้ให้กับท่านนั่นมันทำให้ฉันอึดอัดยิ่งกว่าซะอีก เพราะงั้นได้โปรดให้ฉันเข้าร่วมด้วยเถอะนะคะ”

แม้ว่าจองซูจะพูดเหมือนอยากช่วยราชินี แต่น้ำเสียงของเธอออกไปทางแนวเชิงบังคับมากกว่า มันเหมือนกับเธอกำลังบอกว่า ‘ฉันพูดขนาดนี้แล้วท่านจะยังไม่ฟังฉันอีกงั้นหรอ?’

แต่ว่าเมื่อชาล็อต อาเรียได้คิดแบบนี้ เธอก็ตกใจกับตัวเอง เธอไม่เคยจินตนาการเลยว่าเธอจะคิดว่าเธอมองจองซูในมุมมองแบบนี้

ไม่ว่าซอกกูนีร์กับเทเรซ่า ฮัสเซย์จะโน้มน้าวเธอยังไง มันก็ไม่มีสักครั้งเลยที่เธอจะมีความคิดในเชิงลบกับจองซู

“พูดตามตรงแล้วฉันกำลังสงสัยอยู่”

เมื่อเห็นชาล็อต อาเรียเงียบไป จองซูเสริมขึ้นอย่างฉะฉาน

“ตัวแทนของวัลฮาลาก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ฉันสงสัยจริงๆก็คือเรื่องชาวโลกที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอก”

“จิ้งจอกหรอ?”

“ใช่แล้ว ชื่อจริงของเธอคือคิมฮันนาห์ เดิมทีแล้วเธอเป็นสมาชิกของซินยอง แต่ว่าก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่วัลฮาลา เธอเป็นนักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เพราะงั้นแล้วฉันก็อยากจะเจอเธอสักครั้ง”

“งะ งั้นหรอ ฉันเข้าใจแล้ว”

ชาล็อต อาเรียได้ตอบตกลงกับคำขอของจองซูอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่

หลังจากเงียบอยู่นานชาล็อต อาเรียที่กำลังขยับซ้อมกินอาหารตรงหน้าก็ค่อยๆพูดขึ้น

“อืมมม…”

“คะองค์ราชินี?”

“เรื่องเมืองน่ะ”

ดวงตาของจองซูได้เบิกกว้างขึ้น เธอตกใจมากที่ราชินีพูดถึงเรื่องของประเทศด้วยตัวเธอเอง

ชาล็อต อาเรียได้รีบพูดต่อ

“ซอกกูนีร์บอกว่าประชาชนกำลังยากไร้ และต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจำวันอย่างเร่งด่วน…”

“อ่า ท่านถูกเซ้าซี้อีกแล้ว”

จองซูได้แสดงสีหน้าเห็นใจออกมา

“ผู้ดูแลราชวงศ์ช่างโหดร้ายจริงๆ เขาไม่รู้เลยหรอว่าองค์ราชินีก็ลำบากอยู่แล้วน่ะ?”

เธอชินกับการต้องฟังคำบ่นของราชินีอยู่แล้ว สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่ต้องแสดงความเห็นใจและปลอบเธอสักหน่อยก็พอแล้ว

“ถูกเลย เขาเอาเรื่องพวกนี้มาพูดกับฉันอีกแล้ว”

ชาล็อต อาเรียได้เล่นตามน้ำไป

“เขาบอกว่าประชาชนกำลังยากไร้ และสาปแช่งราชวงศ์ที่ไร้การช่วยเหลือใดๆ จากนั้นเขาก็ถามฉันว่าฉันจะนิ่งเฉยไปจนถึงเมื่อไหร่…”

“โอ้ คราวนี้เขาทำเกินไปหน่อยแล้ว”

จองซูได้แสดงสีหน้าเสียใจออกมา

“องค์ราชินี อย่างที่ฉันเคยพูดไปแล้วหลายครั้ง มันไม่ใช่ความผิดของท่านที่กลายมาเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของปรสิต ท่านเป็นเพียงแค่เหยื่อเท่านั้นเอง”

“ชะ ใช่แล้ว”

“แล้วเหยื่อจะมาถูกวิจารณ์ได้ยังไงกัน? ประชาชนไม่ได้ทึ่ม พวกเขาต่างก็หวาดกลัวและไม่พอใจกับปรสิต ทำไมพวกเขาถึงจะเกลียดท่านล่ะ?”

“แต่ว่าผู้ดูแลราชวงศ์บอกว่า…”

“แน่นอนว่ามันคือเรื่องจริงที่พวกเขายากจน และความเป็นอยู่แย่กว่าเมื่อก่อน แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ทุกๆเมืองต่างก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เมื่อเทียบกับที่อื่น อีวาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่ามาก”

ตามปกติแล้วชาล็อต อาเรียจะถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดว่า ‘ฉันเข้าใจแล้ว ฉันก็คิดแบบนั้น’

แต่ว่าหลังจากที่ได้เห็นทุกอย่างด้วยสายตาตัวเอง ความผิดของเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเธอจะพยายามสลัดมันออกไปจากหัวแค่ไหน คำพูดของประชาชน และบทสนทนาระหว่างนักบวชทั้งสองคนก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอ

นอกไปจากนี้ความตกตะลึงที่เธอได้รับตอนที่เธอในตรอกเล็กๆยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเธอ

ความตกตะลึงได้ทำให้เกิดความสงสัย และเพราะงั้นเธอจึงถามออกมา

“เธอกำลังจะบอกว่าผู้ดูแลราชวงศ์โกหกงั้นหรอ?”

จองซูได้หัวเราะออกมา

“หากท่านอยากเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ เขาอาจจะพูดเกินจริงไปหน่อยเพื่อขอคำอนุมัติจากองค์ราชินี”

สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นมืดมนลงไปเล็กน้อย แต่ว่าจองซูก็ยังคงพูดต่อโดยไม่คิดอะไรมาก

“อย่าคิดร้ายกับเขาเลยค่ะ เขาอาจจะหัวโบราณไปหน่อย แต่ว่าก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะคิดถึงประเทศได้เท่ากับผู้ดูแลกูนีร์”

จองซูได้พูดแบบนี้โดยที่รู้ว่าซอกกูนีร์ได้ให้คำปรึกษากับชาล็อต อาเรียมานานแค่ไหน

ราชินีตรงหน้าเธอเพียงแค่ต้องการขอความเห็นใจจากใครสักคนเท่านั้น เธอไม่ได้เป็นคนที่หัวใจด้านชา และชั่วร้าย

หากว่าจองซูได้บอกให้เธอไล่ที่ปรึกษาชราออกไป ชาล็อต อาเรียก็อาจจะรู้สึกหนักใจกับความคิดนี้ เพราะงั้นแล้วแบบนี้จองซูก็จะรักษาระยะห่างออกมาจากซอกกูนีร์

แน่นอนว่าเธอก็ไม่ลืมที่จะเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าการเอาแต่คิดถึงประชาชนมันไม่ยุติธรรมเลย หากว่าเขาคิดถึงความรู้สึกขององค์ราชินีบ้างก็คงดี”

เมื่อเห็นจองวูยิ้มบางๆออกมา ชาล็อต อาเรียก็พยักหน้าเบาๆ

เมื่อมื้อเช้าจบลง สีหน้าของเธอก็ไม่ได้สดใสมากนัก เธอเป็นชาวโลกที่ใช้เมืองแค่การเมืองจนกระทั่งก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้

จากทักษะในการสังเกตและคาดเดาอารมณ์ของผู้คน เธอบอกได้เป็นอย่างดีว่าในตอนนี้ตัวราชินีแตกต่างไปจากปกติ

‘น่ารำคาญ’

จริงๆแล้วผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับจองซูคือกลบเรื่องราวนี้เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น

ถึงราชินีจะให้คำยืนยันกับเธอว่าไม่ต้องห่วง แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะทำแบบนั้นได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอดูจะต้องทำอะไรสักอย่าง

จากสิ่งที่ราชินีทำที่ผิดปกติทำให้จองซูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับมีก้างปลาติดอยู่ที่คอของเธอ

‘จิ้งจอกสินะ’

เหตุการณ์นี้จะต้องเป็นฝีมือของคิมฮันนาห์ ถึงแม้ว่าตัวแทนของวัลฮาลาจะเป็นซอลจีฮู แต่เธอคนนั้นน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมหางเสืออยู่

มันไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด พวกเขาได้จัดการกับความเห็นของสาธารณะชนอย่างไร้ที่ติต่างไปจากตอนอยู่ที่ฮารามาร์คอย่างสิ้นเชิง

จองซูได้สะบัดหัวอย่างแรง

‘คงไม่มีทางเลือกแล้ว’

แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวมันดำเนินไปตามทางของมันเอง และเกิดเรื่องใหญ่เกินกว่าจะรับมือได้ เธอจำเป็นจะต้องลงมือในทางเลือกที่ดูจะดีที่สุด

นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอขอเข้าร่วมการนัดพบในวันนี้

ในท้ายที่สุดแล้วชาวโลกทุกคนก็เหมือนๆกัน

พวกเขาต้องต้อนเธอจนจนมุมก็เพราะพวกเขามองว่าเธอเป็นกองกำลังที่เหลืออยู่ของกลุ่มพันธมิตร เมื่อเธอได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีวาเกลีน และกลุ่มพันธมิตร พร้อมทั้งสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ทั้งหมดที่กลุ่มพันธมิตรมีให้ พวกเขาก็จะต้องเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงไปอย่างสิ้นเชิงแน่ๆ

‘มันไม่ยากหรอก’

เพียงก็แค่ให้ซันเหอกับวัลฮาลาแทนที่กลุ่มพันธมิตรอีวาเท่านั้นเอง

ต่อให้พวกเขาไม่ยอมรับในข้อเสนอของเธอก็ไม่มีปัญหา จองซูมีความมั่นใจในศึกยืดยื้อนี้จนกระทั่งศัตรูของเธอจะยอมถอยเพราะเหนื่อยล้าไปเอง

ถึงชาล็อต อาเรียจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอคนนั้นก็ยังเชื่อใจเธออยู่ ตราบใดที่มีการคุ้มครองจากราชินี เธอก็มั่นใจว่าต่อให้เป็นซินยองก็ไม่อาจจะแตะต้องเธอได้

***

“นี่นายกำลังทำอะไรอยู่?”

“หืมม?”

“ทำไมนายถึงเอาจี้ไปถูกับกิ๊บติดผมนั่นล่ะ?”

“อ่อ”

เมื่อได้ยินคำถามของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูก็หยุดเอาจี้ถูกับกิ๊บติดผม และพูดขึ้น

“เธอเคยได้ยินเรื่องการติดเชื้อไหมล่ะ?”

“?”

“เชื้อความฝัน ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอดึงตัวฉันเข้าไปในความฝันได้ไง แต่ว่าฉันได้เจอว่าเธอได้ส่งมานาของเธอเข้ามาในเจ้านี่อยู่เล็กน้อย”

ซอลจีฮูได้ชูจี้ขึ้น และคิมฮันนาห์ก็ขมวดคิ้วออกมา

“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้างั้นฉันก็-“

“ไม่”

ซอลจีฮูได้ยิ้มบางออกมา

“อย่าคิดว่ามันเป็นคำสาปสิ ให้คิดว่ามันเป็นเครื่องมือสื่อสาร มันเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกันระหว่างความฝันของคุณโรเซร่ากับฉัน”

“งั้นแล้วมันจะไม่ส่งผลต่อฉันด้วยหรอ?”

“ไม่หรอก ฉันได้ถามเธอมาแล้ว และเธอก็บอกว่าเธอได้ตั้งเงื่อนไขให้มันตอบสนองต่อมานาของฉันเท่านั้น เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่

คิมฮันนาห์อยากจะถามว่า ‘มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?’ แต่ว่าเธอก็หยุดตัวเองไว้ จากที่เธอได้ยินมา โรเซร่าคนนี้คือแม่มดที่อุทิศตัวเองให้กับมนตรานับร้อยปี

คิมฮันนาห์ที่ไม่ใช่นักเวทย์จึงไม่กล้าที่จะไปตัดสินความสำเร็จของคนอื่นที่อยู่ในด้านนี้

“เพราะงั้นแล้วนายก็กำลังจะให้กิ๊บติดผมเป็นของขวัญกับราชินี และแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน”

“ถูกแล้วล่ะ ฉันยังต้องให้คำอธิบายกับเธอด้วยเหมือนกัน”

คิมฮันนาห์ได้เท้าคางมองเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ฉันก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดีว่ายัยราชินีคนนั้นเป็นนักเวทย์…”

“เธอยังไม่ได้เป็น พวกเราต้องรอดูก่อน”

การมีความถนัดในการกลายเป็นนักเวทย์ต่างไปจากการเป็นนักเวทย์ อย่างคำกล่าวที่ว่าหากไร้ความมุ่งมั่น พรสวรรค์ก็ไร้ค่า คำถามคือชาล็อต อาเรียมีความต้องการที่จะศึกษาในศาสตร์มนตราหรือเปล่า

ซอลจีฮูได้ใช้จี้ถูทุกๆส่วนของกิ๊บติดผมเพื่อให้มั่นใจ

“ยังไงก็ตาม ฉันไม่รู้สิว่าแผนจะได้ผลไหม”

“มันได้ผลแน่”

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ

“เธอมั่นใจได้ยังไงกัน”

“เพราะฉันคือคนวางแผน”

ช่างเป็นคำตอบที่สมกับเป็นคิมฮันนาห์จริงๆ

“ฉันแค่ล้อเล่น คำตอบจริงๆคือการทำลายความสัมพันธ์มันไม่ยากหรอก ทั้งหมดที่นายต้องทำก็คือการเผยถึงอดีต และสถานการณ์ที่สร้างความเชื่อใจระหว่างพวกเธอ และทำลายมันซะ”

“ก็ถูกของเธอ”

ซอลจีฮูได้อ่านรายงานมาหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นเขาจึงเข้าใจถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์บอกได้อย่างรวดเร็ว

ในตอนเช้านี้คิมฮันนาห์ได้เปลี่ยนแผนไปหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

แผนเดิมของพวกเขามันจะใช้เวลายาวนานเกินไป พวกเขาวางแผนจะทำให้ความกังขาที่ชาล็อต อาเรียมีต่อจองซูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งส่งซอลจีฮูไปตีสนิทเธอให้เหมือนกับพี่ชายจนทำให้เขาเป็นตัวแทนของแคมเบล อาเรียเพื่อสร้างความเชื่อใจ และไว้วางใจอย่างช้าๆ

แต่ว่าราชินีไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดาๆอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่คาดหวังในตัวเธออยู่

จองซูไม่ใช่ปัญหา เมื่อไหร่ที่ชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นผู้ใช้มนตราคนแรกของมนุษยชาติ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่องค์กรอื่นๆจะมองเห็นศักยภาพนี้ และเข้าหาเธอ

เพราะงั้นการที่วัลฮาลาได้เข้าไปยึดตำแหน่งนั้นไว้ก่อนที่ทุกๆอย่างจะซับซ้อนมันจะดีกว่ามาก

พูดตามตรงแล้วพวกเขาก็สามารถจะลองไปสร้างข้อตกลงกับจองซูในตอนที่เธอถูกต้อนจนจนมุมก็ได้

แน่นอนว่าพวกเขาก็สามารถจะชะลอการนัดพบระหว่างชาล็อต อาเรียกับโรเซร่าได้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่เธอใช้ในการพัฒนาตัวเองขึ้นมาด้วย

‘ต่อให้เราจะเสี่ยง แต่มันก็คุ้มค่า’

ซอลจีฮูไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธในแผนจู่โจมทันที

เขามีเส้นทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน เขาไม่มีเวลามาให้เสียเปล่ากับชาวโลกไร้ค่าที่เอาแต่เล่นสวมบทบาทโง่ๆอยู่ได้

หลังจากคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็ใส่จี้กลับลงไป

“นายพร้อมนะ?”

ในตอนนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“อ่า เพิ่งเสร็จเอง”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”

มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับยิ้มออกมา

“ฉันกำลังถามว่านายพร้อมสำหรับขึ้นสู่ตำแหน่งราชาไหม”

ซอลจีฮูได้ชะงักไปทันที

‘ราชาสินะ’

อีกไม่นานซอลจีฮูก็จะกลายเป็นราชาแล้ว

นั่นมันหมายความว่าเขาจะมีอิทธิพลในการควบคุมชาวโลกทุกๆคนที่อยู่ภายในเมืองอีวา ในแง่ตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เขาจะอยู่ในระดับเดียวกันกับทาเซียน่า ซินเซีย

เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในโลกพาราไดซ์แห่งนี้

ในตอนแรกที่เข้ามาในพาราไดซ์ ใครกันจะไปคิดว่าเขาจะพัฒนามาได้ถึงระดับนี้?

“…ไม่รู้สิ”

ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมา

“ไปกันเถอะ”

คิมฮันนาห์ได้หัวเราะเบาๆก่อนจะลุกขึ้น

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ นายก็แค่ต้องจัดฉากเท่านั้นแหละ ไม่สิ นายก็แค่พูดถึงหัวเรื่อง ส่วนที่เหลือซอกกูนีร์จะจัดการให้เอง”

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”

ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาก่อนจะเดินคู่กันกับคิมฮันนาห์

คู่หูนักต้มตุ๋นกำลังเริ่มปฏิบัติงานกันแล้ว

***

ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้เดินตามซอกกูนีร์เข้าไปในท้องพระโรงในทันทีที่มาถึงวัง

ชาล็อต อาเรียกำลังนั่งรอพวกเขาอยู่บนบัลลังก์

แม้ว่านี่จะเป็นการเจอกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขา แต่เพราะพวกเขาเคยเจอเธอมาก่อนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกพิเศษใดๆ

เมื่อเทียบกับการเจอกันครั้งแรกแล้ว มันมีความแตกต่างกันอยู่สองอย่าง หนึ่งคือพวกเขาต้องแสดงท่าทีอันเหมาะสมกับฐานะของเธอ และอีกหนึ่งคือหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆราชินีก็คงจะเป็นจองซู

แต่เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้แล้ว ซอลจีฮูจึงเล่นตามบทบาทต่อไป

เขาได้คุกเข่าลง และแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อราชินีได้พูดว่า “เงยหน้าขึ้น”

แต่ในวินาทีต่อมาซอลจีฮูก็กลายเป็นพูดไม่ออกจริงๆ

“ฟุฟุ เป็นสีหน้าที่น่าสนใจ”

ชาล็อต อาเรียได้เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาเหมือนกับว่าเธอชอบปฏิกิริยาของเขา

“จากเรื่องราวมากมายที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับคุณทำให้ฉันอดกลั้นความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ อย่าโกรธกันเลยนะ”

มันไม่ใช่เพราะว่าเรื่องที่ชาล็อต อาเรียพูดออกมาหรอกนะ

ที่ซอลจีฮูตกใจนั่นก็เพราะเขาได้เปิดใช้ความสามารถโดยกำเนิดของเขาในทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา

สีของชาล็อต อาเรียเป็นสีน้ำเงิน ทางเลือกแห่งโชคชะตา

ภาพตรงหน้าที่ฉายให้เขาเห็นเป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ มันมีลักษณะที่คล้ายกันกับยุนซอฮุย เธอได้เผชิญหน้ากับความอัปยศจากการกระทำของปรสิตมากมายนับไม่ถ้วน

สหพันธรัฐ และมนุษยชาติได้ล่มสลาย ชาล็อต อาเรียได้ถูกเลี้ยงดูเป็นเหมือนกับปศุสัตว์ นี่คือปลายทางของอนาคนหากว่ามันยังคงเป็นไปแบบเดิม

ยังไม่หมดเท่านั้น ข้อมูลทั่วไปของชาล็อต อาเรียที่นพเนตรได้แสดงให้เขาเห็นก็เกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก

[หน้าต่างสถานะของชาล็อต อาเรีย]

[1.ข้อมูลทั่วไป]
เพศ/อายุ: หญิง/22
ส่วนสูง/น้ำหนัก: 154.6 ซม./45.1 กก.
สภาพร่างกาย: สุขภาพดี

[2.คุณลักษณะ]
1.อารมณ์
-ภาวะซึมเศร้า (ถูกความรู้สึกโศกเศร้าทรมาน และจากนั้นก็รู้สึกยินดีที่ได้พึ่งพาผู้อื่นหรือได้รับความเห็นใจ)
-ไร้ความเด็ดขาด (ขาดความมั่นใจ และไม่อาจจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด)
-เด็กอมมือ (สภาพจิตใจยังเด็ก และมีการกระทำที่เหมือนกับเป็นเด็ก)

2.ความถนัด
-อัจฉริยะ (มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในโลกนี้)
-จดจ่อ (มีความสามารถในสิ่งๆหนึ่งรอบตัว หรือตัวเอง)

[5.ระดับความตระหนักรู้]
หัวอ่อน (เป็นคนที่ง่ายต่อการถูกชักจูง) / กังวล / เซื่องซึม (เฉื่อยชา และไม่แย่แส ไร้ซึ่งพลังงานที่จะทำสิ่งใด)

‘อย่างที่คิดเลย…’

มีอยู่หลายจุดที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจ ระดับความตระหนักรู้ของเธอก็เรื่องหนึ่ง แต่สภาพอารมณ์ของเธอมันน่าขำมากจริงๆ

ด้วยสถานะแบบนี้มันก็ง่ายมากที่จะระบุว่าเธอได้ประสบกับโรคทางจิตอย่างรุนแรง

‘เธอจะทำได้จริงๆหรอ…?’

แม้ว่าจะมีความคิดแบบนี้เข้ามาในหัวของเขา-

“คุณตกใจงั้นหรอ?”

เขาได้หลุดออกมาอย่างสับสน

คำถามไม่ใช่ว่าเธอจะทำได้ไหม แต่เธอต้องทำมัน

อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องลองดู ถึงจะมีคำกล่าวไว้ว่าการจะเปลี่ยนนิสัยมันทำได้ยาก

แต่เขาก็เชื่อว่าผู้คนมันเปลี่ยนกันได้ ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็คงเป็นกาปฏิเสธตัวเองเช่นเดียวกัน

นอกไปจากนี้หากมีเรื่องไหนที่เขาได้เรียนรู้ระหว่างเหตุการณ์ในอดีต และการได้พูดคุยกับโรเซร่า นั่นก็คือความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของทุกๆอย่าง

แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่เสมอ

หรือก็คือแทนที่จะตัดสินใจไปเอง และบังคับให้เธอปรับตัว สู้ค่อยๆแนะนำให้เธอเปลี่ยนตัวเองจากภายในมันคงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

แน่นอนว่าความยากมันอยู่ที่ว่าจะใช้วิธีไหนให้ได้ผลดีที่สุดในสถานการณ์นี้

แต่ซอลจีฮูก็มีวิธีมาตราฐานในการทำให้เขาตัดสินใจอยู่ บัญญัติทองคำ

แต่ชาล็อต อาเรียถูกแม่มดแห่งความฝันให้การรับประกันว่าเธอมีพรสวรรค์ และนพเนตรของเขาก็ยังบอกว่าเธอเป็นอัจฉริยะ ถึงจะไม่ใช่อัจฉริยะในรอบพันปี แต่เธอก็เป็นคนประเภทที่หาได้ยากอย่างแน่นอน

เพราะงั้นแค่ครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจจะเก็บบัญญัติทองคำเอาไว้ และเชื่อในศักยภาพของเธอเพียงเท่านั้น

คงจะมีแค่ ‘เทพ’ เท่านั้นที่รู้ว่านี่มันเป็นตัวเลือกที่ถูกหรือผิดกันแน่

“…ขออภัยด้วยครับ”

ซอลจีฮูยิ้มออกมา

“ผมรู้สึกตกใจมากที่ว่านี่ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกของเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือผมถูกความงดงามของท่านทำให้ไม่อาจจะใช้ความคิดได้เลย”

เขาได้พูดออกมาอย่างอ่อนโยน

“ได้โปรดให้อภัยกับชายผู้ที่หลงเสน่ห์ของท่านจนเงียบอยู่นานด้วยนะครับ”

จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ

“หะ หืมม?”

ชาล็อต อาเรียได้ผงะไป ภายนอกเธอพยายามทำเป็นใจเย็น แต่ภายในใจเธอรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก แต่ว่าหลังจากได้ยินถึงสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ เธอก็รีบกระพริบตาออกมา

“จู่ๆคุณพูดอะไรกัน…”

ชาล็อต อาเรียได้ถอยไปเล็กน้อยก่อนจะถูจมูกออกมา

“อะ โอหัง!”

และ…

[หุหุ]

กู่ลาที่เฝ้ามองฉากนี้อยู่เงียบๆได้ยิ้มออกมา

สำหรับในตอนนี้อีกหนึ่งอนาคตได้เปิดม่านขึ้นแล้ว