ตอนที่ 273

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 273 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (2)

ความเงียบได้เข้าปกคลุม

ชาล็อต อาเรียได้มองลงไปที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ เมื่อดูจากต้นคอที่แดงของเธอแล้ว เธอดูจะอายมาก

หลังจากเงียบอยู่สักพักชาล็อต อาเรียก็ลูบคอออกมา

“คุณกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้ต่อหน้าฉัน?”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ซึ่งมันกลับดูน่ารักมากกว่าน่าเกรงขาม แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้เผยความคิดออกมา

“ขออภัยด้วยองค์ราชินี”

“ไม่เป็นไร ชาวโลกก็เป็นกันซะแบบนี้ ในเมื่อคุณเคยอยู่ในฮารามาร์คอีกด้วย มันก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจหรอกนะ”

เธอได้แอบเหน็บราชวงศ์ฮารามาร์คที่ยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติไปเบาๆ

ซอลจีฮูยังคงไม่หยุดยิ้ม เขาอยากจะบอกว่าฮารามาร์คดีกว่าที่ฮารามาร์คเป็นพันเท่า แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะพลิกโต๊ะทั้งๆที่อาหารยังไม่ถูกวางไม่ได้

“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันทำเหมือนกัน… อ๊ะ”

ชาล็อต อาเรียได้รีบถามออกมาพร้อมทั้งใช้มือพัดตัวเอง

“ฉันได้ยินมาว่าคุณสนิทกับเทเรซ่า ฮัสเซย์มาก”

“เธอได้ช่วยผมเอาไว้ในหลายๆด้าน”

“จากที่ฉันได้ยินมา เทเรซ่า ฮัสเซย์ได้ให้การดูแลคุณเป็นพิเศษ…”

ซอลจีฮูที่คิดว่าเธอจะถามว่า ‘ทำไมคุณถึงมาที่อีวา?’ ได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่เธอถามนี้มันต่างจากที่เขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

“ในเมื่อคุณพูดถึงความงดงามแล้ว ฉันก็เริ่มสงสัยในความคิดของคุณแล้วสิ จริงด้วย ในตอนคุณเห็นเทเรซ่า ฮัสเซย์คุณคิดยังไงล่ะ?”

“…อะไรนะครับ?”

“คุณไม่ได้บอกว่าหลงเสน่ห์ในความงดงามของฉันหรอ? ในตอนคุณเจอเทเรซ่า ฮัสเซย์ได้เป็นแบบเดียวกันไหม?”

ซอลจีฮูแทบจะหลุดโพล่งออกมาว่า ‘อะไรว่ะเนี้ย?’ นี่มันแทบไม่ต่างจากการที่เธอถามว่า ‘คุณคิดว่าฉันกับเทเรซ่า ฮัสเซย์ ใครสวยกว่ากัน?’ เลยสักนิด

ยังไงก็ตาม ซอลจีฮูก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำถามนี้ และให้คำตอบออกมาอย่างไม่ลังเล

“ในตอนแรกที่ผมเจอกับเจ้าหญิงเทเรซ่า ฮัสเซย์ที่ฮารามาร์ค ผผมไม่เชื่อว่าผมจะพูดคำเหล่านั้นออกมา”

เขาไม่ได้โกหก ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะพูดอะไรแบบนั้นทั้งๆที่เจอเธอครั้งแรกอย่างแน่นอน เขาแค่รู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างรุนแรงจากเธอเท่านั้นเอง

“จริงหรอ?”

ยังไงก็ตามชาล็อต อาเรียที่ไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์การพบกันระหว่างพวกเขาได้ตาเป็นประกายขึ้นมา

“ผมต้องขออภัยด้วย แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง”

“จริงนะ? มันเป็นเรื่องจริงแน่นะ?”

ท่าทางการพูดของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน น้ำเสียงของเธอก็ยังสูงขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของซอลจีฮูจะไม่ได้เป็นไปตามที่เธอหวัง แต่การตอบกลับโดยไม่ลังเลของเขาก็ทำให้เธอมีความสุข

“คุณรู้ไหมว่าฉันไปถามพี่สาวได้นะ~”

“ด้วยความยินดีครับ”

แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง แต่ว่าเมื่อพูดมันออกไปแล้ว เขาก็ไม่อาจจะคืนคำได้

“ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”

“อืมมม เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของคุณจะไม่ได้เกินจริงนะ คุณเป็นชายที่มีเอกลักษณ์มากจริงๆ”

‘พระเจ้า’

เธอเรียกเขาว่าชายที่มีเอกลักษณ์กับแค่เพราะเขาบอกว่าเธอสวยกว่าเทเรซ่างั้นหรอ?

‘ช่างเป็นเด็กจริงๆ’

นี่ได้แสดงเห็นถึงธาตุแท้ของชาล็อต อาเรีย หากว่าไม่มีมงกุฎอยุ่แล้ว เธอก็คงไม่ต่างไปจากเด็กสาวทั่วไปเลย

“โอ้ หากว่าเจ้าหญิงเทเรซ่าได้ยินเข้า เธอคงเสียใจแน่”

จากนั้นเองจู่ๆแขกไม่รับเชิญก็แทรกขึ้นมาในบรรยากาศอันกลมเกลียวกัน เมื่อซอลจีฮูหันไปมอง ฝ่ายตรงข้ามก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ต้องขออภัยด้วย ฉันคือ-“

เธอได้หยุดจากนั้นก็หันกลับไปมองที่ราชินี ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมา

“อ่า ฉันให้เธอมายืนข้างๆฉัน แล้วก็ลืมแนะนำตัวเธอไปเลย คุณทั้งคู่ลุกขึ้นได้แล้วล่ะ”

ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นยืนจากท่าชันเข่า

“นี่จองซู ตัวแทนของอีวาเกลีน รู้จักกันไว้นะ”

“สวัสดี!”

จองซูได้ทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ซอลจีฮูก็ยังตอบกลับไป

“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมซอลจีฮู”

“ค่ะ ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันได้ยินถึงตำนานของตัวแทนจากวัลฮาลามานับครั้งไม่ถ้วนเลย ส่วนคนข้างๆคุณคือ…”

“คิมฮันนาห์”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันก็เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณคิมฮันนาห์เหมือนกัน ฉันอยากจะพบคุณมาตลอดเลย”

จองซูรวบมือเข้าด้วยกัน และทำสายตาเป็ฯประกายออกมา แต่ซอลจีฮูกลับรู้สึกว่าการกระทำของเธอมันดูน่าขยะแขยงมาก

ชาล็อต อาเรียได้มองสลับไปมาระหว่างจองซูกับคู่ชายหนุ่มก่อนจะไอแห้งๆออกมา

“อ่า เอาล่ะ ฉันได้ยินมาว่าคุณทั้งสองคนมีความเข้าใจผิดกันอยู่เล็กน้อย”

“…”

“จองซูบอกว่าเธออยากจะเข้าร่วมการพบกันนี้เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด ฉันเป็นคนอนุญาติเธอเอง เพราะงั้นอย่าถือสาเลยนะ”

“ชิ องค์ราชินี ท่านเอาเรื่องนี้มาพูดเร็วไปหรือเปล่า?”

“หืมม? อ่า พอมาคิดดูแล้ว พวกเรานัดมากินมื้อกลางวันกันนี้นา เราควรที่จะไปห้องอาหารกันก่อนสินะ”

“ไม่หรอก ไม่เป็นไรค่ะ”

จองซูได้ส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ฉันก็อยากจะใช้เวลาพูดคุยกันไปเรื่อยๆก่อนเหมือนกัน แต่ในเมื่อท่านพูดขึ้นมาแล้ว การคุยให้จบเลยมันคงจะดีกว่า”

“เธอบอกว่าเธออยากจะคุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวสินะ?”

“ค่ะ อย่างที่ฉันบอกเมื่อเช้า หากว่าท่านอนุญาติมันคงจะดีกว่า แค่ชั่วครู่ก็ได้แล้วค่ะ…”

เนื่องจากชาล็อต อาเรียได้รับคำอธิบายตั้งแต่เช้าแล้ว เธอจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย

“ในตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ตัวแทนจองสนใจอยากจะคุยกับคุณทั้งคู่มากๆ โดยเฉพาะ… อ่า คุณจิ้งจอกสินะ? ฉายาคุณค่อนข้างจะมีชื่อเสียงเลย”

“นั่นก็แค่ชื่อเล่นทั่วไปเท่านั้นเองค่ะ”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างสุภาพ

“งั้นหรอ? เอาเถอะนะ จองซูกำลังอยากจะคุยกับพวกคุณ คุณอยากจะคุยกับเธอก่อนทานมื้อเที่ยงไหมล่ะ?”

‘ว้าว…’

คิมฮันนาห์รู้สึกประทับใจมาก ทั้งๆที่เป็นคนเรียกพวกเธอให้มาที่นี่ แต่คนที่เรียกตัวเองว่าราชินีกลับกำลังบอกให้พวกเขาจัดการปัญหากับจองซูเองงั้นหรอ?

นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ราชินีสมควรจะพูดเลย ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็พอจะคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่เห็นจองซูอยู่ด้วยแล้ว

จองซูคงจะรู้สึกกดดันที่ท่าทีของราชินีที่มีต่อวัลฮาลาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การที่เธอเข้าร่วมการนัดพบกันครั้งนี้ก็เพื่อขจัดความกังวลออกไป

ความตั้งใจของเธอมันชัดเจนมาตั้งแต่การกระทำก่อนหน้านี้แล้ว จู่ๆก็แทรกการสนทนาระหว่างราชินีกับซอลจีฮู และยังพยายามที่จะขอนัดคุยกับคิมฮันนาห์เป็นการส่วนตัว ทั้งสองอย่างนี้ก็ต่างก็เป็นการบอกว่า ‘ดูสิ นี่แหละคือตำแหน่งของฉัน ลองดูสิว่าราชินีคิดยังไงกับฉัน’

‘แต่ก็คงไม่สำคัญหรอกนะ’

จริงๆแล้วคิมฮันนาห์อยากจะอ้าแขนรับอย่างยินดีด้วยซ้ำไป เดิมทีเธอวางแผนที่จะจัดการนัดคุยลับๆขึ้นด้วยอำนาจของซอกกูนีร์ แต่ว่าคนร้ายที่ถูกความรู้สึกผิดกัดกล่อนจิตใจกลับพาตัวเองกลับมาที่เกิดเหตุซะเอง

ในเมื่อเธออยากจะเข้ามาในปากจิ้งจอกมากขนาดนี้ ถ้างั้นก็มีแต่ต้องกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวซะแล้ว

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มกว้างออกมา

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธค่ะ ฉันก็อยากจะคุยกับตัวแทนจองเช่นกัน”

สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้สดใสขึ้นมา แม้ว่าเธอจะทำคุยบอกให้จองซูไม่ต้องห่วง แต่ว่าเธอก็ไม่คุ้นเคยกับการเข้าแทรกแซงเรื่องแบบนี้เลย แค่การพูดเริ่มบทสนทนาก็ยากสำหรับเธอแล้ว เพราะงั้นเมื่อได้รู้ว่าปัญหาคลี่คลายแล้วจะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไงกัน

“เยี่ยม ถ้างั้นฉันจะคุยกับตัวแทนซอลรอนะ”

“ขอบคุณที่ฟังคำขอของฉันนะคะองค์ราชินี”

“เธอมีความสุขสินะ? ฉันเห็นเธอมีแต่รอยยิ้มเลย”

“ค่ะ ฉันมีความสุขมาก”

จองซูได้เดินออกไปด้วยรอยยิ้มสดใส หลังจากแอบส่งรอยยิ้มให้ซอลจีฮูแล้ว เธอก็เดินผ่านเขา และไปหยุดอยู่ตรงหน้าคิมฮันนาห์

“ขอบคุณที่ตอบรับข้อเสนอนะคะ ฉันเกรงว่าคุณจะปฏิเสธมันซะอีก”

“ในเมื่อคุณอยากจะเจอฉันมานานแล้วฉันจะไปปฏิเสธได้ยังไงกัน? นอกไปจากนี้ฉันก็อยากจะคุยกับคุณด้วยเหมือนกัน”

ชาล็อต อาเรียได้แสดงสีหน้าร่าเริงออกมา มันดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่หญิงสาวทั้งสองคนเข้ากันได้ดี

“อย่าคุยกันนานนะ รีบมาที่ห้องอาหารก่อนที่อาหารจะเย็นด้วยล่ะ”

“ค่ะ องค์ราชินี”

หญิงสาวทั้งสองคนได้คุยกันอย่างสุภาพ

“ตามฉันมาได้เลยค่ะ ฉันรู้จักที่เงียบๆอยู่”

“ยอดเยี่ยม ฉันก็หวังว่าจะคุยในที่เงียบๆเช่นเดียวกัน”

ซอลจีฮูได้ฝืนกลืนน้ำลายลงไป

‘ทั้งสองคนต่างก็ยิ้ม… แต่ว่าดวงตาทั้งคู่มันไม่ใช่เลย’

มันเป็นความรู้สึกสงบก่อนพายุจะเข้าสินะ? ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลออกมาจากแผ่นหลัง

มันเหมือนกับหญิงสาวทั้งสองคนกำลังซ่อนมีดไว้ที่หลัง และกำลังหัวเราะกันอยู่ เมื่อทั้งคู่ได้จากไป ทั้งท้องพระโรงก็ได้ตกสู่ความเงียบ

“เอ่อ… คุณบอกว่าชื่ออะไรนะ?”

“ซอลจีฮู”

“ใช่แล้ว ซอลจีฮู แล้วก็ตัวแทนของ…”

“วัลฮาลา”

บทสนทนาถามตอบอันไร้แก่นสารได้เริ่มขึ้น ในตอนนี้พอเหลือกันอยู่เพียงสองคนแล้ว ชาล็อต อาเรียก็ทำอะไรไม่ถูก เธอได้พยายามอย่างมากที่จะหาเรื่องคุย

‘ไม่สิ’

พูดให้ถูกก็คือ เธออาจจะไม่อยากพูดในเรื่องที่จะทำให้อึดอัด ตอนนี้เธอคงกำลังเค้นสมองหาเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายอยากฟัง และจบการนัดพบนี้ให้สบายใจมากที่สุดอยู่ก็ได้

แต่ว่าซอลจีฮูจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ในเมื่อคิมฮันนาห์ได้เดินขึ้นเวทีไปก่อน ตอนนี้มันก็ถึงตาเขาแล้ว

แต่ว่าก่อนหน้านั้น เขาจะต้องสร้างเวทีขึ้นมาก่อน

“ขอบคุณที่เชิญผมมาในวันนี้นะครับ”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาหลังจากจัดการกับความคิดของเขา

“ผมควรที่จะมาพบท่านก่อนเพื่อส่งรายงานการเสร็จสิ้นภารกิจของราชวงศ์”

“อ่า”

ชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นร่าเริง ความเงียบอันน่าอึดอัดมันกำลังจะฆ่าเธอ แต่ว่ากลับมีหัวข้อที่น่าสนใจถูกพูดขึ้นมาแล้ว

“ตอนนี้พอคุณพูดเรื่องนี้แล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณได้พาสมาชิกสหพันธรัฐกลับพาได้สำเร็จเป็นอย่างดีเลย”

“มันไม่ใช่งานที่ยากอะไรเลยครับ ต้องขออภัยด้วยที่ผมรายงานล่าช้า”

“ไม่หรอก ไม่ มันเกิดขึ้นไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย”

ชาล็อต อาเรียได้โบกมือออกมาราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“คุณมีเรื่องยุ่งอยู่งั้นหรอ?”

เธอได้งับเหยื่อเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก

“แทนที่จะพูดว่ายุ่ง มันมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากกว่าครับ”

“หืมม? เรื่องที่ไม่คาดคิดหรอ?”

“ครับ ในระหว่างที่ผมไม่อยู่ พันธมิตรอีวาได้เข้าโจมตีสำนักงานเรา”

ซอลจีฮูไม่ยอมให้โอกาสเธอได้พูด

“โชคดีที่เรามีซันเหอคอยช่วยสนับสนุนอยู่ทำให้แก้ไขสถานการณ์มาได้…”

สั้นและเรียบง่าย

“จากที่ผมรู้มา ชาวโลกคนที่ยุยงให้กลุ่มพันธมิตรเข้าโจมตีเรายังไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลย”

ดวงตาของชาล็อต อาเรียได้เบิกกว้างขึ้น

“มะ ไม่ใช่นะ”

“องค์ราชินี ทำไมนายถึงกำลังปกป้องจองซูอยู่ล่ะ?”

จากการจู่โจมที่กระทันหันนี้ได้ทำให้สีหน้าชาล็อต อาเรียแข็งทื่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็แทบจะส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้เลย

“นะ นั่นมันเป็นการเข้าใจผิด”

“ไม่ครับ นั่นมันถูกแล้ว”

ซอลจีฮูได้ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น

“คะ คุณคิดผิด มันเป็นการเข้าใจผิด”

“ส่วนไหนหรอครับที่ท่านบอกว่ามันเป็นการเข้าใจผิด?”

“จองซูบอกว่า-“

“นั่นมันคือคำพูดของผู้กระทำผิด เธอไม่มีกระทั่งหลักฐานหรือพยานมายืนยันความบริสุทธิ์เลย เธอเพียงแค่ใช้ความใกล้ชิดกับท่านเพื่ออ้างถึงความบริสุทธิ์เท่านั้นเอง”

ถึงเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่มันก็ชัดเจน

“อีกด้านหนึ่งหลักฐานทั้งหมดที่เรามีต่างก็ชี้มาที่ตัวจองซู แบบนี้แล้วผมจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงพยายามที่จะปกป้องตัวแทนจองกันแน่”

ชาล็อต อาเรียได้เงียบลงไป เธอได้มองซอลจีฮูอย่างทำอะไรไม่ถูก เธอดูจะพึมพำบางอย่างออกมาโดยไร้เสียง แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน

ซอลจีฮูได้หลับตาลง หน้าต่างสถานะไม่ได้โกหก

ราชินี ชาล็อต อาเรียคนนี้ อ่อนแอ อ่อนแอมากจนเกินไป

ในกรณีแบบนี้แล้วซอลจีฮูเหลือเพียงแค่ทางเลือกเดียว นั่นคือการให้เธอได้เห็นและได้ยินถึงความจริง ต่อให้ความจริงนั้นมันจะทำให้เธอตกใจมากขนาดไหนก็ตาม

“ราชินี”

“…”

“ตัวแทนจองโกหก”

“จองซูคือ…!”

ชาล็อต อาเรียกำลังจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา แต่เธอก็ต้องเงียบลงไป เธอได้กัดริมฝีปากงดงามของเธอ

ดวงตาของซอลจีฮูได้เป็นประกาย จริงๆแล้วเขาคิดว่าชาล็อต อาเรียจะโกรธเมื่อเขาพูดให้ร้ายจ้องซู เขาคิดไว้ว่าเธอจะเข้าข้างฝ่ายที่ผิดสุดตัวหรือไม่ก็ไล่เขาออกจากวัง แต่ปฏิกิริยาของเธอค่อนข้างจะอ่อนลงไป

เขาควรจะคิดว่าเขาโชคดีได้ไหมนะฦ

‘บางที…’

บางทีลึกๆแล้วชาล็อต อาเรียก็น่าจะรู้ดีว่าจองซูกำลังใช้งานเธอถ้าแบบนี้ที่เธอยังคงเข้าข้างจองซูคงเพราะว่าจองซูเป็นคนเดียวที่เข้าใจ และยอมรองรับอารมณ์ของเธอ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น

ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดจะคุยให้มันยืดยาวนัก หากว่าคำพูดมันใช้ได้ผล ซอกกูนีร์ก็คงทำหน้าที่นี้สำเร็จไปนานแล้ว

ที่สิ่งต่างๆมาถึงขนาดนี้นั่นก็เพราะเธอไม่อาจจะใช้คำพูดโน้มน้าวอะไรได้ สำหรับในตอนนี้คิมฮันนาห์คงกำลังทำตามแผนของเธออยู่

ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ขออนุญาติใดๆ ชาล็อต อาเรียได้หดตัวหลบอยู่บนบัลลังก์จนเหมือนกับว่าเธอจะเข้าสิงที่นั่ง

“ยะ อย่าเข้ามานะ คะ คุณกำลังทำให้ฉันกลัว”

เธอคงจะกลัวมากจริงๆเพราะไหล่เล็กๆเธอกำลังสั่นเทา ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา

“อย่ากลัวเลยครับ ผมมาเพื่อช่วยท่าน”

“ช่วยฉัน?”

“เพื่อบอกความจริงกับคุณตามที่ผมได้ถูกขอร้องให้มาที่นี่ เพื่อช่วยให้ท่านได้ลืมตาขึ้น”

“มีคนขอให้คุณมาที่นี่?”

ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมทวนถึงสิ่งที่ซอลจีฮูพูดออกมา

“ใครกัน… อย่าบอกนะว่า คุณกำลังพูดถึงพี่สาวเทเรซ่า?”

ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป เขาได้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์

“ท่านอาจจะไม่รู้ ตัวว่าจองซูได้หลอกท่านมาตลอดตั้งแต่แรกแล้ว”

“มะ มันไม่ใช่แบบนั้น”

“ท่านอาจจะยังคงไม่รู้ ไม่สิ ต่อให้ท่านรู้ ท่านก็จะไม่อยากเชื่อมัน”

เมื่อซอลจีฮูได้จี้ปมในใจของเธอ สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ยิ่งกลายเป็นกังวลหนักกว่าเดิม น้ำตาได้เริ่มเอ่อร้นออกมาจากรอบดวงตาเธอเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา

“เพราะงั้นผมจะแสดงให้ท่านได้เห็น”

ซอลจีฮูได้ยิ้มบางออกมา

“ไม่ว่าตัวแทนจองซูจะโกหกหรืออะไรก็ตาม ท่านได้โปรดตัดสินมันหลังจากได้ดูและฟังมันดูด้วยเอง”

***

ในเวลาเดียวกันบรรยากาศระหว่างคิมฮันนาห์กับจองซูก็เต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน

จองซูได้จ้องคิมฮันนาห์ด้วยความตกตะลึง เธอได้เข้าการนัดพบลับนี้โดยเตรียมตัวส่งต่อผลประโยชน์ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว

ถึงที่นี่จะเป็นสถานที่ที่เธอเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นสถานที่ของเธอก็ตาม แต่เธอได้เตรียมตัวรับมือกับความเอาแต่ใจของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ

แต่แล้วเธอก็ต้องพูดไม่ออกเมื่อเจอการปฏิเสธที่จะเจรจาทุกๆเรื่องของคิมฮันนาห์

“ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆนะ”

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นในขณะที่เขี่ยเล็บเล่น สีหน้าของเธอได้แสดงถึงความไม่แยแสใดๆ

“แค่รีบเลือกมาซะ”

จองซูยิ้มออกมา

“คุณโลภจังเลยนะ”

“ฉันรู้ว่าฉันมันเต็มไปด้วยความโลภ เพราะงั้นคุณไม่ต้องพูดมันหรอก ในตอนนี้ฉันจะพูดมันอีกแค่ครั้งเดียว”

“ว่ายังไงนะ”

“คุณอยากจะออกไปจากที่นี่เงียบๆด้วยตัวเองในตอนนี้ หรือว่าอยากจะถูกลากออกไปทั้งน้ำตาหลังจากที่ต้องเจอกับความทรมานทุกรูปแบบแล้วกันล่ะ?”

จองซูได้กัดฟันแน่น เธอได้บีบมือที่ประสานกันไว้ และแสร้งยิ้มออกมา

“ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงคุณมาหลายครั้งแล้วนะ เพราะงั้นฉันก็เลยแปลกใจที่หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอกแยกแยะระหว่างนรกกับสวรรค์ไม่ได้”

“ฉันแยกแยะนรกกับสวรรค์ไม่ได้งั้นหรอ?”

“ถูกแล้วล่ะ ถ้าฉันบอกว่าไม่เลือกทั้งสองอย่างจะเป็นยังไงล่ะ?”

จองซูได้เชิดคางขึ้น

“ถ้างั้นแล้วคุณจะทำอะไร?”

คิมฮันนาห์ได้เลิกคิ้วออกมา จองซูได้ถามซ้ำอีกครั้ง

“พูดตามตรงเลยนะ คุณจะทำอะไรได้?”

“คุณนี่หน้าด้านกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

“คุณคิมฮันนาห์”

จองซูได้พูดต่อเบาๆ

“มันดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดอย่างแรงนะ ที่นี่มันไม่ใช่สกีเฮราซาร์ด แล้วก็วัลฮาลาไม่ใช่ซินยอง”

“…”

“ฉันไม่คิดว่าคุณจะแย่ถึงขนาดไม่เข้าใจสถานการณ์เลยนะ ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมคุณถึงถูกเตะออกมาจากซินยอง ตอนนี้ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้วสิ”

“กรอด”

คิมฮันนาห์ได้ก้มหน้าลง ร่างกายเธอสั่นออกมาในขณะที่เธอยังคงแค่นเสียงต่อ

จองซูได้พูดออกมาตรงๆ

“คุณจำเป็นต้องอวดขนาดนี้ด้วยงั้นหรอ? คุณคิดว่าการทำตัวหยาบช้าจะทำให้ฉันกลัวงั้นหรอ?”

“อวดงั้นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้ฝืนเงยหน้าขึ้นมา และพูดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะเยาะ

“คุณจองซู ฉันจะบอกอะไรให้นะ”

“ไม่ ฉันไม่อยากจะรู้เลย”

“ในตอนที่คุณยั่วยุใคร คุณต้องรู้ด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร ฉันนับจำนวนคนที่ทำตัวโอหังต่อหน้าฉันโดยไม่รู้ตำแหน่งของตัวเอง และต้องจบลงในนรกไม่ได้แล้วนะ”

“อ่อ~ ฉันเข้าใจแล้ว นี่มันชัดมากๆเลยล่ะ แบบปกติมันคงจะพูดว่า ‘คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?’ งั้นสินะ”

จองวูได้ตอบโต้กลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าไปสักนิด

“เอาเลย อยากจะทำตัวเก่งนักก็ทำไปเลย”

คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา

“พวกเขามักจะพูดไปเรื่อยโดยทำเป็นไม่มีอะไรให้ต้องกลัวในโลกใบนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงเหมือนๆกันโดยที่ต้องหลั่งเลือดและน้ำตาออกมา คุกเข่าขอร้องให้ฉันให้อภัยสักครั้ง นี่มันเป็นภาพที่ค่อนข้างคุ้นตาเลยล่ะ”

“ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังงานอดิเรกน่าสมเพชของคุณหรอกนะ”

จองซูได้เย้ยหยันออกมา

คิมฮันนาห์ได้ลูบต่างหูคริสตัลโปร่งแสงที่หูซ้ายพร้อมหัวเราะออกมา และหยิบเอากระดาษหนาออกมาจากกระเป๋า

“คุณคิดว่านี่คืออะไรกันล่ะ?”

เธอได้ถามขึ้นพร้อมกับโบกแผ่นกระดาษไปมา จองซูไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแต่มองคิมฮันนาห์ด้วยสีหน้าสบายอารมณ์

“มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับคุณ ทุกๆอย่างเกี่ยวกับคุณจองซูได้ถูกเขียนเอาไว้ เริ่มตั้งแต่วันเกิดของขึ้นจนกระทั่งวิธีที่คุณไต้เต้ามาจนถึงตำแหน่งปัจจุบัน”

จองซูได้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“…อะไรนะ?”

คิมฮันนาห์ได้ยื่นส่งปึกกระดาษให้กับจองซู และพูดต่อ

“เกิดปี 1994 ในโรงพยาบาลดงจินที่กุนซาน คุณมีพี่น้องสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คุณได้เข้าเรียนประถมที่โรงเรียนซุนโดจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่สอง และจากนั้นก็ย้ายไปที่โซลเพื่อย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประถมซัมซิล ต่อจากนั้น….”

ยิ่งคิมฮันนาห์อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเธอ รอยย่นบนหน้าผากของจองซูก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

“คุณตรวจสอบประวัติของฉัน?”

“อ่า มันชัดเจนว่าฉันไม่ได้ทำ แล้วฉันก็ไม่เคยขอให้ทำด้วย”

“แล้วนี่มันบ้าอะไรกัน? มันจะมีวิธีไหนอีก-“

“โอ้ เชื่อฉันสิ มันเป็นไปแล้ว นี่คือของขวัญที่ซินยองมอบให้เราในพิธีเปิดตัว”

คิมฮันนาห์ยิ้มหวานออกมา

“ซินยอง?”

“สำหรับคนที่คว้าโอกาสได้ค่อนข้างเร็วแล้ว คุณนี่โง่มาก ฉันจะขอแก้ไขสิ่งที่คุณพูดมาก่อนหน้านี้แล้วกันนะ แตอะไรกันที่ทำให้คุณคิดว่าฉันถูกไล่ออกมาจากซินยอง?”

คิมฮันนาห์เดาะลิ้นออกมาราวกับว่าเธอสงสารจองซู

“ซอลจีฮูถูกฉันเชิญเข้ามาในระหว่างที่ฉันอยู่กับซินยอง และหลังจากมาที่อีวา เขาก็ได้สร้างองค์กรขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่มันยังไม่ชัดอีกหรอ?”

คิมมฮันนาห์ได้สะบัดกองกระดาษ

“แล้วก็เอกสารนี้ มันมาจากตัวผู้อำนวยการยุนเองด้วย เธอกระทั่งส่งมันมาด้วยตัวเอง”

จองซูได้ผงะไป

“ฉันมั่นใจว่าคุณคงได้ยินเรื่องที่ผู้อำนวยการยุนมาที่พิธีเปิดตัวได้ คุณคิดว่าเธอจะแค่มาที่อีวาแค่เพื่อมาเยี่ยมอดีตเพื่อนร่วมงาน ทั้งๆที่เธอเต็มไปด้วยงานยุ่งงั้นหรอ?”

ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าจองซูก็ได้เริ่มจางหายไป

“ก็นะ ฉันไม่เคยได้ยินอะไรไร้สาระแบบนี้มาก่อนเลย ฉันหมายถึงฉันเข้าใจนะว่าคุณเชื่อราชินีสุดหัวใจ และมันก็จริงที่เรายากจะแตะต้องคุณหรืออีวาเกลีน แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่วิธีเดียวที่จะใช้งานได้หรอกนะ”

คิมฮันนาห์ได้สะบัดกระดาษไปมา

“ดูนี่สิ พ่อของคุณชื่อจองฮวันซุง เขายังคงมีชีวิตอยู่ดีโดยทำงานเป็นวิศวกรให้กับซินยองเป็นเวลา 24 ปี…ว้าว โลกใบนี้มันเล็กจังเลยนะ เขาเป็นพนักงานของบริษัทในเครือเราสินะ?”

เมื่อคิมฮันนาห์เอาเรื่องครอบครัวของเธอมาพูด ประกายไฟได้พุ่งออกมาจากตาจองซู

“คุณคิดว่านี่จะทำให้ฉันกลัวงั้นหรอ?!”

ปัง! เธอได้ทุบโต๊ะ และตะโกนออกมา

“เอาจริง ถ้าต้องการก็ไล่เขาเลย! พ่อของฉันก็ใกล้จะเกษียรออกมาอยู่แล้ว เธอคิดว่าฉันจะไม่มีความกตัญญูเลยงั้นหรอ?”

“โอ้ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะไร้เดียวสาแบบนี้เลยนะ”

จองซูได้ผงะไป มุมปากของคิมฮันนาห์ได้โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันโสมม

“การเลิกจ้างเป็นวิธีสกปรกที่สุดที่คุณคิดได้แล้วงั้นหรอ?”

คิ้วของจองซูได้ขมวดออกมา

“ว่ายังไงล่ะคุณจองซู?”

คิมฮันนาห์ได้เอียงตัวออกมาข้างหน้า

“คุณคงยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้สินะ”

เธอได้ลดเสียงต่ำลง และพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ

“ในเกาหลีใต้แล้ว การที่คนที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจจะพิการไปมันไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ”

“อะไรนะ-“

“มีอีกหลายร้อยวิธีที่สามารถจะทำให้คนๆหนึ่งถูกตราหน้าเป็นอาชญากร และถูกสังคมรังเกียจ”

ใบหน้าของจองซูได้สั่นเทาออกมา

“ทะ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้”

“ฉันคิดว่าคุณก็รู้คำตอบนะ”

“ฉันบอกว่าฉันบริสุทธิ์!”

“ใช่แล้ว แน่สิว่าคุณบริสุทธิ์~”

คิมฮันนาห์ได้แคะหูของเธอ

“มาดูกันสิ แม่ของคุณ ชินชุนจาเป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมต้น โอ้? เธอก็เกือบจะเกษียรด้วยแล้วเหมือนกัน ฉันหวังว่าเธคงไม่เจอกับปัญหาใดๆ ดังนั้นเธอก็น่าจะเกษียรได้ด้วยดีนะ”

“หยุด! หยุดได้แล้ว! เธอรู้ไหมว่าแม่ฉันทำงานหนักมาขนาดไหน-“

จองซูได้กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ลูกชายคือคุณจองซึงกิ? เภสัชกรรมฮวาดง? ชื่อนี้มันก็คุ้นๆนะ ตอนนี้ซินยองคือราชาแห่งสาขาเภสัชกรรมที่ไม่มีใครเทียบได้ เพราะงั้นมันก็คงไม่ยากเลย มาดูลูกสาวคนแรกกันบ้าง คุณจองชียอนเป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยกุนจุง คุณครูสอนพิเศษดูเหมาะกับเธอดีนะ”

คิมฮันนาห์ได้พลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ อย่างไม่แยแส

“คุณเป็นน้องเล็กสุดสินะคุณจองซู? ช่างน่าเสียดายที่คุณไม่มีน้องเลย หากว่าคุณมีน้องสักคนที่กำลังเรียนอยู่ ฉันมั่นใจได้เลยว่าชีวิตวัยเรียนจะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แน่นอน”

แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันไม่ได้ผล แต่จองซูก็ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล

“เธอถึงขนาดจะยุ่งกับครอบครัวฉันเลยงั้นหรอ!? เพราะกับแค่พาราไดซ์…!”

“แค่พาราไดซ์?”

คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา

“ว้าว คุณได้ยุยงปลุกปั่นให้มีคนลงมือทำการฆาตกรรม และดูที่คุณพูดเข้าสิ? ก็นะ ฉันเข้าใจว่าคุณอยากจะทำตัวเป็นลูกสาวคนดีเป็นแบบอย่าง… แต่ว่าจริงๆแล้วคุณมันก็ไอ้ชั่วไม่ใช่หรอ?”

ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็ได้เผยธาตุแท้ออกมา เมื่อได้ยินคำดูถูกตรงๆ สีหน้าจองซูก็กลายเป็นเย็นชาไป

“…ยัยสารเลว”

“โอ้?”

“ยัยโสโครก น่าขยะแขยง”

“อืมม… ฉันจะเสริมเข้าให้ด้วยแล้วกันว่าฉันมันเป็นยัยสารเลว ชั่วร้ายไร้หัวใจ และต่ำช้า ก็นะ ฉันยอมรับมันนั่นแหละ อย่างน้อยฉันก็เคยได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง แล้วคุณมีคำพูดไหนอีกไหมล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างหน้าไม่อาย

“แก…!”

“อย่าคิดว่าฉันโหดร้ายเลยนะ คติประจำตัวฉันคือตาต่อตา ฟันต่อฟัน คุณกล้าแตะต้องวัลฮาลาที่ซึ่งเป็นเหมือนกับครอบครัวของฉัน ในทางเทคนิคแล้วฉันก็ควรที่จะเข้าทำลายอีวาเกลีนเลยด้วย แต่ว่านะ…”

คิมฮันนาห์ได้หยุดเล็กน้อย และหันไปมองด้านข้าง

“เพราะงั้นแล้ว…” จองซูได้กัดฟันแน่น “ไม่ว่ายังไงเธอก็กำลังบอกว่าเธอจะทำลายครอบครัวของฉันงั้นหรอ”

“ถูกต้อง นั่นเพราะในด้านนี้ฉันทำอะไรกับครอบครัวของคุณไม่ได้ เพราะงั้นแล้วอย่างน้อยฉันก็จะโจมตีครอบครัวคุณที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาว แน่นอนว่าทุกๆคนเลยนั่นแหละ”

จองซูไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไปแล้ว

ครืดด! หลังจากเธอรีบลุกขึ้นยืนแล้ว เธอก็พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น

“เธอทำพลาดแล้ว”

“พลาดงั้นหรอ? พวกเขาแกร่งมากบนโลก คุณจะทำยังไงล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ใช้คำพูดก่อนหน้านี้ที่จองซูพูดกับเธอย้อนกลับไป ปากของจองซูได้บิดเบี้ยวออกมา

“ฉันบอกเธอไปแล้วนี่? ที่นี่ไม่ใช่สกีเฮราซาร์ด ที่นี่คือพระราชวังของราชวงศ์อีวา”

“ฉันรู้ว่าฉันอยู่ไหน ฉันแค่สงสัยว่าคุณจะทำอะไรเท่านั้นเอง”

คิมฮันนาห์ได้ประสานมือเท้าคาง และหยักไหล่ออกมา

สีหน้าของจองซูได้บิดเบี้ยวไป

“เธอคิดว่าฉันจะยอมแพ้กับการข่มขู่แบบนี้งั้นหรอ?”

“เมื่อก่อนมันก็ได้ผลเป็นอย่างดีนะ ทุกๆคนต่างก็พูดแบบเธอแหละ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้”

“…โอ้ งั้นหรอ?”

จองซูได้หันหน้าออกไปราวกับไม่มีอะไรให้พูดต่อแล้ว

“เธอหาเรื่องผิดคนแล้ว”

“หาวววววววว”

คิมฮันนาห์ได้ยกมือปิดปาก และหาวกว้างออกมา จองซูได้จ้องเธอเหมือนกับจะฆ่ากันให้ได้ก่อนที่จะกระทืบเท้าเดินจากไป

ขณะที่เธอเดินมาที่ท้องพระโรงน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา ความอัปยศครั้งใหญ่นี้ที่เธอได้เผชิญมันได้กระตุ้นให้เธอต้องร้องไห้ออกมา

จองซูที่ร้องไห้อยู่เงียบๆได้ค่อยๆมุ่งหน้าไปที่ท้องพระโรง

“องค์ราชินี!”

เมื่อเธอได้เห็นราชินี เธอก็ได้วิ่งตรงเข้าไปหาชาล็อต อาเรียในทันที เธอได้ร้องไห้ระบายถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์เพิ่งพูดออกมาจนหมด

“งั้นเธอกำลังจะบอกว่า…”

ชาล็อต อาเรียได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“คิมฮันนาห์ข่มขู่เธองั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว!”

เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของราชินี จองซูได้พยักหน้าออกมาราวกับรอเวลานี้อยู่

“เธอบอกให้ฉันจากไปเงียบๆ! หากไม่เช่นนั้นเธอจะทำลายครอบครัวของฉัน!”

“ครอบครัวงั้นหรอ?”

ชาล็อต อาเรียได้ถามขัดเธอขึ้น

“ครอบครัวที่เธอหมายถึงคือน้องสาวที่เหลือเพียงคนเดียวน่ะหรอ?”

“คะ ค่ะ!”

ในทันทีที่เธอได้ยอมรับนี้ จองซูก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างแปลกๆ

ท่าทีของราชินีดูต่างไปจากปกติ แทนที่เธอจะเอะอะโวยวายถามเรื่องต่างๆ เธอกลับนิ่งสงบมาก

ดวงตาที่มองมาของเธอเหมือนกับจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

“นี่มัน… ดีใจที่ได้ยินนะ”

“…อะไรนะคะ?”

“เธอบอกว่าพ่อแม่ได้จากเธอไปตั้งแต่ยังเด็ก และเพราะการแก่งแย่งมรดกทำให้คุณตัดขาดสายสัมพันธ์กับญาติทั้งหมดไป”

จองซูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน

“เนื่องจากว่าคุณไม่มีพี่ชายหรือพี่สาวเลย คุณจึงได้แต่ต้องดูแลน้องสาวที่ยังเล็กอยู่ ด้วยความสามารถของคุณการดูแลคนๆหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

นี่มันอะไรกัน? ทำไมจู่ๆเธอเป็นแบบนี้?

ไม่นานนักคำตอบก็ได้เผยออกมา ซอลจีฮูที่ยืนอยู่ข้างๆชาล็อต อาเรียได้ยกแขนขึ้น ในมือขวาของเขามีคริสตัลที่ส่องแสงจางๆออกมาอยู่

‘คริสตัลสื่อสาร?’

เมื่อมองดูดีๆแล้วภาพที่สะท้อนออกมาก็คุ้นมาก

เมื่อจองซูจำได้ถึงห้องที่เธอเพิ่งจะกระทืบเท้าออกมา ม่านตาของเธอก็ได้สั่นไหวขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานภาพภายในคริสตัลก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ คิมฮันนาห์ได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส-

“อ่า”

ดวงตาของจองซูได้เบิกโพล่ง และความคิดของเธอกลายเป็นว่างเปล่าไป