บทที่ 274 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (3)
ใบหน้าของจองซูได้กลายเป็นไม่น่ามอง
ตัวเธอกำลังสั่นเทาเหมือนกับคนที่พึ่งจะรู้ตัวว่าก้าวลงหน้าผาไปแล้ว
“เธอบอกว่าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กไม่ใช่หรอ? เธอไม่ได้บอกว่าเป็นแบบเดียวกับฉันหรอ?”
“อะ องค์ราชินี”
“แล้วเรื่องน้องสาวของเธอล่ะ? ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าน้องสาวอยู่ในอาการโคม่าจนทำให้เธอมาไม่ได้ตอนที่การเกณฑ์คนหรอ?”
“มันไม่ใช่นะ! นี่มันไม่ถูกองค์ราชินี”
“ถ้างั้นแล้วอะไรล่ะ?”
ชาล็อต อาเรียได้ถามออกมาราวกับเธอยังอยากจะเชื่อจองซูอยู่
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วถ้างั้น…”
เธอได้ถามออกมาเป็นครั้งที่สอง ยังไงก็ตามจองซูได้แต่อ้ำอึ้ง
“ถ้างั้นแล้วอะไร!?”
จากการระเบิดเสียงออกมาอย่างกระทันหันได้ทำให้จองซูต้องล้มลงไป ขาของเธอได้อ่อนแรง
‘พูดมาสิ บอกข้อแก้ตัวที่น่าเชื่อถือออกมา’ ชาล็อต อาเรียได้กระตุ้นจองซู และถามย้ำถึงสสามครั้ง แต่ว่าจองซูก็ไม่อาจจะทำตามที่ราชินีหวังได้
พวกเธอทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าต่อให้พยายามปิดบังไปก็ไม่มีความหมายแล้ว
จองซูไม่มีอะไรจะพูดได้อีก ในตอนนี้เธอยอมรับทุกๆอย่างด้วยตัวเอง เธอรู้ดีว่าหากหาข้ออ้างไปก็ไร้ความหมาย
“เธอ…”
สายตาอันโศกเศร้าได้เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างช้าๆ
“โกหก”
ในที่สุดคำตัดสินก็ออกมาแล้ว
ในจุกๆนี้น้ำตาของจองซูก็แห้งไป และเธอก็พยายามอย่างมากที่จะลุกขึ้นยืน
ความพยายามทั้งหมดที่เธอได้ลงแรงไปนับสิบปีจู่ๆก็พังทลายลงในเวลาแค่สิบนาที
กับการแค่พลั้งปากไปเพียงครั้งเดียวได้เกิดเป็นผลลัพธ์อันโหดร้าย แต่ว่าเธอก็ดูจะไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ออกมามากนัก มีเพียงแค่ความรู้สึกรีบร้อน และทรนงเท่านั้นที่สลักเอาไว้บนใบหน้าของเธอ
จองซูก็ยังไม่อาจจะสบตากับราชินีได้ นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้ชาล็อต อาเรียต้องเจ็บปวด
“คนโกหก”
จองซูได้ชะงักไป ใบหน้าของเธอได้เริ่มสั่นเทาอย่างชัดเจน
-คุณคงยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่สินะ?
เสียงได้ดังออกมาจากคริสตัล
-ฉันคิดว่าเธอจะพยายามเกาะติดหนึบเธอต่อไปโดยไม่สนใจอะไรซะอีก
คำพูดสุดท้ายได้ถูกส่งออกมาแล้ว
จองซูได้เบิกตากว้าง เธอได้รีบพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น และกวาดตามองไปรอบๆ
ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
หากว่าเธอร้องไห้อ้อนวอน ราชินีใจอ่อนก็จะไม่ฆ่าเธอ แต่ว่าเธอจะต้องถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน
[หรือว่าอยากจะถูกลากออกไปทั้งน้ำตาหลังจากที่ต้องเจอกับความทรมานทุกรูปแบบแล้วกันล่ะ?]
[ฉันนับจำนวนคนที่ทำตัวโอหังต่อหน้าฉันโดยไม่รู้ตำแหน่งของตัวเอง และต้องจบลงในนรกไม่ได้แล้วนะ]
ในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์จะบอก ทุกๆอย่างได้หลุดออกมาจากการควบคุมของเธอ และมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว
ในฐานะคนโกหกที่ไม่เหลือทางเลือก ไพ่ตายสุดท้ายของเธอก็คือ…
“อ่า”
…การหนี เธอได้หันหน้ารีบวิ่งหนีออกไป
“คนโกหก!”
ชาล็อต อาเรียได้กรีดร้องออกมา
แต่ว่าจองซูก็ไม่ได้สนใจ และหายไปเหมือนกับสายลม เธอได้เลือกละทิ้งทุกๆอย่าง และหลบหนีไปดีกว่าต้องเจอกับความอัปยศต่างๆ
อย่างน้อยที่สุดทักษะการตัดสินใจอันรวดเร็วของเธอมันยอดเยี่ยมมาก
ชาล็อต อาเรียได้น้ำตาเอ่อร้น และริมฝีปากสั่นเทาก็ไม่อาจจะอดกลั้นเอาไว้ได้อีก
“ฮืออออออ”
ซอลจีฮูได้เม้มปากด้วยความขมขื่น
เขาก็คิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องตกใจ แต่การได้เห็นเธอร้องไห้มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ไปด้วย
“คนโกหก… คนโกหก…”
ชาล็อต อาเรียที่ร้องไห้เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆออกมา
***
นอกไปจากนี้การนัดพบก็พังลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่อาจจะกินมื้อเที่ยงกันอย่างเป็นมิตรได้ในสถานการณ์แบบนี้
ส่วนทางซอกกูนีร์ที่รออยู่ด้านนอกก็ได้จัดการกับสถานการณ์นี้ ขณะที่ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ออกไปจากวังเงียบๆ
ในท้ายที่สุดจองซูก็ไม่อาจจะหลบหนีไปได้ จริงๆแล้วไม่ว่าเธอจะเลือกแบบไหน มันก็ไม่ต่างกับการวิ่งอยู่ในเขาวงกตเลย
ในเมื่อคิมฮันนาห์ได้บอกแผนไว้กับซอกกูนีร์แล้ว จองซูจึงถูกทหารของซอกกูนีร์ที่อยู่รอบวังจับตัวเอาไว้
ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้หันหลังไปหลังจากที่เห็นจองซูดิ้นรนกรีดร้องก่อนจะถูกจับโยนเข้าห้องขัง
“ในท้ายที่สุดเธอก็แค่ผู้หญิงเลวคนหนึ่ง”
คิมฮันนาห์ได้เริ่มพูดขึ้นเมื่อพวกเขาออกมาจากวัง
“นี่คือเหตุผลที่ผู้คนพูดกันว่าเหล่าคนที่ใช้ชีวิตกับสงคราม ก็ตายไปเพราะสงครามแหละนะ”
เธอพูดถูก คนที่ใช้การเมือง ก็ต้องตายด้วยการเมือง
เหตุผลเดียวที่จองซูมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะเธอไม่พลาดโอกาสที่จะสร้างสายสัมพันธ์ความเห็นใจกับชาล็อต อาเรีย
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะมีความสามารถยังไง ที่เธอทำได้ถึงขนาดนี้มันก็เพราะช่องว่างที่อีวาเกลีน โรสเหลือไว้ และเป้าหมายของเธอ ชาล็อต อาเรียเป็นคนที่หัวอ่อน และไร้เดียงสาเท่านั้น
เมื่อไหร่ที่สายสัมพันธ์อันเป็นรากฐานนั้นพังทลายลง จองซูก็จะไม่อาจทำอะไรได้อีก
“โอ้ จริงสิ ฉันมีเรื่องจะขอหน่อย”
จู่ๆคิมฮันนาห์ก็ถามออกมา
“จองซูนั่นนะ ให้ฉันจะการกับเธอได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าสับสนออกมา
“มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ว่านักโทษจะอยู่ในการดูแลของราชวงศ์ไม่ใช่หรอ?”
“ฉันถามซอกกูนีร์มาแล้ว เขาบอกให้ฉันทำตามใจได้”
“แล้วราชินีล่ะ?”
“เราจะไม่บอกเธอ”
“?”
“ซอกกูนีร์กับฉันตัดสินใจจะบอกเธอว่าจองซูได้หนีไปที่โลก และจะไม่กลับมาอีกแล้ว ยังไงสุดท้ายราชินีของเราก็เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว”
ใช่แล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงที่ชาล็อต อาเรียจะปล่อยจองซูเป็นอิสระ
“แล้วเธอวางแผนอะไรไว้งั้นหรอ? แล้วถ้าราชินีไปเจอจองซูที่คุกล่ะ?”
“ราชินีไม่ได้สนใจการดูแลเมืองของตัวเองเลยด้วย เพราะงั้นแล้วทำไมเธอจะต้องสนใจเรื่องคุกด้วยล่ะ? พวกเราก็แค่ต้องปิดเงียบไว้ก็เท่านั้น”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา
“ต่อให้ถูกจับได้ก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็แค่บอกว่าจองซูถูกจับได้ในตอนที่เธอแอบเข้ามาในพาราไดซ์อีกครั้งก็ได้ ยังไงเราก็กำลังจะออกหมายจับเธอวันนี้อยู่แล้ว”
ซอลจีฮูรู้สึกประหลาดใจกับคิมฮันนาห์ คิมฮันนาห์ไม่ใช่คนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ เธอเป็นคนประเภทที่ว่าเมื่อเริ่มแล้วต้องทำให้จบ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม
‘ดูเหมือนจะต้องมีเหตุผลที่ปรสิตยอมรับเธอสินะ’
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสงสัย และถามออกมา
“แล้วเธอจะทำอะไรกับจองซูงั้นหรอ?”
“…”
จู่ๆคิมฮันนาห์ก็ปิดปากเงียบไป
“คิมฮันนาห์?”
“ฉันจะต้องบอกจริงๆหรอ?”
นี่เป็นการตอบกลับที่เขาคาดไม่ถึงเลย
“หากว่านายอยากจะรู้ฉันจะบอกก็ได้… แต่ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเท่าไหร่?”
“น่าฟังกับไม่น่าฟังมันเกี่ยวตรงไหนล่ะ?”
“ตามปกติแล้วฉันจะหลอกใช้งานคนอื่นเพื่อทำตามเป้าหมายที่มีเอาไว้ในใจ แต่ในคราวนี้ฉันกำลังจะใช้เธอเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”
“ความต้องการของตัวเอง?”
“ฉันก็เป็นมนุษย์คนนึงนะ”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
“ตราบใดที่ฉันเป็นมนุษย์ ฉันก็จะมีความเครียด และงานอดิเรกก็จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะระบายมันออกไป”
“นี่ยิ่งทำให้ฉันสงสัยนะ”
ซอลจีฮูได้จิ้มสีข้างของคิมฮันนาห์
“อธิบายสั้นๆสักหน่อยได้ไหม?”
“มันก็แค่…”
คิมฮันนาห์เม้มปากออกมา
“ฉันกำลังทำให้เธอโชกเลือด”
ใบหน้าของซอลจีฮูบูดบึ้งไป
“จากนั้นฉันถึงจะรู้สึกพอใจ นิสัยของฉันมันพังไปนิดหน่อยน่ะ”
หลังจากพูดแบบนี้ออกมาแล้ว เธอก็เหลือบมองไปด้านข้าง
“ทำไมล่ะ มันแปลกงั้นสิ?”
“…ก็นิดหน่อย?”
“นี่เป็นความชอบของฉัน เพราะงั้นเคารพกันด้วย นายมันก็บ้าหน้าอกเหมือนกันนี่”
“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ว่าฉันกำลังพูดถึงการพูดของเธอ”
“การพูดของฉัน?”
คิมฮันนาห์ได้ขมวดคิ้วออกมา
“เมื่อไหร่ที่อธิบายถึงศัตรูเธอจะพูดถึงในลักษณะที่เลวร้ายอยู่เสมอ…”
“งั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ซอลจีฮูได้พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันทำแบบนั้นไปจริงหรอ? ฉันไม่เห็นรู้เลย”
คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวก่อนจะหัวเราะออกมา
‘นี่คงติดเป็นนิสัยแล้วจริงๆสินะ’
จากนั้นเธอก็ยืดแขนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เรายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันเลยนี่นา ไปซื้อเนื้อก่อนกลับกันดีกว่า ฉันหิวมาทั้งวันแล้ว”
เธอได้บดเอว และเดินแกว่งแขนไปข้างหน้า
***
ในวันนี้ก็มีประกาศจับจองซูออกมาอย่างที่คิมฮันนาห์ได้พูดเอาไว้
จากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมาซอลจีฮูก็ได้ไปที่วังอีกครั้งหนึ่ง เหตุผลสำคัญคือซอกกูนีร์ได้ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่คิมฮันนาห์ก็ยังผลักดันให้เขาไปอีกด้วยโดยบอกว่านี่คือเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
‘ตอนอยู่ฮารามาร์คฉันไม่เห็นต้องไปที่วังบ่อยแบบนี้เลย’
ซอลจีฮูที่กำลังจับกิ๊บติดผมในกระเป๋าเล่นได้เดินมาจนถึงที่วัง
น่าแปลกที่สถานที่ที่ผู้ดูแลราชวงศ์ได้นำทางเขาไปไม่ใช่ที่ท้องพระโรง แต่เป็นห้องนอน
เขารู้สึกสงสัยว่าการไปที่ห้องนอนของราชินีโดยไม่อนุญาติจะไม่มีปัญหาอะไรหรอ แต่ซอกกูนีร์ก็แค่ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก’ และประกาศการมาถึงของเขา
บรรยากาศภายในห้องได้เต็มไปด้วยความหดหู่ มันอึดอัดจนทำให้เขารู้สึกหายจแทบไม่ออก
ซอลจีฮูได้ค่อยๆ เข้าไปในห้อง และไม่นานนักก็เห็นชาล็อต อาเรียกำลังนอนทิ้งตัวอยู่บนเตียง
แม้ว่าจะได้ยินเสียงประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว เธอก็ไม่ได้ขยับตัวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“องค์ราชินี”
“…”
“ท่านหลับอยู่หรอ? ถ้าแบบนั้น…”
“ปะ ไปให้พ้น”
ก่อนที่เขาจะได้พูดว่าจะมาคราวหน้า เสียงตอบกลับของเธอก็ดังขึ้น
“เจ้าคนหยาบช้า คุณกล้าเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้ยังไงกัน!”
“ผู้ดูแลราชวงศ์พาผมเข้ามา”
“…ฮึ่ม”
ชาล็อต อาเรียได้ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าร่างกายกับบรรยากาศรอบตัวเธอกำลังบอกว่า ‘ฉันกำลังหดหู่ รีบๆเข้ามาปลอบฉันได้แล้ว’
‘เชื่อในตัวซอกกูนีร์เถอะนะ’
ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น
“ในเมื่อผมทำตัวหยาบคายไปแล้ว ถ้างั้นขออนุญาติทำตัวหยาบคายอีกครั้งแล้วกันนะครับ”
ซอลจีฮูได้จับผ้าห่มและดึงออกมาอย่างอ่อนโยน
“อื้อออ!”
ชาล็อต อาเรียได้พยายามยื้อผ้าห่มเอาไว้สุดกำลัง แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจสู้แรงของซอลจีฮูได้
“คุณกำลังทำอะไรอยู่!? อย่ามารังแกฉันนะ!”
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยรู้สึกมาหลายครั้งแล้ว ชาล็อต อาเรียไม่ใช่องค์หญิงแบบเทเรซ่า เธอเป็นราชินีที่ล้มเหลว
ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ตัดสินใจจะไม่สนใจเรื่องนี้เอาไว้ก่อน มันคงจะดีกว่าที่เขาจะมองราชินีจอมเอาแต่ใจคนนี้เหมือนกับน้องสาวซอลจินฮีของเขา
“องค์ราชินี”
ชาล็อต อาเรียดูผอมแห้งเหมือนกับว่าเธอได้อดอาหารมาหลายวัน ดวงตาของเธอก็ยังบวมขึ้นจากการร้องไห้อยู่นาน
“ได้โปรดคุยกับผมสักหน่อยเถอะนะ”
และชาล็อต อาเรียก็ได้ลุกขึ้นจากเตียงราวกับรอคำพูดนี้อย่างที่คิดไว้ เธอได้เริ่มพูดทั้งๆที่จมูกแดงขึ้น
“ฉันจะไม่ขัดขืนก็ได้ในเมื่อผู้ดูแลส่งคุณมา”
เธอได้เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา และพึมพำออกมา
“แต่ว่าฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่สิ ฉันไม่อยากจะเจอใครอีกแล้ว”
ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป
เขาจะไม่พูดว่า ‘ได้สิ งั้นผมไปแล้ว’ จากประสบการณ์ของเขากับเทเรซ่า นั่นเป็นทางเลือกที่เขาจะไม่มีวันทำเด็ดขาด
ซอลจีฮูได้คุกเข่าลงไปอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับเธอ เขาได้แสดงความมุ่นมั่นว่าจะไม่ออกไปจากที่นี่
ชาล็อต อาเรียได้หน้ามุ่ยขึ้น
“ฉันเหนื่อย ฉันไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้ายอีกต่อไปแล้ว”
ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้เงยหน้ามองเพดานไม่อยู่
“ทำไมล่ะ? ทำไมจองซูต้องหลอกฉันด้วย? มันมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องทำขนาดนั้น”
“มีครับ”
“เพราะฉันเป็นราชินีงั้นหรอ?”
“ท่านก็รู้… ใช่แล้วครับ มันก็เพราะว่าท่านชาล็อต อาเรียคือราชินี”
“แต่ฉันเป็นราชินีที่ไร้พลังนะ”
“แต่ท่านก็ยังเป็นราชินี”
ซอลจีฮูได้พูดอย่างสงบ
“ราชินีคือตัวตนที่เป็นที่เคารพบูชาของผู้คน แค่เพียงคำว่าราชินีก็มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมหาศาลแล้ว และใครก็ตามที่ยืนเคียงข้างราชินีก็จะได้หยิบยืมอำนาจของเธอมาใช้ได้ จองซูเข้าหาท่านก็เพื่อใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้”
เขาได้พูดถึงสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วออกมา บางทีนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะได้ยิน
“…นั่นมันแย่มาก”
เธอบอกว่าจองซูแย่ที่หลอกเธอ หรือว่าเธอกำลังบอกว่าเขาแย่ที่ปลอบเธอไม่สำเร็จกันนะ? หากตัดสินจากสีหน้าหงอยของเธอแล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างหลัง
“ท่านจะต้องสู้นะ”
เมื่อเขาได้พูดออกมาหลังจากถอนหายใจสั้นๆ…
“ไม่”
เขาก็ได้ยินเสียงไม่ยินยอมของเธอ
“อะไรนะครับ”
“ฉันบอกว่าไม่”
น้ำเสียงของเธอชัดเจน เขาก็ไม่รู้ว่าจู่ๆมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาปิดปากแน่น
ชาล็อต อาเรียได้จ้องซอลจีฮูอยู่สักพักก่อนที่จะแค่นเสียงออกมา
“แน่นอนสิว่ามันพูดง่าย แต่ทำมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น?”
เธอยังคงมีน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“หากว่าคุณเป็นฉัน จู่ๆคนจะมีแรงสู้ขึ้นมาเหมือนกับที่คุณพูดได้ไหม?”
“องค์ราชินี”
“ยิ้มสิ สู้ๆนะ ฉันเกลียดสองคำนี้ที่สุดเลย รู้ไหมว่าทำไม? ก็เพราะว่าความตั้งใจเบื้องหลังคำพูดเหล่านี้คือความหลอกลวง”
“หลอกลวง?”
“ทำไมล่ะ คุณไม่คิดแบบนั้นงั้นหรอ? คำพูดที่พูดออกไปเฉยๆโดยที่ไปเข้ามาช่วยอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งจะเห็นใจคนๆนั้น หากไม่ใช่การหลอกลวงแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออกไป
“แน่นอน อย่างที่คุณบอก ฉันคือราชินี แล้วยังไงล่ะ?”
“…”
“สู้ๆนะราชินี ถ้าฉันสู้ไม่ไหวจะทำยังไงล่ะ? ลุกขึ้นสิราชินี แล้วแบบนี้ฉันจะไปหายดีได้ยังไง?”
“…”
ราชินีเป็นเทพองค์หนึ่งงั้นหรอ? ฉันเป็นพวกเหนือมนุษย์ที่จะมีกำลังใจและรู้สึกดีได้ตามต้องการงั้นหรอ?”
ชาล็อต อาเรียได้ระบายคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“มันไม่ใช่เลย ราชินีก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ฉันยังเป็นมนุษย์นะ!”
ดวงตาของเธอได้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาตามความโศกเศร้าของเธอ
“ฉันเหนื่อย! ฉันเหนื่อยจนอยากจะแค่ตายไปซะตอนนี้เลย! ฉันไม่ได้อยากจะยืนอยู่ในจุดๆนี้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย…!”
เธอได้เค้นเสียงบ่นออกมาก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปบนเตียง จากนั้นก็คว้าผ้าห่ม และเริ่มกรีดร้องออกมา
ซอลจีฮูได้มองดูเด็กสาวที่กำลังร้องไห้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาได้ก้มหัวลูบคาง เขาไม่คิดเลยว่าจะเห็นใจกับประโยคสุดท้ายของเธอ
“ท่านพูดถูก”
เมื่อได้รับคำยืนยันอย่างจริงใจได้ทำให้ร่างกายชาล็อต อาเรียผงะไป
“ใช่แล้วล่ะ อารมณ์ของมนุษย์มันยากที่จะควบคุม ผมก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมบอกให้ใจเย็นและผ่อนคลาย แต่ว่าการกระทำมันยากกว่าการพูด”
เขาได้พูดออกมาพร้อมกับนึกถึงในตอนที่เขาติดอยู่ในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดัชชี่ เขายังจำได้ถึงความตกตะลึงที่ได้เห็นคาซุกิเชือดคอน้องสาวตัวเองโดยไม่ลังเล
ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
“คุณก็รู้นี่ว่ามันยาก?”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
นี่คือการตอบสนองกลับมาเพียงแค่เขาเข้าข้างเธอแค่ครั้งเดียว… หากว่าเขาไม่ได้ดูหน้าต่างสถานะของเธอมาก่อน เขาก็จะไม่เข้าใจเลย
นี่มันเป็นโอกาสดี
“ใช่แล้ว”
ซอลจีฮูได้พูดพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า
“ถ้างั้นลองดูนี่นะ”
“หืม?”
“ในเมื่อท่านบอกว่าท่านรู้สึกไม่ดี ถ้างั้นผมจะทำให้ท่านรู้สึกดีเอง”
ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้าง
“ยังไงล่ะ?”
ดวงตาเธอเป็นประกาย
ซอลจีฮูได้หยิบเอากิ๊บติดผมออกมามอบให้เธอ
“ของขวัญครับ”
ใบหน้าของชาล็อต อาเรียได้เศร้าลงไปอีกครั้งหนึ่ง แต่เธอก็รับของขวัญไปแต่โดยดี
“ถึงฉันจะดีใจก็เถอะนะ แต่ฉันคิดว่าฉันเลยวัยที่จะดีใจกับการได้รับของขวัญแล้ว”
‘โกหก เมื่อกี้เธอยังแสดงสีหน้าคาดหวังออกมาอยู่เลย’ ซอลจีฮูได้ส่ายหัว
“มันไม่ใช่แค่กิ๊บติดผมทั่วไปนะ กิ๊บติดผมนี่มีพลังวิเศษมากๆอยู่”
“พลังวิเศษ?”
“ใช่แล้วล่ะ เรื่องมันยาว แต่ว่า…”
ซอลจีฮูได้คิดหาคำอธิบายให้เธอก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมาในแบบของเธอ
“ท่านไม่อยากจะมีเพื่อนลับหรอ?”
“เพื่อนลับ?”
“หากว่าท่านเก็บกิ๊บติดผมเอาไว้ ท่านจะได้เจอกับเพื่อน”
ชาล็อต อาเรียได้มองซอลจีฮูโดยไม่พูดอะไร สีหน้าเธอเหมือนกับกำลังถามว่าเขากำลังพยายามพูดไร้สาระอะไรกัน
“จริงๆนะครับ ผมบอกท่านแล้วนี่ ผมมาช่วยท่านในนามของเพื่อนอีกทีหนึ่ง”
“อ่า”
เมื่อเธอนึกขึ้นได้ ชาล็อต อาเรียก็ถามออกมา
“นี่คุณกำลังพูดถึงพี่สาวเทเรซ่า?”
“ไม่ใช่ครับ”
“ถ้างั้นก็คุณ”
“ไม่ใช่ผมเหมือนกัน”
ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมา
“ถ้างั้นก็ไม่มีคนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนอีกแล้ว…”
ซอลจีฮูก็อยากจะถามว่า ‘แล้วผมไปเป็นเพื่อนท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?’ แต่เขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้เพราะนั่นดูจะทำให้เธอเศร้า
“ทั้งผมและเทเรซ่าต่างก็ไม่อาจจะเป็นเพื่อนของท่านได้ นั่นเพราะในมุมมองของเราแล้วท่านคือราชินี ยังไงก็ตามคนๆนี้จะกลายเป็นเพื่อนของท่านได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะว่าคนๆนี้ไม่ได้เฝ้ารอท่านชาล็อต อาเรียในฐานะราชินีไงล่ะ นี่คือเหตุผลที่ท่านจะเป็นเพื่อนกันได้”
ความสงสัยของชาล็อต อาเรียได้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมา
“แล้วใครกันล่ะ…? ทำไมคุณไม่พาคนๆนั้นมาที่นี่? ไม่สิ พาคนๆนั้นมาที่นี่เลยนะ ฉันอยากจะให้หน้าของคนๆนั้น”
ในเมื่อเธอไม่ได้ปฏิเสธ แสดงว่าเธอกำลังสนใจ
“ผมทำไม่ได้ครับ เธอไม่อาจจะมาที่นี่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“หากว่าท่านได้ไปรับฟังคำตอบด้วยตัวเองมันคงจะดีกว่า”
“ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ คุณเอาแต่บอกว่าเธอมาปรากฏตัวไม่ได้ แต่หากว่าฉันเก็บกิ๊บติดผมเอาไว้ เธอก็จะโผล่ออกมา?”
ชาล็อต อาเรียได้หรี่ตาลง
“โกหก”
“ถ้าท่านยังไม่ได้รอดู ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าผมโกหก เอาเถอะนะ หากว่านายไม่ต้องการ ถ้างั้นก็ช่วยส่งกิ๊บติดผมคืนมาด้วย”
ชาล็อต อาเรียได้รีบซ่อนกิ๊บติดผมเอาไว้ในทันทีที่ซอลจีฮูยื่นแขนออกมา
“คะ ใครบอกว่าฉันไม่ต้องการ? ฉันก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เธอได้เม้มปาก และทำหน้ามุ่ย
“แล้วฉันก็ยังสงสัยว่าเธอคือคนแบบไหน…”
ซอลจีฮูได้หัวเราะก่อนจะพูดออกมา
“หากท่านสงสัยก็ไปเจอเธอก่อนสักครั้ง ฟังสิ่งที่เธอบอก เธอจะบอกว่าทำไมเธอถึงได้อยากจะให้ผมช่วยท่าน และทำไมเธอถึงอยากจะเป็นเพื่อนของท่าน หากว่าท่านได้เจอและได้ฟัง ท่านก็จะเข้าใจเอง”
“หากว่าได้เห็น และได้ยินด้วยตัวเอง…”
ชาล็อต อาเรียได้พึมพำออกมาพร้อมเล่นกับกิ๊บติดผม เธอได้ถามออกมาอีกครั้งราวกับยังคงสงสัยถึงเพื่อนลึกลับคนนี้อยู่
“ฉันแค่ต้องเก็บกิ๊บติดผมนี่เอาไว้หรอ?”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
หลังจากที่ทำตามคำขอของโรเซร่าสำเร็จแล้ว ซอลจีฮูก็ได้กลับไปที่สำนักงานวัลฮาลา เมื่อเขาได้ออกมาข้างนอกก็มืดไปแล้ว นั่นเพราะเขาต้องใช้เวลาเถียงกับชาล็อต อาเรียอยู่นานกว่าที่จะได้มอบกิ๊บติดผมให้เธอ
หลังจากได้กินมื้อเย็นง่ายๆลงไปแล้ว เขาก็ได้ไปคุยกับคิมฮันนาห์อยู่สักพักก่อนที่จะไปนอน
ในคืนนั้นซอลจีฮูก็ฝัน