[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 444 : ขาวปุยกลายร่าง!

หลิงหยุนออกไปใหนตอนเที่ยงคืนน่ะหรือ? แน่นอนว่าเขาก็ต้องออกไปรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้กับเหล่ากุ่ยนั่นเอง!

แม้ว่าเหล่ากุ่ยจะเป็นบุคคลลึกลับ แต่เมื่อปรากฏตัวแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าหลิงหยุนจะทำอะไร เหล่ากุ่ยก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหลิงหยุนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

แม้ว่าเหล่ากุ่ยจะยังไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเอง แต่หลิงหยุนก็ฉลาดพอที่จะมองออกว่า เหล่ากุ่ยนั้นทั้งรักทั้งห่วงใย และพร้อมที่จะปกป้องเขามากเพียงใด หลิงหยุนจึงต้องการที่จะใช้ความสามารถที่มีของเขารักษาอาการบาดเจ็บของเหล่ากุ่ยให้หายดี

หลิงหยุนขับรถออกมาจากหมู่บ้านฝูฮัว และเพียงแค่ยี่สิบนาทีก็มาถึงบ้านเลขที่-1 ของตนเอง

“ดึกขนาดนี้แล้วทำไมประตูรั้วยังเปิดกว้างอยู่แบบนี้..”

หลิงหยุนมองเข้าไปภายในลานบ้านก็เห็นเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ สำหรับสองคนนี้ประตูบ้านก็คงเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจะปิดหรือจะเปิดก็คงไม่แตกต่างกัน

ทันทีที่หลิงหยุนขับรถเข้าไปในบ้าน ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดประตูลงไป ก็เห็นเจ้าขาวปุยวิ่งส่ายหางมายืนรอเขาที่หน้าประตูรถ

หลิงหยุนยิ้มให้ และเมื่อก้าวลงมาจากรถ ก็รีบอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขน และลูบไล้ขนที่นุ่มนวลของมันพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“นี่ข้าเองไง.. เจ้ามองทำไมกัน?”

ดวงตาของเจ้าขาวปุยจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน แววตาของมันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ร่างใหญ่ของมันพยายามซุกเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุนอยู่แบบนั้นและไม่ผละออก

หลิงหยุนจึงอาศัยโอกาสนี้สังเกตุไปทั่วทั้งร่างของเจ้าขาวปุย และพบว่าการฝึกฝนของเจ้าขาวปุยนั้นก้าวหน้าได้เร็วอย่างน่าอัศจรรย์ และคงจะต้องกลายร่างภายในสามวันนี้แน่ เขาจึงได้แต่กระซิบบอกกับมันว่า

“ขาวปุย.. เจ้าจะกลายร่างในเมืองนี้ไม่ได้! เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย เพราะฉะนั้นสองสามวันนี้ให้หยุดฝึกฝนไปก่อน แล้วอีกสามวันข้าจะมาพาเจ้าไปที่เกาะในทะเล!”

เจ้าขาวปุยเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มันจึงเฉลียวฉลาดมากและรู้ว่าตัวมันเองกำลังจะกลายร่าง มันจึงได้แต่ผงกหัวให้หลิงหยุน พร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมีเสน่ห์

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็เดินเข้ามาหาหลิงหยุน เมื่อเหล่ากุ่ยได้พบหลิงหยุนเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“นาย.. เอ่อพ่อหนุ่ม.. ร่างกายของข้าฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดมาก ถ้าเจ้ายุ่งก็ไม่ต้องมารักษาให้ข้าทุกวันก็ได้นะ..” ด้วยความรักที่มีให้หลิงหยุนอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เหล่ากุ่ยเกือบจะเผลอเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ ออกมา..

เหล่ากุ่ยรู้ว่าผู้เฒ่าหลิงซึ่งเป็นปู่ของหลิงหยุนนั้นจะมาถึงเมืองจิงฉูในไม่ช้านี้ และเมื่อคิดว่าอีกไม่นานหลิงหยุนจะได้รู้จักกับบรรพบุรุษของตัวเอง ได้พบกับครอบครัวของตัวเอง เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “เหล่ากุ่ย.. นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรต้องทำ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งยิ่งรักษาให้หายเร็วได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ควรประวิงเวลา..”

ตู้กู่โม่ยิ้มให้หลิงหยุนแล้วพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ข้ามีเรื่องขอร้องด้วย?”

เมื่อเห็นตู้กู่โม่มองเขาด้วยสายตาวิงวอน หลิงหยุนจึงรู้สึกประหลาดใจ และในใจก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมาทันที เขายิ้มพร้อมกับตอบตู้กู่โม่ไปว่า

“นายมีเรื่องอะไรก็พูดมา!”

ตู้กู่โม่ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างหลิงหยุนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเปรียบเหมือนมือซ้ายของหลิงหยุน ตู้กู่โม่มองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับอ้อนวอนว่า

“หลิงหยุน.. นายให้ฉันยืนกระบี่ขาวเล่มนั้นเล่นหน่อยจะได้ไม๊?”

หลิงหยุนได้ยินถึงกับตกใจ และคิดว่าเรื่องนี้ไม่ดีแน่ๆ จึงรีบส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธออกไปทันที

“ไม่ได้.. ไม่ได้อย่างแน่นอน! ข้ามีดาบนั่นเพียงแค่เล่มเดียว..”

ตู้กู่โม่หลงใหลในดาบเล่มนั้นเป็นชีวิตจิตใจ ทันทีที่เขาเห็นกระบี่มังกรขาวที่อ่อนนุ่มเล่มนั้นอยู่ในมือหลิงหยุน เขาก็ได้แต่รู้สึกผิดหวังและเสียดายอย่างมาก และเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนปฏิเสธไม่ยอมให้เขายืมดู ใบหน้าหล่อเหลาของตู้กู่โม่ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดราวกับแบกโลกทั้งโลกไว้ขึ้นมาทันที

“ฉันขอยืมเล่นแค่วันสองวันเอง.. ไม่ได้ขอไว้เลยสักหน่อย!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ใครจะไปรู้.. เจ้าได้กระบี่ของข้าไปแล้วอาจจะหนีไปเลยก็ได้ หรือเจ้ามีอะไรมาค้ำประกันไม๊ล่ะ..?!”

ตู้กู่โม่รีบสาบาน “หลิงหยุน.. ฉันสาบานก็ได้ว่าจะไม่ขโมยดาบของนายแน่ๆ แค่ขอยืมเล่นเท่านั้นเอง..”

หลิงหยุนยังคงส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็ง และไม่ว่าตู้กู่โม่จะออดอ้อนยังไงเขาก็ไม่สนใจ

เหล่ากุ่ยมองตู้กู่โม่ด้วยความสงสาร เขาจึงพูดกับหลิงหยุนยิ้มๆ “พ่อหนุ่ม.. ตู้กู่โม่มาจากตระกูลที่ใช้กระบี่เป็นอาวุธ กระบี่ของเจ้าทำให้เขาตาเป็นประกาย ระหว่างที่เจ้าทำการรักษาให้ข้าก็ให้เขายืมเล่นเสียหน่อย ตอนจะกลับก็ค่อยเอาคืน.. แบบนี้ดีไม๊?”

หลิงหยุนมั่นใจว่ายังไงตู้กู่โม่ก็ไม่มีทางขโมยกระบี่ของเขาแล้วหนีไปอย่างแน่นอน เพราะเขายังคงมีน้ำลายมังกรอยู่ในมือ หากตู้กู่โม่ขโมยกระบี่ของเขาหนีไปจริงๆ เขาก็แค่เสียของมีค่าขนาดเท่าเม็ดงาในขณะที่ตัวเขามีแตงโมทั้งลูก และหลิงหยุนเองก็รู้ว่าตัวตู้กู่โม่นั้นก็คิดไม่ต่างจากเขา เขาจึงพูดยิ้มๆ

“ก็ได้.. เห็นแก่เหล่ากุ่ยที่ช่วยขอร้องให้เจ้านะ! ข้าจะให้เจ้ายืมเล่นสักสองวัน แต่หลังจากนั้นเจ้าต้องคืนกระบี่ให้ข้าทันทีเพราะข้าต้องใช้มัน!”

เมื่อตู้กู่โม่ได้ฟังก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก เขารีบพยักหน้าและรับปากทันที “ได้ๆ! สองวันก็สองวัน เอากระบี่นั่นออกมาให้ข้าได้แล้ว!”

“เอาไป!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับยื่นกระบี่มังกรขาวให้กับตู้กู่โม่

ตู้กู่โม่รับมาแล้วหันกลับไปขอบคุณเหล่ากุ่ย จากนั้นก็จ้องมองกระบี่ในมืออยู่นาน แล้วจู่ๆก็ร้องขึ้นมาว่า

“แล้วฝักของมันล่ะ? เอาฝักมันมาให้ข้าด้วยสิ..”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ไม่มีฝัก.. กระบี่ที่ใช้สำหรับฆ่าคนถ้ามีฝักก็คงจะยุ่งยากมากทีเดียว..”

หลังจากนั้น.. หลิงหยุนก็ไม่สนใจตู้กู่โม่อีก เขาหันไปพูดกับเหล่ากุ่ยว่า “เหล่ากุ่ย.. ข้าว่าพวกเราเข้าไปในบ้านกันดีกว่า ปล่อยให้เขาเล่นอยู่ที่นี่ตามลำพัง!”

ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว กำลังภายในในร่างกายนั้นจึงมีกำลังมหาศาล หลิงหยุนใช้เวลาในการฝังเก้าเข็มปลุกชีพเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย

“เหล่ากุ่ย.. อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นรวดเร็วมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าภายในสิ้นเดือนนี้ ท่านจะฟื้นตัวจนเป็นปกติอย่างแน่นอน แล้วก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ได้เต็มขั้นเสียที”

หลิงหยุนจัดการถอนเข็มทองออกพร้อมกับยิ้มให้เหล่ากุ่ย..

เหล่ากุ่ยพยักหน้าอย่างพออกพอใจ แต่ในใจกลับนึกถึงหลิงลี่ หลิงเสี่ยว แล้วก็คนอื่นๆในตระกูลหลิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกับเขา เหล่ากุ่ยรู้สึกว่าครั้งนี้ตระกูลหลิงคงจะรอดพ้นจากการต้องถูกปลด หรือลดระดับขั้นตระกูลในเมืองหลวงแล้ว!

“พ่อหนุ่ม.. เจ้าคิดว่าพวกเราควรต้องทำความรู้จักฐานะของกันและกันได้หรือยัง? เจ้าไม่อยากรู้ฐานะที่แท้จริงของข้างั้นรึ?” เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มให้เขา และถามขึ้นมาอย่างลังเล

หลิงหยุนหัวเราะหึหึพร้อมกับตอบไปว่า “แน่นอน.. ข้าย่อมอยากรู้ฐานะของท่านอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่รอเวลาที่เหล่ากุ่ยพร้อมจะเปิดเผยต่อข้าเท่านั้นเอง เพราะถ้าท่านไม่พร้อมที่จะบอก ต่อให้ข้าถามไป.. แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

เหล่ากุ่ยได้แต่กระอักกระอ่วนก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. เจ้านี่ช่างเป็นเด็กที่ง่ายๆสบายๆ เอาล่ะ.. ข้าขอเวลาสักสองวัน แล้วข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง!”

หลังจากนี้สองวัน.. ปู่ของหลิงหยุน – หลิงลี่ จะเดินทางมาที่เมืองจิงฉู และเมื่อปู่กับหลานได้พบหน้ากัน เหล่ากุ่ยคงจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน คำพูดมากมายคงจะพร่างพรูออกจากปากของเขา..

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม เขาประคองเหล่ากุ่ยลุกขึ้นด้วยความรู้สึกเคารพ จากนั้นจึงเดินออกไปหาเรื่องตู้กู่โม่ก่อนจะขับรถกลับไปที่หมู่บบ้านฝูฮัวต่อ

คืนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ได้มาฝึกที่บ้าน และหลิงหยุนรู้ดีว่าตี้เสี่ยวอู๋กำลังยุ่งอย่างมาก

เมื่อกลับไปถึงบ้านของหลินเมิ่งหานแล้ว มีหรือที่คืนนี้หลิงหยุนจะปล่อยให้ตนเองต้องทนคิดถึงหลินเมิ่งหานอีก ทั้งคู่มีความสุขกันอย่างดูดดื่มตลอดทั้งคืนจนกระทั่งถึงตีสี่ และหลินเมิ่งหานเองก็ถึงกับต้องร้องขอความเมตตาจากหลิงหยุนซ้ำๆ เพื่อให้เขาปล่อยเธอได้แล้ว..

เช้าวันรุ่นขึ้น.. หลิงหยุนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อฝึกดารกะดายัน และพอสายหน่อยและแดดเริ่มออก หลิงหยุนก็ขับรถไปหาถังเมิ่ง และทั้งคู่ก็นั่งคุยกันอยู่ในรถ

ทันทีที่ถังเมิ่งขึ้นไปบนรถ เขาก็อยากจะบอกเล่าถึงโครงการใหญ่โตของตัวเองให้หลิงหยุนฟัง แต่กลับถูกหลิงหยุนขัดขึ้นเสียก่อน

“เรื่องโครงการใหญ่โตของนายเอาไว้ก่อน.. เอาธุระของฉันก่อน!”

ถังเมิ่งถามกลับขึ้นทันที “พี่หยุน.. มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลิงหยุนตอบไปว่า.. “เรื่องบ้านของเหยาลู่กับหลิวลี่ไปถึงใหนแล้ว..?”

ถังเมิ่งเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับถามออกไปด้วยความสงสัย “พี่หยุน.. เรื่องที่พี่จะซื้อบ้านให้พี่ลู่ฉันพอจะเข้าใจนะ แต่ทำไมต้องซื้อให้หลิวลี่ด้วย ฉันเห็นพี่ทำให้ครอบครัวนี้ไปตั้งมากมายหลายอย่างแล้ว ไม่ต้องซื้อบ้านให้ไม่ได้เหรอ?”

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “นายไม่จำเป็นต้องเข้าใจ! ฉันสั่งให้นายซื้อ นายก็ซื้อ.. แล้วก็ต้องซื้อหลังที่สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้เลยไม่ต้องตกแต่งอีก จัดการให้เสร็จเร็วๆด้วย ส่วนเรื่องเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น ก็ให้เลือกของดีๆ เข้าใจไม๊?”

หลิงหยุนได้รับของขวัญล้ำค่าจากตระกูลหลิวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้.. เช่นนี้แล้วไม่เท่ากับว่าตระกูลหลิวได้ทำความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่ให้กับหลิงหยุนได้อย่างไรกัน?

หลิงหยุนพูดต่อว่า “ส่วนเรื่องกู้เงินนั้น.. ฉันใคร่ครวญดูแล้ว นายจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองไปได้เลย จะกู้ได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนาย ไม่จำเป็นต้องถามฉันเรื่องนี้อีก!”

“เรื่องต่างๆที่บอกไปนั้นค่อยทำทีหลังได้ แต่มีสองเรื่องที่นายต้องทำให้ฉันก่อน แล้วก็ต้องให้เสร็จเร็วที่สุดด้วย!”

ถังเมิ่งพยักหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่หยุน.. สั่งมาได้เลย!”

หลิงหยุนพูดขึ้นว่า “เรื่องแรก – นายยังจำเรื่องเรือที่ฉันเคยบอกได้ใช่ไม๊? ตอนนี้ช่วยไปจัดการหาเรือให้ฉันด่วนเลย ฉันต้องการไปเกาะเตียวหยู นายต้องจัดการให้เสร็จภายในสามวัน เพราะฉันต้องเดินทางออกจากเมืองจิงฉูในคืนวันศุกร์!”

“ส่วนเรื่องที่สอง – ฉันต้องการให้นายใช้เส้นสายทุกทางที่มีอยู่ในเมืองจิงฉู จัดการทำบัตรประชาชนให้กับเจ้าขาวปุย!”

“เรื่องนี้สำคัญมาก.. นายเข้าใจไม๊?”

เมื่อถังเมิ่งได้ยินเรื่องแรกนั้น เขาก็ผงกหัวรับคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เมื่อหลิงหยุนพูดเรื่องที่สอง เขาก็ถึงกับอึ้งแล้วก็นิ่งไปราวกับเป็นอัมพาต..

“พี่หยุน.. พี่บอกว่า.. เจ้าขาวปุย?” ถังเมิ่งถึงกับถอนหายใจ เมื่อคิดว่าต้องไปทำบัตรประชาชนให้สุนัขจิ้งจจอก?

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ใช่แล้ว.. เจ้าขาวปุย!”

ถังเมิ่งเอามือลูบหัวที่เริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นมาบ้างแล้วของตัวเอง พร้อมกับถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“พี่หยุน.. เจ้าขาวปุยเป็นสุนัขจิ้งจอกนะ?! ฉันไม่เคยได้ยินว่าสุนัขจิ้งจอกต้องมีบัตรประชาชนมาก่อน.. ”

หลิงหยุนตำหนิถังเมิ่ง “นี่นายทำไมถึงได้โง่แบบนี้นะ? สุนัขจิ้งจอกที่ใหนต้องใช้บัตรประชาชนกันเล่า.. ฉันหมายถึงว่าเจ้าขาวปุยกำลังจะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วต่างหาก..!”

“ห๊ะ.. พี่ว่าอะไรนะ?”

เจ้าขาวปุยจะกลายร่างเป็นคน?! ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง!