[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 445 : ปีศาจ!
“นี่.. นี่พี่พูดเรื่องจริงเหรอ? นี่มัน..?!”
ถังเมิ่งยกมือสองข้างขึ้นกุมหัวโล้นของตัวเอง ตาของเขาโตและปากก็อ้ากว้าง ก่อนจะพึมพำออกมา..
ถังเมิ่งรู้สึกว่าไอคิวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะรับรู้ และทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้!
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย.. จากนั้นก็ยกมือข้างซ้ายโบกไปมาต่อหน้าถังเมิ่ง แล้วจู่ๆก็มีขวดน้ำแร่ปรากฏออกมา เขาเปิดฝาขวดออกแล้วกระดกขวดน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็แกว่งขวดน้ำไปมาตรงหน้าถังเมิ่ง
“นี่คือแหวนพื้นที่.. นายก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลิงหยุนเห็นถังเมิ่งผงกหัวหงึกๆ เขาจึงพูดต่อ “ในเมื่อนายก็เห็นแหวนนี่กับตาตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เจ้าขาวปุยจะกลายร่างเป็นมนุษย์ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้นี่..?”
ถังเมิ่งส่ายหน้า “พี่หยุน.. ฉันไม่ได้บอกว่าไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่ฉันหมายความว่า.. ถ้าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้กลายร่างเป็นคนได้จริงๆ นี่ไม่เท่ากับว่ามีปีศาจ หรือสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างงั้นเหรอ?”
หลิงหยุนยิ้มเหยียด “อะไรคือปีศาจ.. อะไรคือสัตว์ประหลาด..? แค่สัตว์กลายร่างเป็นมนุษย์ก็ถูกเรียกว่าปีศาจงั้นเหรอ? นี่มันเป็นเพียงแค่คำจำกัดความที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น.. ก็เท่านั้นเอง!”
“ฉันจะบอกอะไรให้.. สัตว์วิญญาณในโลกใบนี้มีอยู่มากมาย บางตัวสามารถกลายร่างเป็นอย่างอื่นที่มีพลังมหาศาลกว่ามนุษย์มาก แต่เมื่อต้องอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ การกลายร่างเป็นมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สะดวกต่อการใช้ชีวิตของพวกมันที่สุด..”
“ความจริงแล้ว.. มนุษย์เองนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเล็ก อ่อนแอ แล้วก็น่าสงสาร!”
“ฉันจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น.. นายดูอย่างสิงห์โต เสือ แล้วก็สัตว์ป่าอื่นๆ พวกมันก็สามารถกินคนได้ หากลองคิดดูให้ดีๆ มนุษย์เองก็เป็นเพียงแค่อาหารของพวกมันเท่านั้นเอง ในสายตาของพวกมันแล้ว มนุษย์ก็ไม่ต่างจากกวางหรือกระต่ายน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว..”
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดมนุษย์เราจึงต้องฝึกวรยุทธ์? เหตุใดจึงต้องฝึกฝนกำลังภายใน? หรือแม้กระทั่งว่าเหตุใดจึงต้องคิดสร้างอาวุธเช่นกระบี่ขึ้นมา? จนกระทั่งมาถึงในยุคสมัยนี้มนุษย์ก็สร้างอาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้นอย่างปืน ไปจนถึงระเบิดมิดไซล์!
จุดประสงค์แรกเริ่มของการสร้างสิ่งเหล่านี้.. ไม่ใช่เพื่อต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวมนุษย์เอง แต่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองจากการถูกสัตว์ร้ายจับกิน ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าพวกมัน เพียงแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้า จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง.. จุดประสงค์และหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป!
ทุกวันนี้มีการสร้างทั้งระเบิดนิวเคลียร์ และสร้างแม้กระทั่งยานอวกาศเพื่อส่งออกไปสำรวจนอกโลก ซึ่งด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษยชาติถูกมนุษย์ต่างดาวโจมตี แต่อีกด้านหนึ่งก็เพื่อการแก่งแย่งดินแดนที่ดีกว่าของมนุษย์ด้วยกัน มันก็เป็นเช่นนั้นเอง!
วัตถุประสงค์หลักของการสร้างอาวุธขึ้นมาจึงมีเหตุผลง่ายๆอยู่เพียงแค่สองข้อ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อป้องกัน ก็มีไว้เพื่อโจมตี อย่างไรก็หนีไม่พ้นเหตุผลสองข้อนี้แน่นอน..
ถังเมิ่งไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขากำลังครุ่นคิดตามคำอธิบายของหลิงหยุน ตอนนี้ถังเมิ่งรู้สึกราวกับถูกทุบศรีษะด้วยของหนัก..
หลิงหยุนอธิบายต่อ “ยกตัวอย่างง่ายๆ ระหว่างนายกับฉัน ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเสือที่กำลังหิวโหยอยู่ในป่า หากเป็นนายก็คงต้องถูกเสือจับกินเป็นอาหารอย่างแน่นอน แต่สำหรับฉัน.. ฉันสามารถฆ่าเสือตัวนั้นด้วยการเตะมันเพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ค่อยจับมันถลกหนังและเอาเนื้อมากินเป็นอาหาร..”
“เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะฉันแข็งแกร่งกว่าไง เหตุผลง่ายๆ!” หลิงหยุนหัวเราะอย่างมั่นอกมั่นใจ
ถังเมิ่งถึงกับช็อค “พี่หยุน.. นี่พี่สามารถเตะเสือได้ด้วยเหรอ?”
หลิงหยุนตอบบกลับไปยิ้มๆ “ไม่ใช่แค่เสือตัวเดียวด้วยนะ.. ต่อให้มาเป็นฝูงก็เถอะ!”
ด้วยระดับสูงสุดของขั้นปรับบร่างกาย-3 หลิงหยุนก็สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในขณะนี้ที่เขาได้เข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว
ถังเมิ่งพูดขึ้นด้วยความอิจฉา “พี่หยุน.. เมื่อไหร่พี่จะทำให้ฉันแข็งแกร่งแบบพี่บ้าง? ฉันว่ามีวรยุทธนี่มันเจ๋งแล้วก็เท่ห์มากเลยนะ!”
หลิงหยุนพูดไม่ออกและได้แต่ส่ายหน้า “นายนี่นะ?! ฟังนะ.. นายไม่ได้เกิดมาเพื่อฝึกวรยุทธ! ไม่ใช่ว่าฉันจะต่อต้านหรือไม่อยากให้นายฝึกหรอกนะ อีกอย่างในใจนายก็ไม่ได้ชอบด้านนี้ นายเหมาะกับการทำธุรกิจมากกว่า..”
ถังเมิ่งเป็นคนที่มีหัวทางด้านการค้า เขาเป็นคนที่สามารถหาลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการฝึกวรยุทธ หลิงหยุนรับรองได้ว่าถังเมิ่งทนฝึกได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ยิ่งต้องมานั่งท่องจำเคล็ดวิชาต่างๆ รับรองว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเขามาก
แต่ถึงกระนั้น หลิงหยุนก็ยังนึกหาหนทางที่จะช่วยถังเมิ่งในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาฝึกจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นพลังชี่ ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถปรุงโอสถชนิดพิเศษให้กับถังเมิ่งได้ แล้วการฝึกฝนของถังเมิ่งก็จะสามารถก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เขาจะกลายเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง แล้วก็อายุยืนยาวอยู่ในโลกใบนี้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันตัวเองได้อีกด้วย..
ถังเมิ่งรู้สึกเศร้าใจและพูดด้วยอารมณ์หดหู่ “เฮ้อ.. ทำไมฉันถึงไม่ขยันเหมือนตี้เสี่ยวอู๋นะ? ทำไมฉันถึงได้มานั่งอยู่แบบนี้?” แม้แต่ถังเมิ่งเองก็รู้ปัญหาของตัวเองดี
หลิงหยุนมองถังเมิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง เขาตบบ่าถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับปลอบใจว่า “นายทำใจให้สบาย.. อย่าลืมว่านายเป็นน้องชายของฉัน ต่อให้นายไม่เหมาะที่จะฝึกวรยุทธ ฉันก็จะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกนายได้หรอก!”
ถังเมิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นพี่น้องที่หลิงหยุนมอบให้ เขาจึงพยักหน้าอย่างมีความสุข “ขอบคุณมากพี่หยุน!”
หลิงหยุนมองถังเมิ่งและย้อนกลับมาพูดเรื่องของเจ้าขาวปุยต่อ “หลังจากที่เจ้าขาวปุยกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว มันก็จะกลายเป็นเด็กสาวที่มีอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี คงจะลำบากมากหากไปใหนมาใหนโดยไม่มีบัตรประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อฉันพาขาวปุยกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ ก็ต้องมีบัตรประชาชนให้มันทันที นายเข้าใจไม๊?”
ถังเมิ่งรีบปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าอกพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ “พี่หยุน.. พี่สบายใจได้ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานรักษาความมั่นคง ฉันสามารถจัดการได้ง่ายๆไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “อ่อ.. แล้วถ้านายกลับไปบ้านก็อย่าลืมไปขอบคุณลุงถังแทนฉันก่อนล่ะ!”
ถังเมิ่งรับปากแต่ก็เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า “พี่หยุน.. พี่นี่นะจะไปขอบคุณพ่อของฉัน? ไม่จำเป็นเลย! พี่รู้ไม๊ว่าตอนนี้ทั้งลุงหลี่แล้วก็พ่อของฉันตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบพี่ ถ้าฉันไปบอกพวกเขาว่าสองสามวันนี้พี่ไม่ว่างที่จะมาพบ รับรองว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายมาหาพี่เองด้วยซ้ำไป!”
หลิงหยุนพยักหน้า “ถ้างั้นนายก็บอกพวกท่านทั้งสองว่า หลังจากฉันกลับมาแล้ว จะไปเยี่ยมท่านทั้งสองอย่างแน่นอน!”
ถังเมิ่งยิ้ม “ได้.. รับรองว่าถ้าทั้งคู่ได้รู้ข่าวนี้คงต้องดีใจอย่างมากแน่!”
หลิงหยุนรู้สึกว่าถังเมิ่งเริ่มกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เขาจึงถามขึ้นว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีกไม๊? ถ้าไม่มี.. นายก็ไปจัดการธุระของนายได้ ส่วนฉันก็จะรีบกลับไปที่โรงเรียนแล้ว!”
ถังเมิ่งใคร่ครวญอยู่เดี๋ยวเดียวก็ตอบไปว่า “พี่หยุน.. ยังมีอีกเรื่อง”
“ว่ามา..”
ถังเมิ่งขมวดคิ้ว “ก็เรื่องที่พี่ให้ฉันไปจัดการโอนรถมาเซราตินั่นล่ะ พี่ให้ฉันไปถามหาหญิงสาวที่ชื่อมู่หลงเฟยจื่อใช่ไม๊? แต่พอฉันไปถามหา.. ผู้จัดการกลับฝากข้อความมาถึงพี่..”
หลิงหยุนยิ้มและถามขึ้นว่า “งั้นเหรอ.. ว่ามา?”
ถังเมิ่งตอบไปว่า “มู่หลงเฟยจื่อบอกว่าการโอนรถควรต้องให้คนผู้นั้นมาด้วยตัวเอง หากให้คนอื่นมาแทน ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า มู่หลงเฟยจื่อดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่รั้นมาก ‘อย่าบอกนะว่านางคิดจะเปลี่ยนใจ!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิงหยุนก็ยิ้มเหยียดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดูท่าเธอคงจะคิดว่าตัวเองสวยเลิศเลอมากสินะ.. งั้นก็ปล่อยให้เธอรอไปก่อนก็แล้วกัน ฉันยังไม่มีเวลาว่างที่จะไปทำตามความต้องการของเธอ อีกอย่างตอนนี้รถมาเซราติก็อยู่ในบ้านของฉัน แล้วก็ไม่มีใครขับเป็นด้วย..”
ฉินตงเฉี่วยอยู่ในบ้านทั้งคน.. หากมีใครคิดจะเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อขโมยของแล้วล่ะก็ รับรองว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน..
“นายไม่ต้องห่วงเรื่องรถ.. เอาเป็นว่านายไปจัดการขายบ้านสองหลังของเถียนป๋อเตาให้ได้ก่อน แล้วค่อยเอาเงินที่ได้นี้ไปซื้อบ้านใหม่สองหลัง ส่วนเรื่องกู้เงินนายก็ไปจัดการได้เลย..”
“แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องรอง.. เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องหาเรือให้ฉัน จำไว้ว่าฉันต้องออกเดินทางคืนวันศุกร์!”
หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบก็ไล่ถังเมิ่งลงจากรถ และขับตรงไปหาเหยาลู่ที่โรงแรมแชงกรีลล่า
ทุกครั้งที่หลิงหยุนได้พบกับเหยาลู่นั้น เขามักจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่มีโดยธรรมชาติในตัวเธอ และหลังจากที่ใกล้ชิดนัวเนียกันอยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็ถามเหยาลู่ถึงเรื่องบ้าน..
เหยาลู่เดินไปหยิบโน๊ตบุ๊คมาวางตรงหน้าหลิงหยุน จากนั้นก็เปิดเข้าไปในเวปไซด์สองสามแห่ง เธอยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันเลือกไว้สองหลัง แต่ตัดสินใจไม่ได้ คุณช่วยฉันตัดสินใจหน่อยสิ!”
หลิงหยุนมองภาพบ้านทั้งสองหลังแล้วก็รู้สึกว่าดีทั้งสองหลัง แต่มีหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจิงฉู และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตลาดค้าของเก่า
บ้านหลังนี้อยู่ไม่ห่างจากตลาดค้าของเก่า บ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุน แล้วก็คลินิกสามัญชนนัก อีกทั้งสิ่งแวดล้อมก็สวยงาม เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและฝึกฝนอย่างมาก
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ.. เป็นบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ และออกแบบได้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบัน และภายในก็มีพร้อมทุกอย่าง
หลิงหยุนและเหยาลู่พูดคุยและถกเรื่องนี้กันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหยาลู่ก็ยิ้มอายๆพร้อมกับพยักหน้าบอกหลิงหยุนว่า บ้านหลังนี้ก็เป็นหลังที่เธอชอบมากที่สุดเช่นกัน!
หลิงหยุนไม่สนใจเรื่องราคา เขาโทรหาถังเมิ่งให้จัดการต่อรองให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด และถังเมิ่งก็รับปากอย่างไม่ลังเล ขนาดบ้านของหลิงหยุนก่อนหน้านี้สองหลัง หลังจากลดแล้วยังเกือบร้อยล้าน แล้วนี่บ้านในราคาไม่ถึงสิบล้าน จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับถังเมิ่ง
หลิงหยุนวางสายไป เขากอดเหยาลู่ไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ.. ในเมื่อเลือกบ้านได้แล้ว หลังจากนี้ก็ไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ เรื่องนี้ถังเมิ่งมีประสบการณ์มาก ถามเขาหรือไม่ก็สั่งให้เขาจัดการได้เลย”
เหยาลู่พยักหน้าอย่างไร้เดียงสา หลิงหยุนใช้เวลานัวเนียใกล้ชิดกับเหยาลู่ต่อจนถึงสิบโมงเช้า จึงขอตัวออกไปทำธุระต่อ..
เหยาลู่รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นยุ่งเพียงใด และเขาก็เพิ่งจะบอกกับเธอว่าเขาจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่ซื้อด้วยกัน เหยาลู่เดินไปส่งหลิงหยุนที่รถพร้อมกับโบกมือร่ำลา จากนั้นหลิงหยุนก็ขับรถไปยังโรงเรียนมัธยมจิงฉู
เมื่อหลิงหยุนไปถึงโรงเรียน กงเสี่ยวลู่ก็เพิ่งจะสอนเสร็จ และกลับไปรอหลิงหยุนอยู่ที่หอพัก
ภายในโรงเรียนเงียบกริบ และหลิงหยุนก็ขับรถตรงเข้าไปที่หอพักของกงเสี่ยวลู่ทันที
หลิงหยุนกดลิฟท์ขึ้นไปชั้นห้า และเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็เห็นว่าประตูห้องของกงเสี่ยวลู่เปิดรอไว้แล้ว และกงเสี่ยวลู่ก็กำลังยืนอยู่หน้าประตูมองหลิงหยุนเดินออกมาจากลิฟท์