ตอนที่ 240 ล้วนเป็นคนทำธุรกิจ
การรับประทานไส้ปลาเป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้พร้อมกับองค์ชาย เขาชอบรับประทานอาหารประเภทนี้ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีพริก จึงใช้ต้นหอมแทน
“อร่อย!” จงย่งชมไม่ขาดปาก ระหว่างที่รับประทานก็ไม่ลืมที่จะคุยกับจ้าวเหวินเทา “ในตลาดมีเกล็ดปลากับไส้ปลาเยอะมากเลยนะ ถึงเวลานั้นผมจะซื้อไว้สักหน่อย แล้วจะลองทำออกไปขายดู”
สมองของคนที่ชอบทำการค้าไม่เหมือนกัน เมื่อได้รับประทานอาหารหายากก็จะนึกถึงการค้าขาย
“เอาสิ แต่นี่เป็นอาหารที่ภรรยาของฉันเป็นคนทำออกมานะ นายก็ไม่ควรจะเอาไปขายแบบฟรี ๆ สิ?” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างจริงจัง
เย่ฉูฉู่ตำหนิ “ไม่ได้ยากเย็นอะไรสักหน่อย เอาไปแบบฟรี ๆ อะไรกัน”
จงย่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่จ้าวกับพี่สะใภ้ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่เอาไปแบบฟรี ๆ หรอก ถ้าขายได้เงินเมื่อไรจะแบ่งให้พวกพี่หนึ่งส่วนด้วย”
“ตกลง งั้นพวกเราก็ตกลงกันตามนี้นะ!” จ้าวเหวินเทาชนไหล่จงย่ง ทั้งยังพูดทีเล่นทีจริง
เย่ฉูฉู่เห็นแค่ว่าพวกเขากำลังล้อเล่น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นเกล็ดปลาแช่แข็งหรือผัดไส้ปลา ต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะรับได้ การขายออกไปจึงค่อนข้างยาก
“พี่สะใภ้ นี่คือหัวปลาเหรอ?” จงย่งชี้ไปที่อาหารอีกหนึ่งเมนู
เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันนี้เรียกว่าหัวปลานึ่งราดพริก ฉันเรียนมาจากพี่สะใภ้สาม เป็นเพราะใส่พริกลงไป รับประทานตอนฤดูหนาวจะทำให้อบอุ่น ฉันก็เลยลองทำให้พวกเธอชิมดู”
นี่ก็เป็นหัวปลาที่ได้มาจากปลาที่นำมาย่าง หากจะให้โยนทิ้งเย่ฉูฉู่ก็รู้สึกเสียดาย เธอนึกถึงเมนูอาหารนี้ที่โจวหมิ่นสอนไว้ จึงทำออกมา
ปีนี้ทุกคนต่างก็รับประทานอาหารราคาถูก อย่างเนื้อหมู ยิ่งมันก็ยิ่งดี ปลาย่อมต้องรับประทานเนื้อ แต่ใครจะรับประทานหัวปลากัน เพราะทำให้ดูคล้ายกับใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก การรับประทานก็รู้สึกแปลก ๆ ด้วย ตอนนี้การทำอาหารด้วยหัวปลาเป็นอาหารเฉพาะตัวของเย่ฉูฉู่
“พี่สะใภ้ สอนผมได้ไหม รสชาติของมันไม่เลวเลยจริง ๆ อร่อยมาก!” จงย่งยิ่งรู้สึกได้ว่าการเดินทางมาครั้งนี้ของเขาไม่สูญเปล่าเลย
“จ่ายค่าเรียนมาด้วย ๆ!” จ้าวเหวินเทาพูดหยอกล้อ
“ต้องจ่ายอยู่แล้ว!” จงย่งหัวเราะร่า
เย่ฉูฉู่มองตาขวางใส่สามี เธออธิบายให้จงย่งฟังอย่างละเอียดหนึ่งรอบ จงย่งคลุกคลีอยู่กับอาหารทั้งวัน จึงไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร หลังจากฟังจบก็จำได้เลย
เย่ฉูฉู่พูดจบเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ลูกจะกินนมแล้ว จึงอุ้มลูกไปกินนมที่ห้องตะวันตก
จงย่งรับประทานจนเหงื่อซึมเต็มศีรษะ สบายตัวมาก สะใจสุด ๆ ไปเลย
“พี่จ้าว ผมว่าอาหารที่พี่สะใภ้ทำออกมาอร่อยกว่าที่พี่ทำเยอะเลย!” จงย่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จ้าวเหวินเทาไม่มีความสุข “ก่อนหน้านี้ที่ฉันทำให้นายกินนายก็ชมไม่ขาดปากไม่ใช่เหรอ?”
จงย่งพยักหน้า “มันก็จริง”
“สุดยอดเลยนะนาย ฉันจะบอกอะไรให้ รอฤดูร้อนของปีหน้ามาถึง ร้านเล็ก ๆ ของนายเพิ่มเนื้อย่างอีกหน่อย ของที่ย่างแบบรมควันนี่แหละถึงจะหอม”
จงย่งพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “พี่จ้าวคงไม่รู้ ตอนนี้ผมยุ่งจนหัวหมุนแล้ว ถ้าจะทำก็ต้องจ้างคน”
“ทำไมนายถึงยุ่งขนาดนั้นล่ะ?” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความประหลาดใจ “ตอนนี้คนในอำเภอมีเงินขนาดนั้นแล้ว ต่างก็ไปกินข้าวที่ร้านนายกันทั้งนั้น”
จงย่งรีบส่ายหน้า “เปล่าหรอก การทำค้าขายของกินก็ต้องเตรียมวัตถุดิบ ยังต้องล้างทำความสะอาดอีก นี่เปลืองเวลาทั้งนั้นเลย ตอนเช้าผมยังต้องไปซื้อของอีก ตอนตีสี่กว่า ๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมแล้ว ตอนค่ำยังต้องมาทำปิ้งย่าง ผมว่าหนึ่งวันได้นอนไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“ก็จริงนะ” จ้าวเหวินเทาพยักหน้า
ธุรกิจทำอาหารนับว่ายุ่งยากที่สุด การจัดการวัตถุดิบและล้างทำความสะอาดตั้งแต่ต้นจนจบต้องเสียเวลาอย่างมาก
“ปีหน้าค่อยว่ากัน ถ้าน้องชายของผมทำคนเดียวได้ค่อยให้เขาทำ” จงย่งก็เคยเห็นแผงลอยปิ้งย่างของคนอื่น ก็พบว่าขายดีมาก หากปล่อยไปเขาเองก็ทำใจไม่ได้
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว จงย่งก็เลือกกระต่ายไปสามสี่คู่แล้วกลับไป
“ซื้อกระต่ายออกไปอีกสามสี่คู่แล้ว!” จ้าวเหวินเทากลับมาอุ้มลูกชายพร้อมกับพูดคุยหยอกล้อ “เดี๋ยวพ่อซื้อลูกอมให้ลูกกินนะ!”
เย่ฉูฉู่ถาม “คุณไปอำเภอครั้งนี้ได้โทรหาพี่สามของฉันไหมคะ?”
จ้าวเหวินเทารีบพูด “โทรแล้ว พี่สามของคุณสบายดี ลูกก็สบายดี ผมถามแล้วว่าแม่ยายจะกลับมาฉลองปีใหม่ไหม ได้ยินพี่สามพูดแบบนั้น ดูเหมือนว่าปีนี้คงไม่ได้กลับมา พวกเขาบอกว่ามีแฟชั่นวีคอะไรนี่แหละ ยุ่งมาก”
โจวหมิ่นเขียนจดหมายมาบอกเย่ฉูฉู่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เย่ฉูฉู่ลองนับวันดูก็น่าจะประมาณช่วงนี้
“แม่ยายสบายดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จ้าวเหวินเทาปลอบใจภรรยา
“อยู่กับพี่ของฉันจะเป็นห่วงอะไรล่ะ ฉันก็แค่คิดถึงแม่ก็เท่านั้น” เย่ฉูฉู่กล่าว
บ้านแม่ บ้านแม่ มีแม่อยู่ถึงจะเรียกว่าบ้านแม่ แม่ไม่อยู่บ้านกลับไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
ฃ
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นในตอนนี้กำลังยุ่งจนหัวหมุนไปหมดแล้ว เพราะโจวหมิ่นทำการประชาสัมพันธ์แล้ว แฟชั่นวีคยังไม่ทันเริ่มก็มีคนเริ่มโทรมาสอบถามว่าเมื่อไรจะออกสู่ตลาด หลังจากแฟชั่นวีคเริ่มต้นขึ้น เสื้อผ้าผู้หญิงคลาสสิกที่ออกแบบโดยเย่ฉูฉู่ก็จะเปิดตัวสู่สายตาประชาชน ยอดจองคงล้นหลามราวกับหิมะบนพื้น พวกเขาจึงต้องจ้างคน ทำโอที และรีบผลิต
ตอนนี้ยังไม่ถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเลย
แฟชั่นวีคสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากเหนื่อยมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ในที่สุดเย่หมิงเป่ยก็สามารถถอนหายใจได้สักที เขาเอนตัวนอนลงบนตัวและไม่อยากที่จะลุกขึ้น เขาแอบรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา เขาทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน?
โจวหมิ่นมองเห็นท่าทางตกอยู่ในภวังค์ของอีกฝ่าย จึงนั่งลงข้าง ๆ เขา ทั้งยังลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน “คุณคงเหนื่อยแล้วสินะคะ”
เย่หมิงเป่ยได้สติกลับมา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไหวอยู่ครับ คนที่เหนื่อยที่สุดก็คือคุณนั่นแหละ”
โจวหมิ่นเป็นคนวางแผนทั้งหมด ทุกอย่างโจวหมิ่นต้องดูแลจนกระทั่งเสร็จสิ้น ส่วนเขาก็แค่วิ่งเต้นทำงานให้เพื่อดำเนินการ
“ฉันก็แค่ขยับปาก เหนื่อยตรงไหนกัน” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เคล็ดลับทางการตลาดเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้ทำให้หล่อนเหนื่อย เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าการโฆษณาและวิธีการทางการตลาดเชิงแนวคิดในอีกสิบปีต่อมาจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ในตอนนี้ หลังจากนี้อีกสิบกว่าปีก็เป็นยุคบริโภคนิยม อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นยุคแห่งการประหยัดอดออม เสื้อผ้าราคาแพงแบบนี้ การใช้ “เพศหญิงที่ต้องการทำดีกับตัวเอง” เป็นจุดเริ่มต้นของการโฆษณาชวนเชื่อ กลับได้รับความนิยมขนาดนี้ ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน นิสัยของคนกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ? หมินหมิ่น?” เย่หมิงเป่ยเห็นโจวหมิ่นเหม่อลอยจึงเอ่ยถาม
“เปล่า ฉันก็แค่นึกประโยคหนึ่งขึ้นได้” โจวหมิ่นได้สติกลับมา “เงินของผู้หญิงได้มาง่ายที่สุดแล้ว”
เย่หมิงเป่ยชะงัก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอกค่ะ แค่อารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเสื้อผ้าที่สวยงามตรงหน้าต่างก็มีความรู้สึกอ้อยอิ่งอยู่เหมือนกัน คิดว่าถ้าตัวเองซื้อได้ก็คงจะดี คิดว่าผู้หญิงทุกคนคงมีช่วงเวลาแบบนี้กันทั้งนั้น” โจวหมิ่นกล่าว
“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณไม่อยากได้แล้วเหรอ?” เย่หมิงเป่ยถาม
“ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้วค่ะ ฉันเป็นคนผลิตเสื้อผ้า แถมยังเป็นคนออกแบบด้วย รู้กระบวนการภายในนี้แล้ว และรู้ถึงกำไรของเรื่องนี้ด้วย ต่อให้เสื้อผ้าสวยกว่านี้วางอยู่ตรงหน้า ฉันก็แค่คิดว่าต้นทุนของมันเท่าไร เฮ้อ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเมื่อรู้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ทำให้สูญเสียความรู้สึกสนใจได้” โจวหมิ่นพูดจบก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเย่หมิงเป่ย “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เป็นการให้เงินพ่อค้าแม่ค้าทั้งนั้นเลยค่ะ”
ได้ประสบการณ์จากยุคบริโภคนิยมที่กำลังระเบิดอย่างบ้าคลั่ง เมื่อได้ขึ้นมาอยู่บนอุบายจำนวนมากของร้านค้า และตระหนักอย่างรู้แจ้ง หล่อนก็ไม่คิดจะเป็นกุยช่ายให้คนอื่นแล้ว เพราะสิ่งที่หล่อนต้องการ ก็คือไปตัดกุยช่ายต่างหากล่ะ!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แต่ละคนคือมีหัวคิดธุรกิจทั้งนั้นเลย ไม่รวยกันยังไงไหว
ไหหม่า(海馬)