บทที่ 85 แตะต้องนาง? เจ้าต้องเสียใจชั่วชีวิต! (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

วาจาข่มขู่อย่างโอหังเช่นนี้ แฝงพลังที่ทำให้คนหวาดกลัว

รู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเลื่อนมามอง นิ้วมือของคนแซ่ฟางพลันสั่นระริก

นางกลืนน้ำลายที่แห้งฝืดลงคอ

ลังเลสักพัก สุดท้าย…

ก็ค่อยๆ คลายมือ แล้วดึงมือสองข้างที่เต็มไปด้วยความอาฆาตออกจากลำคอฉู่สวินหยาง ทว่าสายตากลับไม่ยอมขยับหนี จ้องเขม็งไปที่อีกฝั่งของสนามตะปู มองดวงหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมโปร่งสีดำ

คนผู้นั้นไม่กลัวว่านางจะกลับคำสักนิด เห็นว่ามือปล่อยออกแล้ว ก็หมุนกายทันที เดินออกไปนอกตรอกด้วยฝีเท้าที่มั่นคงและแผ่วเบา

คนแซ่ฟางมองตามหลังเขาไป นิ้วมือที่สอดอยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆ จิกแน่น

ฉู่สวินหยางยืนอยู่ข้างกายนาง สัมผัสถึงไอสังหารที่แผ่ออกมารอบกายได้อย่างชัดเจน สายตาจึงเข้มขึ้น ก่อนจะก้าวขึ้นไป แล้วใช้ร่างของตนบังด้านหน้าของนางไว้

บนหน้านางว่างเปล่าไร้อารมณ์ มองสบตากับคนแซ่ฟาง เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเขามาที่นี่โดยไม่เตรียมการเลยงั้นรึ? ต่อให้วันนี้เจ้าปิดปากเขาได้ แต่เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”

ดีไม่ดี ซื่อหรงอาจจะอยู่แถวนี้ก็เป็นได้

อย่างน้อยที่สุดในสายตาของฉู่สวินหยาง ซื่อหรงต้องรู้ฐานะและความลับทั้งหมดของชายผู้นั้นดี!

คนแซ่ฟางขาดสติไปครู่หนึ่ง พอฉู่สวินหยางเอ่ยพลันก็นิ่งไปทันที…

ถูกต้อง ต่อให้นางฆ่าคนผู้นั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าพรรคพวกของเขาจะวิ่งเต้นดิ้นรนสุดฤทธิ์

ตัวนางเองนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าฉู่ฉีเฟิง…

นางไม่ยอมเสี่ยงแน่!

ตอนนี้คนได้ฉีกหน้ากากทิ้งแล้ว ฉู่สวินหยางจึงมองคนแซ่ฟางด้วยความรู้สึกสงบยิ่ง

คนแซ่ฟางก็ไม่เก็บงำอารมณ์อีกต่อไป ใช้สายตาดำมืดที่สะท้อนความเกลียดชังชัดเจนจ้องนางกลับ

คนสองคน ประสานสายตากัน

มองดูความโกรธแค้นที่ไม่คิดจะอำพรางในดวงตาของอีกฝ่าย ฉู่สวินหยางพลันรู้สึกอยากจะหัวเราะ…

นางต้องเกลียดตนขนาดไหน ถึงได้ใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองตน?

พอนึกถึงท่าทางเหินห่างแปลกหน้าที่แสร้งทำมาหลายปี ก็รู้สึกว่า…

การที่หญิงสาวซึ่งมีความเกลียดชังฝังกระดูกต้องทำทีเหมือนคนไม่รู้จักเวลาเจอหน้ากัน มันต้องยากเย็นถึงเพียงไหน

แต่จะว่าไป ก็กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

สองฝ่ายจะได้เลิกลำบากปั้นหน้าใส่กันเสียที

“วันนี้ในเมืองหลวงจะเกิดเรื่องใหญ่ เจ้ารีบกลับไปเถอะ!” ฉู่สวินหยางกระตุกริมฝีปากอย่างไม่แยแส เอ่ยจบตวัดแส้ในมือใส่กลางสนามตะปูตรงหน้าเพื่อเปิดทางเส้นหนึ่ง นางเดินไปดึงกริชที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะเสียบกลับคืนที่รองเท้า

นางเดินย้อนกลับมา แต่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันอีก เพียงเดินผ่านไหล่ของคนแซ่ฟางไปเท่านั้น

คิดไม่ถึง กลับเป็นคนแซ่ฟางที่เอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาว่า “เจ้าจะทำอะไร?”

ฉู่สวินหยางหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันไปมอง เพียงตอบสั้นๆว่า “พี่ชายเข้าวังไปแล้ว ข้าจะตามไปดู!”

ความจริงนางรู้สึกว่ามีคนแอบตามมาตั้งแต่ที่ประตูเมืองแล้ว และจากลางสังหรณ์นางก็มั่นใจว่าคนผู้นั้นคือคนแซ่ฟาง

คนแซ่ฟางไม่ตามฉู่ฉีเฟิง แต่กลับเลือกตามนางแทน!

เหอะ…

ต้องชิงชังเคียดแค้นกันขนาดไหน ถึงทำให้นางเป็นเช่นนี้ได้!

คิดดูแล้วก็ถูก ฉู่ฉีเฟิงไม่ต้องการให้นางเข้าไปเสี่ยง ถึงขั้นยอ ‘ทรยศ’ และเข้าวังไปเสียเอง

เกรงว่าในสายตาของคนแซ่ฟาง ความอดทนที่มีต่อ ‘ตัวหายนะ’ อย่างนางคงขาดสะบั้นแล้ว ถึงได้ยอมเสี่ยงทิ้งความปลอดภัยของฉู่ฉีเฟิงไว้ชั่วคราว แล้วหันมาจัดการกับนางก่อน

ตอนนี้ นางจะไม่ยอมให้ฉู่ฉีเฟิงเข้ามาพัวพันในวังวนนี้แล้วจริงๆ

ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวความโกรธแค้นของคนแซ่ฟาง แต่เป็น…

นางไม่อาจทำเช่นนี้กับฉู่ฉีเฟิงได้

ฉู่สวินหยางกล่าวจบ ก็ยกเท้าเดินต่อไปเบื้องหน้า

กลับเป็นคนแซ่ฟางที่ไม่ยอมปล่อย และยื่นแขนออกมาขวาง ดวงตามีประกายประชดประชันและเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง เรื่องของเขา เจ้าไม่มีสิทธิ์!”

ข้อโต้แย้งเช่นนี้ของนางทำให้ฉู่สวินหยางชะงักไป

นัยน์ตาฉู่สวินหยางพลันสะท้อนความโดดเดี่ยว อดจะหันกลับไปมองนางไม่ได้ เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “เจ้ารู้ว่าเขาจะทำอะไร…”

“ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ ไม่ขอให้เจ้ามายุ่งเรื่องของเขาอีก!” คนแซ่ฟางตอบด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน แต่แฝงความเฉียบขาดเต็มเปี่ยม ฉู่สวินหยางฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ

หลายปีมานี้นางถูกบังคับให้บำเพ็ญเพียรอยู่อารามเมตตา ทนรับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมอยู่ไม่น้อย หากจะสาวโยงเอาผิด คล้ายว่าฉู่เป้ยเองก็มีส่วนอยู่ด้วย แต่คนแซ่ฟางรักฉู่ฉีเฟิงถึงเพียงนั้น?

หรือเพราะต้องการล้างแค้นส่วนตัว นางถึงได้ยุยงบุตรชายของตัวเองให้ลงมือกับฉู่เป้ย?

แม้มั่นใจว่าฉู่ฉีเฟิงจะสามารถจบเรื่องนี้อย่างเงียบเชียบ แต่อย่างไรนั่นก็เป็นปู่ของเขา เรื่องนี้จะเป็นจุดราคีที่ไม่มีวันลบออกไปชั่วชีวิต!

นี่…

ไม่ใช่ความคิดที่ผู้เป็นแม่อย่างคนแซ่ฟางควรจะมี

ฉู่สวินหยางไม่พอใจ สายตาที่มองคนแซ่ฟางยิ่งเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

คนแซ่ฟางถูกนางจ้องจนรำคาญ แต่ก็พยายามข่มอารมณ์ไว้ เดินเบี่ยงไปด้านข้างอย่างเย็นชา เอ่ยว่า

“ระหว่างราชนิกุลไม่มีคำว่าครอบครัว ที่ผ่านมาเขาเมตตาผู้อื่นเกินไปจนถูกควบคุม เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาควรเรียนรู้ที่จะทำอะไรเสียบ้าง เขาต้องเติบโต การทำเรื่องเช่นนี้…ไม่มีใครจะเหมาะสมมากไปกว่าเขา!”

ระหว่างที่พูด สายตาของคนแซ่ฟางพลันมีเปลวเพลิงแผดเผา คล้ายประกายไฟกับเลือดผสมรวมกัน ดูแล้วให้คนรู้สึกหวาดผวา

ประโยคด้านท้าย นางเน้นชัดทีละคำ ทุกเสียงที่่เปล่งออกมาคล้ายผ่านการทดสอบและบีบคั้นจากจิตวิญญาณ หลอมรวมเป็นความรู้สึกที่จริงแท้และรุ่มร้อน

สังหารฉู่เป้ย!

ไม่มีใคร เหมาะจะทำเรื่องนี้มากไปกว่าฉู่ฉีเฟิง!

—————————–