ฉู่สวินหยางสะบัดแส้ยาวในมือ ทันเหมือนมังกรเริงระบำ เคลื่อนไหวอย่างน่าเกรงขาม
ทหารพลีชีพพวกนั้นไม่ได้เห็นหญิงสาวอ่อนวัยเช่นนางอยู่ในสายตา ขณะที่กำลังจะบุกเข้าใส่ ก็ถูกพลังแส้ที่เต็มไปด้วยไอสังหารบีบคั้นให้ถอยแยกเปิดทางเป็นสองฝั่ง
ฉู่สวินหยางไม่อยากติดพัน…
นางไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับคนพวกนี้ ทั้งนางไม่มีเรี่ยวแรงและความมั่นใจในการใช้หนึ่งคนสู้กับหนึ่งกลุ่ม อีกอย่าง…
ยิ่งมีคนที่เป็นภัยรอซ้ำอยู่เบื้องหลังด้วยแล้ว!
นางจึงต้องการสลัดคนให้หลุด เปิดช่องทางผ่ากลางฝูงชน ยกเท้าวิ่งเร็วอัตรา
“หยุดนางไว้! อย่าให้นางหนีไปได้!” องค์ชายหกเพิ่งปีนขึ้นจากพื้น ไม่สนใจบาดแผลและเศษดินที่เปรอะเต็มหน้า กระทืบเท้าตะคอกสั่งอย่างดุดัน
ฉู่สวินหยางย่อมไม่ออมมือ สายตาเย็นวาบ ฟาดแส้ไปทางเขาทันที
องค์ชายหกเห็นว่าแส้อ่อนที่พลิ้วไหวเหมือนงูเส้นนั้นกำลังพุ่งตรงมาหาเขา ก็ถอยร่นไปด้านหลังอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์
แต่การเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดด้วยเหตุการณ์ที่ชุลมุน แส้ของฉู่สวินหยางพลันเกี่ยวรัดที่ข้อมือของเขาทันที
รอจนเขาเงื้อดาบขึ้นฟัน ฉู่สวินหยางก็กระตุกยิ้มมุมปาก ดึงแขนกระชากกลับ ลากร่างของเขาติดมาด้วย ก่อนจะเหวี่ยงกระเด็นไปทางด้านหลัง
“องค์ชาย!” ทหารพลีชีพร้องเสียงหลง เห็นว่าร่างของเขาลอยไปทางสนามตะปู ก็ตกใจจนหน้าถอดสี
ทหารพลีชีพสองนายที่มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศรีบพุ่งตัวตามมา คนหนึ่งคว้าคอเสื้อ อีกคนคว้าขาหนึ่งข้าง ถึงช่วยเขาจากพิษต้นน่องยางขาวเอาไว้ได้ จากนั้นก็อาศัยแรงสะท้อนระหว่างพื้นกับดาบในมือ เอาตัวรอดจากด่านนี้ไปได้ในที่สุด
ตอนที่ขาสองข้างแตะลงพื้น ดวงหน้าเขาซีดเซียวไม่เห็นสี หน้าผากมีเหงื่อไหลราวเขื่อนแตก
ในตอนนั้นฉู่สวินหยางวิ่งออกห่างไปได้หลายจั้ง เห็นชัดว่าจะหลุดมือเขาไปแล้ว
องค์ชายหกขายหน้าหนัก ความเดือดดาลกระอักถึงขีดสุด ตวาดดังก้องว่า “ตามไปเดี๋ยวนี้ สังหารนางให้จงได้!”
บัดนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าที่นี่คือซีเยว่หาใช่หนานฮวา ไม่สนใจกระทั่งฉู่สวินหยางมีฐานะเช่นไร คิดเพียงต้องฆ่าคนระบายแค้น กู้ศักดิ์ศรีคืนกลับมา
ทหารพลีชีพรับคำสั่ง ชูดาบแล้วติดตามไปทันที
ด้านหลังพลันมีระลอกลมหนาวพัดผ่าน
“ระวัง!” มีคนร้องตกใจ ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองก็รู้สึกเย็นวาบที่ข้างลำคอ
เพียงชั่วพริบตา ทหารพลีชีพสิบสองนายล้มไปกองบนพื้นแปดนายแล้ว
ร่างว่องไวในชุดดำลอยอยู่กลางอากาศ คนพวกนั้นเมื่อครู่เอาแต่พุ่งความสนใจไปที่ฉู่สวินหยาง จึงไม่รู้กระทั่งนางผุดออกมาจากตรงไหน จึงได้เบิกตาโพลงแล้วล้มไปกองบนพื้น
ในมือของคนผู้นั้นมีกระบี่เปื้อนเลือด ร่างแตะลงพื้นอย่างนุ่มนวล ไม่ได้สนใจพวกองค์ชายหกที่ยืนไม่ไหวติงเหมือนไก่ไม้โง่ๆ อยู่ตรงนั้น
ทว่าจู่ๆ นางก็เปลี่ยนกระบวนท่า พุ่งตัวไปข้างหน้า เล็งกระบี่ใส่กลางหลังฉู่สวินหยาง
การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วนัก แม้ฉู่สวินหยางจะเตรียมตัวไว้ก่อน แต่ก็ดูเบาความว่องไวของนางเกินไป
ช่วงที่ฉุกละหุกนางรับมือไม่ทัน ได้แต่เบี่ยงกายม้วนตัวลงที่พื้นด้านข้าง หลบกระบี่ที่หมายเอาชีวิตนาง
ตอนที่นางเบี่ยงตัวหลบ กระบี่ของคนผู้นั้นจึงแทงได้เพียงความว่างเปล่า จากนั้นก็พลิกมือที่ถือกระบี่ พร้อมกับฝักกระบี่ที่อยู่ในมืออีกข้าง ย้อนกลับไปเล่นงานพวกองค์ชายหกแห่งหนานฮวาที่ยังยืนทึมทื่ออยู่ที่เก่า
กระบี่หมุนวนกลางอากาศ เกิดเป็นเงาสะท้อนจนมองแล้วลายตา
คนพวกนั้นแม้จะเชื่อมั่นว่าตนนั้นมากฝีมือ แต่เมื่อถูกโจมตีติดๆ กันหลายระลอกจนสับสน เพราะเห็นว่านางตามไล่ล่าฉู่สวินหยางไป จึงไม่ได้ป้องกันตัวเลยสักนิด
เมื่อกระบี่เล่มนั้นวกกลับมา แต่ละคนยืนทื่อเหมือนท่อนไม้ ทหารพลีชีพที่เหลือทั้งหมด สามในสี่ถูกกระบี่ปาดผ่านลำคอในชั่วพริบตา
คนสุดท้ายที่หลบได้ทัน กลับลืมว่าด้านหลังก็มีอันตราย เขาร่นถอยจนร่างล้มใส่สนามตะปู หยุดหายใจไปในทันที
เวลาเพียงไม่นานก็มีองค์ชายหกแห่งหนานฮวาเพียงคนเดียวที่ยังเหลือรอด ฝักกระบี่กระแทกเข้าท้ายทอยเขา สองตาปิดสนิทแล้วสลบลงไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในตรอกแทบไม่เหลือผู้รอดชีวิต
ฉู่สวินหยางไม่มีเวลาให้ตกใจด้วยซ้ำ ทันทีที่ลุกขึ้นมาหลังจากการกลิ้งหนีหนึ่งตลบ พลันรู้สึกเจ็บที่ลำคอ คนชุดดำที่รออยู่ตรงนั้นบีบคอนางเอาไว้
ผู้นั้น…ก็คือคนแซ่ฟาง
ต่อให้เปลี่ยนเสื้อผ้าปิดหน้ามิดชิด แต่ฉู่สวินหยางก็จำนางได้ในทันที
คนแซ่ฟางไม่ยอมเสียเวลา นิ้วกดเข้าที่ลำคอนางแล้วออกแรงบีบเต็มที่
ขณะนั้นเอง พลันได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “ก่อนจะลงมือ เจ้าควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน!”
น้ำเสียงมั่นคง ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
มือของคนแซ่ฟางชะงักกึก
ฉู่สวินหยางหันมองตามเสียงอย่างไม่รู้ตัว พบว่าอีกฝั่งของสนามตะปูในตรอก มีบุรุษร่างสูงในชุดคลุมสีดำตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
รูปร่างของเขา แม้จะเคยพบเพียงครั้งเดียว แต่คนแซ่ฟางกับฉู่สวินหยางก็จำได้ในทันที…
คืนก่อนที่ฉู่สวินหยางจะไปเมืองฉู่ บุรุษที่ฆ่าองครักษ์เงาของฮ่องเต้และพาซื่อหรงหนีไปด้วยในตอนนั้น
กั้นด้วยสนามตะปูที่เต็มไปด้วยไอสังหาร ชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ของคนผู้นั้นกระพือตามลมเป็นเส้นโค้งแปลกตา
เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ทั้งไม่มีท่าจะเข้ามาขวาง หมวกบังหน้าสีดำทำให้ไม่อาจคาดเดาแววตาและอารมณ์ของเขาได้ เสียงที่เปล่งออกมามีกระแสประชดประชันจางๆ เย็นเยือกไร้ใดเปรียบ “หากเจ้ากล้าแตะนางแม้แต่ปลายผม ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจชั่วชีวิต!”
นิ้วมือของคนแซ่ฟางงอโค้ง กดทับลำคอของฉู่สวินหยางในท่าที่โหดร้ายอำมหิต เล็บมือที่เริ่มซีดเหมือนดั่งดาบเหล็กที่กระหายเลือดยามราตรี แผ่ไอเย็นเยียบออกไปทั่ว
————————-