บทที่ 86.1 ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่น ฮ่องเต้สาบสูญ (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สีหน้าของคนแซ่ฟางดูแปลกประหลาด ให้ความรู้สึกที่เย็นเยียบไปทั่วสรรพางค์กาย

แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรฉู่สวินหยางจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง ทว่ากลับยังคงเป็นครั้งแรกที่เห็นนางแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา

หลังจากที่คนแซ่ฟางดึงสายตากลับมา ก็ยังคงกล่าวเตือนด้วยความเกลียดชัง “เจ้าควรจะรู้ตัวสักหน่อย อย่าได้คิดที่จะก้าวก่ายเขา! ”

ฉู่สวินหยางทำเพียงมองนาง สายตานั้นไม่เผยอารมณ์อันใดออกมา กล่าวไปตรงๆ “ท่านเกลียดข้าก็แล้วไป แต่รู้ทั้งรู้ว่าท่านพี่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เหตุใดจึงไม่ขัดขวางเขาไว้ล่ะ?”

“เรื่องของเขา เจ้าถือสิทธิ์อันใดมาถาม?” คนแซ่ฟางโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดี ความชิงชังที่อยู่ในแววตานั้นปิดบังไว้ไม่มิดสักนิด

นางมองฉู่สวินหยาง ก่อนจะเผยยิ้มเย็นออกมา “ดูท่าแล้ว ไม่ว่าเรื่องอันใดเจ้าก็คงรู้หมดแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เจ้าก็ควรจะรู้ว่า หลายปีมานี้สิ่งที่เจ้าได้มาทั้งหมดเป็นผู้ใดที่มอบให้เจ้า ยศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้า อีกทั้งชีวิตที่หรูหราสุขสบาย สิ่งเหล่านี้…ล้วนเป็นเจ้าที่ติดค้างบุญคุณของฝ่าบาท หากก่อนหน้านี้เจ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่เวลานี้…เจ้ายังมีหน้ากล้ามาครอบครองสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้อีกรึ?”

ทุกคำพูดที่คนแซ่ฟ่งล้วนเปล่งลอดออกมาจากไรฟัน ความเคืองแค้นที่ยากจะได้พบเช่นนั้น ยิ่งทำให้ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วแน่นตามเข้าไปอีก

“เพราะแบบนี้? เพื่อที่จะเรียกร้องความยุติธรรมแทนท่านพี่ ท่านจึงเกลียดการที่มีข้าอยู่เช่นนี้ใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางกล่าวถาม

“เดิมทีเจ้าก็เป็นตัวอันตราย ตั้งแต่แรก หากไม่ใช่ว่า…” คนแซ่ฟางกล่าวอย่างจงเกลียดจงชัง ทว่าพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ชะงักไป ก่อนจะผินหน้าไปทางด้านข้าง “หากเจ้ารู้จักเจียมตัวสักหน่อยก็ควรจะรู้ว่าตัวเองนั้นอยู่จุดไหน อย่าได้สร้างเรื่องให้เขาอีก มิเช่นนั้นแล้ว…”

พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงนางก็เข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ก็คงไม่อาจมีใครปกป้องเจ้าได้อีก!”

ในยามที่พูด ในใจของคนแซ่ฟางก็ปรากฏคลื่นโหมสาดซัดอย่างบ้าคลั่งตีกลับขึ้นมา…

เมื่อครู่คำเตือนของคนผู้นั้นยังสะท้อนดังก้อง

เขารู้ว่าฉู่ฉีเฟิงคือจุดอ่อนของนางก็ไม่นับว่าแปลกอันใด แต่ว่า…แต่ว่า…

แท้จริงแล้วเขารู้อะไรมาบ้างกันแน่?

คิดได้เช่นนี้ คนแซ่ฟางก็ร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน มองไปทางฉู่สวินหยาง ทั้งกล่าวอย่างสงสัย “คนเมื่อสักครู่นั้นเป็นใครกันแน่?”

ฉู่สวินหยางตกตะลึง คล้อยหลังก็ทำเพียงแค่ส่ายศีรษะอย่างจนใจ “ข้ายังคิดว่าท่านจะรู้แล้วเสียอีก!”

“อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่รู้จักเขา? เขาก็ไม่เคยลอบติดต่อกับเจ้าเลยเช่นนั้นหรือ?” คนแซ่ฟางมองพินิจนางอย่างสงสัย

ฉู่สวินหยางเห็นท่าทีนี้ของนาง ต่างฝ่ายต่างก็เกลียดชังกัน จึงเดินไปยังอีกทางแทน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ท่านวางใจเถิด ก็เหมือนกับที่ท่านพูด ข้ารู้ดีว่าข้าติดค้างท่านพี่และท่านพ่อมามากมาย ย่อมไม่อาจทนเห็นใครไปสร้างความลำบากให้พวกเขาได้หรอก แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของคนผู้นั้น แต่อย่างไรสิ่งที่ข้าตัดสินใจทำออกไป…ก็ไม่อาจทำให้ท่านพี่เกี่ยวข้องกับอันตรายได้อย่างแน่นอน!”

แม้ว่าจะไม่รู้ตัวตนของคนผู้นั้น แต่การที่เขาช่วยนางครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนเป็นเรื่องจริง

เห็นที…

หากไม่ใช่ว่าสถานการณ์คับขันจริงๆ คนผู้นั้นกล่าวว่าต้องการตัดหัวของฉู่ฉีเฟิงก็คงเป็นการขู่คนแซ่ฟางให้ตกใจไปก็เท่านั้น

คนแซ่ฟางได้ยินนางพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยังคงเผยท่าทีเย็นเยียบ ส่งเสียงในลำคออย่างหยามเหยียด “เช่นนั้นเจ้าก็จำคำพูดในวันนี้ให้ดีๆ”

ฉู่สวินหยางไม่ได้ตอบกลับอะไรนางไป

คนแซ่ฟางมองดูสีท้องฟ้า รู้ดีว่าตนเองไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นานนัก ลังเลสักพัก สุดท้ายก็ยอมแพ้ ไม่ได้เดินทางเข้าวังไปหาฉู่ฉีเฟิงแต่อย่างใด เพียงแค่เก็บดาบยาวของนางขึ้นมา

นางยกเท้าเล็กน้อย ยามที่กำลังออกไปทางด้านข้างของลาน จู่ๆ กลับได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยือกออกมาจากตรอกด้านนอกนั้น “นี่ไม่ใช่ฟางเช่อเฟยหรอกหรือ? ฟางเช่อเฟยยากที่จะกลับเมืองหลวง เวลานี้จะไปที่ใดอีกหนอ?”

เสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นนี้ แฝงไอด้วยความเหยียดหยามถึงสามส่วน มืดมนถึงสี่ส่วน ท้ายที่สุดยังมีความเคียดแค้นอย่างปิดไม่มิดอีกสามส่วน…

คล้ายกับน้ำเสียงที่คนแซ่ฟางใช้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงนี้กลับอยู่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก หันมองไปตามเสียง ฉู่หลิงอวิ้นที่แต่งกายในชุดธรรมดาไม่สะดุดตาได้นำองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาในตรอก

ทั้งสองคน เผชิญสายตากัน

ดวงตาของฉู่หลิงอวิ้นแดงก่ำ

นางกล่าวไปยังคนแซ่ฟาง ทว่าดวงตากลับจ้องเขม็งไปที่ฉู่สวินหยาง แววตานั้นทั้งดุดันและยังโหดเหี้ยม

ตั้งแต่ครั้งที่นางถูกส่งไปยังวัดก่วงเหลียน ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้พบนางมาประมาณครึ่งปีกว่าแล้ว

แต่ช่วงเวลานี้ ในความทรงจำที่ว่างเปล่านั้นกลับเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง

ฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ฉู่หลิงอวิ้นคนที่สดใสดังเช่นครั้งนั้นอีกแล้ว แม้ใบหน้าและการแต่งตัวยังคงดูงดงามไร้ที่ติ แต่แก้มนั้นเห็นได้ชัดว่าซูบผอม ผิวพรรณก็หมองคล้ำลง โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น…

ในอดีตนางเอาแต่เผยสายตาอย่างเย่อหยิ่งไม่สนใจผู้ใด ทว่ายามนี้กลับเต็มไปด้วยความคั่งแค้นอย่างบ้าเลือด

มีเพียงดวงตาคู่นี้ ที่ทำให้บุคลิกทั้งหมดของนางล้วนดูเปลี่ยนไป มิอาจเป็นหญิงสาวที่หยิ่งผยอง ช่างสูงส่งจนยากจะเทียบเทียมอีกแล้ว กลับคล้ายวิญญาณร้ายที่พยายามปีนขึ้นจากหม้อนรกอย่างสุดชีวิตก็มิปาน ทั่วทั้งกายล้วนดูมืดมนไปหมด

นางปราดมองไปที่ร่างของฉู่สวินหยาง สายตานั้นดุจคมมีดแหลม แทบอยากจะสับนางให้ละเอียดเป็นชิ้นๆ

“ฟางเช่อเฟยก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล จะไม่ไถ่ถามเรื่องราวทางโลกหน่อยหรือ? ทั้งไม่ง่ายที่จะเข้าเมืองมาเช่นนี้ เหตุใดไม่กลับวังบูรพาไปรื้อฟื้นเรื่องเก่ากับรัชทายาท แต่กลับมาตีรันฟันแทงกับฉู่สวินหยางอยู่ที่นี่ได้เล่า?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว น้ำเสียงนั้นล้วนแต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “คนวังบูรพาอย่างพวกท่าน ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มีใครอธิบายให้ข้ารู้หน่อยได้หรือไม่ ว่าที่นี่…”

ขณะที่นางพูด ก็ประกายสายตามองไปรอบๆ เหลือบมองพวกขององค์ชายหกหนานฮวาที่นอนราบอยู่กับพื้น

“การต่อสู้ที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริงๆ” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวต่อไป “ได้ยินว่าในวังแพร่ข่าวออกมา ต่างกล่าวว่าองค์ชายหกหนานฮวาถูกคนลักพาตัว ทั้งอีกฝ่ายยังวางแผนอย่างโหดร้ายทำให้องค์รัชทายาทหนานฮวาเจ็บหนัก ยามนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และเวลานี้องค์ชายหกก็ยังมาอยู่ที่นี่ พวกท่านแม่ลูกไม่ใช่ว่าควรจะเข้าวังไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังหรอกรึ?”

เฟิงเหลียนเซิ่งบาดเจ็บหนัก ภายหลังจำต้องไปทำเรื่องใหญ่ต่อหน้าฮ่องเต้เป็นแน่

จุดนี้ อยู่ในการคาดการณ์ของฉู่สวินหยางตั้งนานแล้ว

สำหรับฉู่หลิงอวิ้นนั้น ฉู่สวินหยางไม่มีอะไรจะพูด ทั้งไม่ได้คิดที่จะสนใจอะไรนาง ก็หมุนกายเดินออกไปอีกตรอกหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเรียบเย็นไปพลาง “หากพวกท่านมีใครอยากจะเข้าวังไปอธิบายก็เชิญตามสบาย ข้าไม่อาจเสียเวลาอยู่ตรงนี้กับพวกท่านได้หรอก”

ไม่ว่าคนแซ่ฟางหรือฉู่หลิงอวิ้น การที่ทั้งสองคนกลับเมืองมาโดยพลการนี้ล้วนเป็นการฝ่าฝืนต่อราชโองการ

ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่สามารถไปปรากฏต่อหน้าฮ่องเต้ได้แม้แต่คนเดียว มิเช่นนั้นจุดจบก็จะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…

ล้วนแต่เพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่าย

หากเป็นเมื่อก่อนนั้น ฉู่สวินหยางก็คงจะแสร้งแสดงบทลูกสาวที่รักใคร่ห่วงใยกับคนแซ่ฟางออกไปแล้ว แต่คำพูดของฉู่หลิงอวิ้นเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่า…

นางเห็นคนแซ่ฟางและฉู่สวินหยางฟาดฟันใส่กันเมื่อครู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสดงละครออกไปอีกแล้ว

ฉู่หลิงอวิ้นกลับไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะเฝ้าดูอย่างนิ่งเงียบเท่านั้น ประกายสายตาก็ไล่ตามไปด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างเร่งรีบ กล่าวด้วยเสียงดัง “ฉู่สวินหยางเจ้าอย่าได้คิดที่จะฉวยโอกาส อยากจะหลบหนีออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นหรอก”

พูดไม่ทันจบ นางก็สะบัดมืออย่างแรง “ไป จับสองแม่ลูกที่ร่วมกันทำความผิดมาให้ข้าจงได้!”

พวกองครักษ์รับคำสั่งทั้งก้าวไปด้านหน้า

ฉู่สวินหยางกลับไม่มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย

เป็นดังที่คาด คนแซ่ฟางที่อยู่ด้านหลัง เดิมทีก็ไม่ได้รั้งรอให้พวกเขาได้บุกเข้ามาใกล้ วาดดาบออกไป ก็ถลาเข้าไปตั้งรับอย่างทันที

———————–