บทที่ 43 เวลาเหลือเฟือ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ณ โรงพยาบาลประชาชนเจียงหนัน

เฉินหวั่นชิงค่อยๆ ตื่นขึ้นมาบนเตียงผู้ป่วย เมื่อลืมตาขึ้น เธอก็สังเกตเห็นมีคนอยู่ข้างเธอและเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไป

ซึ่งคนที่เธอก็เห็นก็คือเย่เทียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือยังถือกระเป๋าของเธอไว้!

“คุณมาอยู่นี่ได้ไง?”

สายตาของเฉินหวั่นชิงเย็นชาและถามอย่างเฉยเมย

“ผมได้ข่าวว่าคุณประสบอุบัติเหตุ ผมเลยเข้ามาเยี่ยมคุณหน่อย”

เย่เทียนตอบอย่างไม่สนใจความเฉยเมยของเฉินหวั่นชิง

“มาเยี่ยมฉันเหรอ? ฉันว่าคุณอยากขโมยเงินของฉันมากกว่านะ!”

เฉินหวั่นชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ และมองไปที่กระเป๋าที่อยู่ในมือของเย่เทียน

เย่เทียนไม่รู้จะอธิบายยังไงและพูดต่อไปว่า “ผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ? กระเป๋าใบนี้ของคุณจะมีเงินสักเท่าไรกันเชียว มันมีค่ามากพอที่จะให้ผมขโมยงั้นเหรอ?”

เฉินหวั่นชิงถอนหายใจและพูดว่า “คุณก็เป็นคนแบบนี้แหละ! คุณได้ข่าวว่าฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณเลยอยากจะฉวยโอกาสตอนที่ฉันยังไม่ตื่นแล้วมาขโมยเงินของฉันล่ะสิ? เย่เทียน ทำไมคุณนับวันยิ่งหน้าด้านขนาดนี้ ขนาดเงินของผู้หญิงคุณยังคิดจะขโมยด้วยเหรอ!”

เย่เทียนรู้สึกว่าถูกมีดปักเข้าตรงกลางหัวใจ การจินตนาการของผู้หญิงคนนี้มันจะเวอร์เกินไปไหม?

เหตุผลที่เขามา จริงๆ แล้วก็เพื่อจะมาเปลี่ยนยันต์สีเหลืองที่อยู่ในกระเป๋าของเฉินหวั่นชิง

แต่เย่เทียนก็รู้ดีว่าเฉินหวั่นชิงไม่อยากเจอเขา จึงไม่ได้ตั้งใจที่จะรบกวนเธอ

ใครจะไปรู้ว่าเฉินหวั่นชิงจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเขากำลังหยิบกระเป๋าของเธอพอดี ถูกเข้าใจผิดว่าจะขโมยเงินเลยทีนี้!

ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ!

เย่เทียนคือใคร? เป็นถึงราชาทหารรับจ้างเลยนะ จำเป็นต้องขโมยเงินแล้วทำเรื่องน่าอับอายอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนไม่พูดอะไร เฉินหวั่นชิงก็คิดว่าตัวเองนั้นเดาถูก และเธอก็มองไปที่เขาด้วยสายตารังเกียจ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเย่เทียนเมื่อสองสามวันก่อน เธอจึงพูดอย่างตอกย้ำและประชดประชันว่า “ยังไง ไม่ใช่ว่าคบหากับเจ้าหญิงของตระกูลเหลียงแล้วเหรอ นางไม่ได้เอาเงินให้คุณใช้เหรอ? แล้วผู้หญิงก่อนหน้านี้ที่เจอกันในร้านกาแฟล่ะ ไม่ใช่ลูกค้าของคุณหรอกเหรอ?”

ทันทีที่พูดจบ เฉินหวั่นชิงก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

เธอไม่ชอบเย่เทียนก็จริง แต่คำพูดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะแรงไปเหน่อย

สีหน้าของเย่เทียนเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ

“เฉินหวั่นชิง พวกเธอเป็นแค่เพื่อนของผมนะ ผมเย่เทียนไม่ใช่เป็นคนเหลืออดอย่างที่คุณคิดหรอก ไม่จำเป็นต้องขายตัวเพื่อแลกกับเงินหรอกนะ! ผมจะบอกคุณนะ ตอนนี้ผมมีเงิน! ผมมีเงินสองล้านอยู่ในมือด้วย!”

“ถ้างั้นก็เอาออกมาให้ฉันดูสิ!”

เดิมทีเฉินหวั่นชิงเริ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เทียนแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ

“ผม……”

ขณะที่เย่เทียนกำลังจะยื่นมือออกไปหยิบบัตรเครดิต แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่า เขาเอาบัตรเครดิตให้จี้เยียนหรันไปช่วยซื้อสมุนไพรแล้ว และตอนนี้บัตรเครดิตไม่ได้อยู่กับตัวเขาด้วย

เมื่อเห็นอย่างนี้น้ำเสียงของเฉินหวั่นชิงก็แข็งขึ้น “ไม่มีล่ะสิ? คิดจะตอแหลก็ทำให้มันเนียนๆ หน่อย!”

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว คุณไปเถอะ ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณอีกแล้ว”

ในขณะที่พูดอยู่ เฉินหวั่นชิงก็หันหน้าหนี ไม่แม้แต่จะมองเย่เทียนเลยด้วยซ้ำ

เย่เทียนโกรธมากและกำหมัดแน่นๆ!

แต่เขานั้นเป็นถึงราชาทหารรับจ้างและเป็นเทพแห่งการสังหารที่ทำให้กองกำลังมืดนับไม่ถ้วนต่างพากันกลัวไปหมด แต่ในตอนนี้เขากลับต้องโกรธเหมือนเด็กเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินหวั่นชิง

เย่เทียนรู้สึกอึดอัดใจมาก ในใจยังคิดว่าทำไมเขาต้องมาทนรับอารมณ์ของเธอคนนี้ด้วย!

แต่ในไม่ช้าเย่เทียนก็ใจเย็นลง เขาได้เปลี่ยนยันต์สีเหลืองในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ

จนกระทั่งเย่เทียนออกไปแล้ว เฉินหวั่นชิงถึงจะหันกลับมาและมองดูเย่เทียนที่กำลังเดินออกไป

สุดท้าย เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาและเทของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาดู

เครื่องสำอาง มือถือ กระเป๋าตังค์ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ข้างในไม่ได้มีเงินอยู่แล้ว

สำหรับบัตรเครดิต เย่เทียนไม่มีทางรู้รหัสผ่านของเธอ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาเงินจากบัตรของเธอไปได้

“เย่เทียน ไม่ว่าคุณจะทำตัวยังไง แต่พ่อคุณก็เป็นผู้มีบุญคุณกับตระกูลเฉินของเรา วันหลังคุณอยู่ห่างจากครอบครัวของฉันหน่อยก็แล้วกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหามากมาย ถ้าแบบนี้ ฉันจะได้ทำเพื่อคุณปู่บ้าง……”

เฉินหวั่นชิงไม่ได้โง่ เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอทำการวิจัยอยู่นั้นมันมีค่าแค่ไหน

การที่เธอประสบอุบัติเหตุ ก็แสดงว่าต้องมีใครบางคนที่ไม่ชอบตระกูลเฉินของเธอคอยบงการอยู่เบื้องหลัง

ท้ายที่สุดแล้ว เย่เทียนไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลเย่อีก ถ้าตกเป็นเป้าหมาย เกรงว่าจะมีแต่การได้ไม่คุ้มเสีย!

ทันทีที่เย่เทียนเดินออกไปจากห้อง เฉินจงเหอก็กลับมา

เขาเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด และเดินเข้ามาใกล้ๆ เฉินหวั่นชิงแล้วพูดว่า “เจอตัวคนร้ายแล้วล่ะ”

“มันอยู่ไหนคะ?”

เฉินหวั่นชิงถามอย่างเคร่งเครียด

เฉินจงเหอไม่ได้ตอบอะไร แต่เปิดทีวีและเปิดดูรายการข่าวที่กำลังรายงานเรื่องท่าเรือโกดังร้างที่ถูกไฟไหม้ในเจียงหนัน

“ตายหมดเลย ตายในโกดังนั้นด้วย”

ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ เฉินหวั่นชิงก็ตะลึง “ตายเลยเหรอ? เป็นไปได้ไง?”

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ดูเหมือนจะบังเอิญไปหน่อยนะ”

เฉินจงเหอก็ทำหน้างุนงงเช่นกัน

“น่าเสียดายที่เบาะแสถูกกำจัดไป ไม่อย่างนั้นคงให้ทางชางหลงมาช่วยสืบได้ แต่เพราะไฟไหม้นี่แหละ มันทำไม่ไม่เหลือหลักฐานอะไรไว้เลย”

เฉินหวั่นชิงพยักหน้า เมื่อวานเธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา และคืนในวันเดียวกันคนร้ายก็ถูกเผาตายในโกดัง เรื่องนี้มันชักจะบังเอิญไปหน่อยไหม

“เป็นไปได้ไหมว่ามีคนคอยช่วยเหลือตระกูลเฉินของเราอยู่เบื้องหลัง?”

เฉินจงเหอเดา

แม้คนพูดจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำให้คนฟังคล้อยตามไปด้วย

ทันใดนั้น เฉินหวั่นชิงก็นึกถึงตอนที่เย่เทียนมีเรื่องกับคนในบาร์ และตอนอยู่โรงพยาบาลเย่เทียนก็ให้สัญญาว่าเขาจะช่วยปู่ได้ และยังมีแสงสีขาวที่ส่องประกายในกระเป๋าของเธอในขณะที่เธอประสบอุบัติเหตุ……

เธอจึงรีบหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาแล้วเปิดดูทันที ข้างในมียันต์สีเหลืองที่พับเป็นสามเหลี่ยมใส่ไว้อย่างดี

เมื่อเห็นอย่างนี้เฉินหวั่นชิงก็ถอนหายใจอีกรอบและคิดในใจว่า “ฉันคงคิดมากไปเอง ถึงเย่เทียนจะเก่งในการต่อสู้ แต่ความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัด……”

“ลูก มีอะไรงั้นเหรอ?”

เฉินจงเหอเห็นลูกสาวสีหน้าเปลี่ยนไปจึงรีบถามเธอ

“เปล่า เปล่าค่ะ หนูแค่เหนื่อยนิดหน่อย” เฉินหวั่นชิงยิ้มพูดอย่างขมขื่น

“ถ้าเหนื่อยรีบพักผ่อนเถอะ ส่วนงานของบริษัทหนูไม่ต้องเป็นห่วงนะ แล้วพ่อจะให้คนมาเฝ้าลูกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พ่อติดต่อกับทางชางหลงเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานพวกเขาคงจะส่งคนมา!”

เฉินจงเหอพูดจบก็รีบเดินออกไปอย่างเร่งรีบ หลังจากที่ลูกสาวประสบอุบัติเหตุ ในบริษัทก็มีงานมากมายที่ต้องทำ

……

เย่เทียนในขณะนี้ เขากำลังเดินอยู่บนถนน

ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล เขารู้สึกโกรธมาก

แต่หลังจากเดินออกมาได้ไม่นานเย่เทียนก็ค่อยๆ ใจเย็นลง

เขาเป็นถึงเทพสังหาร จึงไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งเลย

ในตอนนี้ สิ่งที่เขาควรคิดคือการหาวิธีในการรับมือกับตระกูลเจิ้น

ถ้าจะกำจัดตระกูลเจิ้นตรงๆ มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทำแบบนั้น เบาะแสทั้งหมดก็คงต้องหมดเพียงเท่านี้

ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เพียงพอที่จะรับมือกับนักบู๊ระดับดำเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องกังวลคือกลุ่มของแก๊งS.P.Lจะเป็นเหมือนสุนัขจนตรอกแล้วหาผู้แข็งแกร่งระดับดินมาต่อกรกับเขา ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ คงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

ตระกูลเจิ้นเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด หากทำลายตระกูลเจิ้นไปแล้ว ยังมีตระกูลจางและตระกูลหลี่เป็นต้น

สำหรับแผนในปัจจุบัน ทำได้เพียงปล่อยเหยื่อล่อแล้วรอปลาใหญ่มากินเหยื่อ รอให้อีกฝ่ายแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาก่อน!

“เจิ้นเซ่าเฉิน ผมจะปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักพัก เพราะเรายังมีเวลาเหลือเฟือ!”

เย่เทียนพึมพำอยู่คนเดียวพร้อมกับสายตาที่เย็นชา