บทที่ 42 ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“อะไร รางวัลอะไร?”

ซวี่เปายังคงดิ้นรน แต่ในเวลาต่อมาเขาก็สั่นไปทั้งตัว เหมือนกับเจอผีในตอนกลางวัน และนั่นมันก็ยิ่งทำให้เขากลัวมากขึ้นไปอีก!

จากนั้น เขาก็เห็นเปลวไฟสีเขียวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเย่เทียน!

เมื่อลมพัดมาเบาๆ เปลวไฟนั้นก็โบกไปมา และมันก็ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

“นี่……นี่มันอะไรกัน?”

ซวี่เปาถามด้วยน้ำเสียงที่ติดๆ ขัด ๆ เขาคิดว่าเขานั้นผ่านอะไรมาเยอะและมีประสบการณ์มากมายแล้ว แต่การที่คนคนหนึ่งจะสร้างเปลวเพลิงสีเขียวบนฝ่ามือได้ และมันยังเหมือนกับดวงวิญญาณของภูตผีด้วย แค่คิดก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว

นี่มันไม่ใช่การเล่นมายากลบ้าบออะไรทั้งนั้น และเขาก็ไม่เชื่อว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้นจะใจดีถึงขั้นที่จะเล่นมายากลให้เขาดูหรอกนะ

“สิ่งนี้เรียกว่าไฟจิต เป็นหนึ่งในคาถาเล็กๆ ที่ฝีมือระดับผมจะสามารถใช้มันได้”

เย่เทียนอธิบาย

“ไฟจิตงั้นเหรอ?”

ซวี่เปาถึงกับกลืนน้ำลาย ซึ่งเขาดูเหมือนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนุกสักเท่าไรเลย

ในขณะที่เขากำลังจับจ้องอย่างระมัดระวังอยู่นั้น เย่เทียนก็นำไฟจิตตบเข้าไปที่กลางหน้าอกของเขา

จากนั้น เย่เทียนก็หันหลังแล้วเดินออกมา

เขาได้แต่มองเย่เทียนที่กำลังเดินออกไป ซวี่เปาไม่ได้คิดอะไรมาก เขารีบตรวจเช็คร่างกายและสัมผัสตัวเองดู ซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก

ไม่นานหลังกจากนั้น ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุข

“หรือมันจะเป็นการให้ของขวัญจริงๆ เหรอ? เขาจะไม่ฆ่าเราจริงๆ ด้วย?”

และในขณะนั้นเอง ซวี่เปาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาค่อยๆ ร้อนขึ้น

ปากก็เริ่มแห้ง เหมือนกับผู้ลี้ภัยที่ประสบภัยแล้งรุนแรงและขาดน้ำเป็นเวลานาน

ต่อมา เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย เป็นความรู้สึกที่อึดอัดมาก!

“หรือว่า……”

ซวี่เปาคาดเดาถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น และในขณะนั้นหัวใจก็เต้นตึกตัก

ซ่า!

ทันใดนั้น เปลวไฟสีเขียวก็ลุกไหม้บนร่างกายขของเขา

เปลวไฟสีเขียวเผาไหม้จากข้างในสู่ข้างนอก และเสียงไฟปะทุก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุด

“อ๊า……อ๊า……ไม่ ไม่นะ……”

ซวี่เปาล้มลงนอนกับพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามใช้มือตบไฟที่ลุกไหม้บนตัวของเขาเพื่อที่จะดับไฟ

แต่เขาไม่สามารถดับมันได้ แถมไฟยังแผดเผาเร็วขึ้นกว่าเดิมและลามไปทั่วร่างกายของเขา

ซึ่งไฟที่ปะทุเป็นประกายไฟนี้ใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้น ซวี่เปาก็กลายเป็นมนุษย์ไฟทันที!

“อ๊า อ๊า อ๊า! ไม่นะ! อ๊าก……”

เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วโกดังร้างแห่งนี้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โกดังร้างทั้งหลังก็ถูกไฟลุกไหม้และกลายเป็นทะเลเพลิงในที่สุด ซึ่งก็ทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนสว่างไสวขึ้น

ในขณะที่เย่เทียนกำลังเดินทางกลับนั้น เขาก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถดับเพลิงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เย่เทียนก็รู้ว่าเวทมนตร์ของเขาได้ปรากฏบนร่างกายของซวี่เปาอย่างสำเร็จแล้ว

การที่เขาได้สังหารศัตรู และยังเป็นการทำลายหลักฐานที่จะโยงมาถึงเขาได้ ซึ่งเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ!

“ตระกูลเจิ้นเหรอ ไม่นึกเลยว่าคุณก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย?”

เย่เทียนพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับแสงเย็นเยียบอันน่าสะพรึงกลัวที่แวบเข้ามาในดวงตาของเขา!

……

คฤหาสน์หยุนซาน

ที่นี่คือบ้านของเหล่าเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในเจียงหนัน

คนที่จะเข้ามาอยู่ในนี้ได้ ถ้าไม่ใช่คนที่มีอำนาจในเจียงหนัน ก็ต้องเป็นนักธุรกิจระดับสูงของเจียงหนัน หรือไม่ก็ต้องอยู่ในผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น

บริษัทแซ่หลิวเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในเมืองเจียงหนัน และหลิวเหวินซวุ่ผู้ซึ่งเป็นถึงประธานบริษัท เขาจึงต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย

ในวิลล่าสุดหรูหลังหนึ่ง

“ลุงหวาง รู้สึกยังไงบ้าง?”

หลิวเหวินซวุ่นั่งอยู่บนโซฟา และมองไปที่หวางซานแล้วถามด้วยความกังวล

หลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน สีหน้าของหวางซานยังคงซีดเซียว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเหวินซวุ่ หวางซานก็ไออย่างรุนแรงและพูดอย่างขมขื่นว่า “คุณท่าน ผมพลาดแล้วจริงๆ ไม่คิดเลยว่าไอ้หมอนั่นมันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้น่าจะอยู่ที่ระดับดำแล้ว!”

“ระดับดำเลยเหรอ!?”

สีหน้าของหลิวเหวินซวุ่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้เขาจะไม่ใช่คนที่มีศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็รู้ว่าระดับดำนั้นหมายถึงอะไร

เพราะหวางซานเป็นนักบู๊ระดับเหลือง และเขาก็เคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของหวางซานแล้ว หวางซานสามารถทำลายท่อปูนซีเมนได้ด้วยหมัดเดียวของเขา และยังสามารถเจาะกำแพงที่หนากว่าครึ่งฟุตได้!

แต่เย่เทียนนั้นกลับอยู่ในฝีมือระดับดำที่ซึ่งแข็งแกร่งกว่าระดับเหลือง นั่นก็แปลว่าพลังของเขาต้องน่ากลัวกว่าไม่ใช่หรือ?

“ใช่ครับ ผมประมาทไปหน่อย……”

หวางซานหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

“แต่ยังไงก็ตาม คุณท่านไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ต่อให้ไอ้หมอนั่นมันคือนักบู๊ระดับดำ แต่มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เพราะผมได้เชิญศิษย์พี่ของผมมาแล้ว ฝีมือของศิษย์พี่ผมอยู่ในระดับดำมานานมาก ถึงไอ้หมอนั่นมันจะเก่งแค่ไหน มันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ผมอยู่ดีครับ!”

หลิวเหวินซวุ่รู้สึกยินดีมาก ดูเหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่ และดวงตาก็ประกายความน่ากลัวขึ้น

“ถ้าเป็นท่านผู้นั้นเป็นคนลงมือเอง ผมก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว! ลุงหวาง คุณก็พักผ่อนให้เพียงพอก่อนนะ รอศิษย์พี่ของคุณมาถึงก่อน แล้วเราค่อยมาวางแผนกัน!”

“ครับ”

หวางซานพยักหน้าพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

……

เช้าวันต่อมา

ท่าเรือโกดังร้างก็ได้พังทลายลง

หลังจากที่ช่วยกันดับไฟมาทั้งคืน ในที่สุดก็ดับไฟสำเร็จ

สถานที่เกิดเหตุในขณะนี้ถูกปิดล้อมไปหมด และรถหรูคันหนึ่งก็จอดอยู่ด้านนอก

สีหน้าของเจิ้นเซ่าเฉินมืดมนและน่ากลัวมาก เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไฟจะลุกไหม้ที่นี่ได้ แม้แต่คนที่เขาส่งมายังถูกเผาไปด้วย!

“สรุปยังไง?”

หลังจากที่ใจเย็นลง เจิ้นเซ่าเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ และถามลูกน้องที่หนีกลับมาได้

“ทั้งเจ็ดคน ตายหมดแล้วครับ!”

ลูกน้องตอบไปตรงๆ และหลังจากลังเลอยู่สักพักหนึ่งเขาก็พูดต่อ “แต่ว่า การไฟไหม้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อุบัติเหตุนะครับ มันเหมือนมีใครบางคนจงใจวางเพลิง และดูเหมือนว่าเขาคนนั้นพยายามทำลายหลักฐานบางอย่างด้วยครับ”

“มีหนึ่งศพถูกเผาจนเหลือแต่ซาก และอีกหกศพที่เหลือนั้นตายเพราะตะปูเหล็กครับ!”

สีหน้าของเจิ้นเซ่าเฉินเปลี่ยนไปทันที และจากนั้นก็พูดโพล่งออกมาว่า “ไม่มีทาง คนพวกนี้ล้วนแล้วเป็นฆ่าตกรทั้งนั้น ใครมันจะเก่งถึงขั้นใช้ตะปูฆ่าพวกมันได้?”

“เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเฉินรู้ทันแล้วหาคนมาช่วย? หรือว่าเขตทหารเข้าแทรกแซงโดยตรงแล้วให้หน่วยชางหลงมาคุ้มครองตระกูลเฉิน?”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ถ้าชางหลงเข้ามายุ่งด้วยจริงๆ ด้วยความสามารถของเขตทหารในเจียงหนัน พวกเขาน่าจะตรวจสอบมาถึงพวกเรานานแล้ว ทำไมต้องปล่อยให้พวกเราอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?”

ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนอีกคนที่อยู่ในรถก็วิเคราะห์ขึ้นมาอย่างใจเย็น

ใบหน้าของเขานั้นคล้ายกับเจิ้นเซ่าเฉินมาก ซึ่งเขาก็คือเจ้าบ้านของตระกูลเจิ้น เจิ้งกั๋วโสงนี่เอง!

“เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเป็นไปได้มากกว่านั้นคือตระกูลเฉินจ้างยอดฝีมือมาช่วย ด้วยความสามารถของไอ้แก่ของตระกูลเฉิน ถ้าจะหายอดฝีมือมาช่วยคงไม่เป็นเรื่องยากสำหรับเขาหรอก”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็มองไปที่ลูกชายของเขา

“ตอนนี้ลูกสาวของตระกูลเฉินเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คิดว่าทางนั้นน่าจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นนะ”

“คนก็ตายไปแล้ว เราอย่าเพิ่งลงมือกับตระกูลเฉินเลยน่าจะดีกว่า รอให้ทางนั้นส่งคนมาก่อนแล้วเราค่อยว่ากันอีกทีก็ได้”

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เจิ้นเซ่าเฉินพยักหน้าตอบ

เจิ้งกั๋วโสงหันหน้ากลับไป จากนั้นหรี่ตาลงและรอยยิ้มเย็นชาก็โค้งขึ้นที่มุมปากของเขา

“เฉินจงเหอ คุณเคลื่อนไหวเร็วจริงๆ เลยนะ! แต่อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้ด้วยวิธีนี้ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังเล่นกับใครอยู่!”