ไป๋ซิ่วฮุ่ยตกใจ “ฮองเฮาไม่ใช่ให้บุตรไม่ได้เพคะ เพียงแต่เมื่อสมัยยังสาว ท่านเคยแท้งเพราะความไม่ระวัง จนร่างกายของท่านกระทบไปด้วย หลังจากนั้นฝ่าบาทแทบจะไม่เสด็จตำหนักเฟิงจ๋า แล้วฮองเฮาจะให้บุตรได้อย่างไร ฮองเฮาดูแลทุกคนด้วยความรักของมารดา องค์ชาย องค์หญิงในวังหลัง เป็นลูกของท่านทุกคน ทุกคนต้องขานท่านว่าเสด็จแม่ แม้ว่าฮองเฮาไม่มีบุตรของท่านเอง ก็หาได้ปฏิบัติตัวให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ ฝ่าบาทเองก็ไม่เคยพูดสิ่งใด อีกอย่าง ตอนนี้ฮองเฮามีองค์รัชทายาทนะเพคะ!”
เจี่ยงฮองเฮาอดขำเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้ “เป็นหญิงโฉมงาม แต่ไม่มีบุตร ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ งดงามครบครันเพียงนี้ ฮ่องเต้ควรชมชอบในตัวข้าไม่ใช่รึ เหตุใดฮ่องเต้ถึงมองเห็นแต่หญิงอื่นเล่า”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยทูลตอบ “ฮองเฮางดงามยิ่งเพคะ บุคลิกท่าทาง หามีผู้อื่นเทียบได้ไม่ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยลังเลไม่กล้าตอบ “หม่อมฉัน…ไม่กล้าพูดเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาพูดน้ำเสียงนิ่ง “พูด”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงทูลว่า “ผู้ชายเป็นคนชอบของใหม่เบื่อของเก่า ชอบในความสดใหม่ ฮองเฮากับฝ่าบาทหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก อยู่ด้วยกันทุกวัน มีชีวิตเรียบง่ายไร้ปัญหา แม้ว่าฝ่าบาททรงมีเสน่หาแบบใดก็ตาม แต่ความรู้สึกนั้นคงหายไปนานแล้ว ฮองเฮามีรูปโฉมงดงามแค่ไหน ก็คงมองจนระอา สวี่ชิงเหยากับฝ่าบาทถูกกั้นด้วยความเป็นกับความตาย แต่สามารถทำให้ฝ่าบาทฝันละเมอจิตผูกพัน เฮ่อเหลียนซื่อกำเนิดต่างเมือง มีเสน่ห์แบบสาวต่างเขต แต่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงสนพระทัย เหวยซื่อเกิดในอนุภรรยา ยอมอยู่ต่ำกว่าจนเคยชิน แผนการที่หญิงผู้สูงส่งทั้งหลายมิกล้านำมาใช้ แต่นางกลับกล้าใช้หมด จนได้รับความชมชอบจากฝ่าบาท…พอเป็นเช่นนั้น…”
“พอได้แล้ว” เจี่ยงฮองเฮายกมือขึ้นให้นางหยุดพูด ความเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า
การที่ตนไม่ได้ความรักจากพระสวามี ที่แท้ก็เพราะว่าตัวเองมีชีวิตอยู่นาน เคียงข้างกายนานที่สุดอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของนางกลายเป็นสีเดียวกันกับความมืด ไร้ความเคลื่อนไหว นางสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป
เจี่ยงฮองเฮาเสด็จพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนในตอนกลางคืน เปิดโปงความจริงเรื่องการแท้งของพระชายารองอวิ๋นต่อหน้าฮ่องเต้ วันถัดมา เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวัน เรื่องราวทั้งหมดก็แผ่กระจายไปทั่วราชสำนัก
ภายใต้ความตะลึงของเหล่าขุนนาง ทุกคนออกเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา คิดไม่ถึงเลยว่าการตายของเสี่ยวกวนตัวเล็กๆ หนึ่งคน จะทำให้ความลับของเว่ยอ๋องถูกเปิดเผย ความผิดสองข้อหา มันมากพอที่จะให้คนทั้งจวนเข็ดขยาด
อวิ๋นเสวียนฉั่งตะลึง เมื่อรู้ข่าวเว่ยอ๋องกับพระชายารองอวิ๋นที่เพิ่งแท้งถูกนำตัวไปขังไว้ที่สำนักพระราชวัง แล้วยังได้ยินเรื่องที่ไม่ถูกประกาศสู่ภายนอกจากคนรู้จักว่า เว่ยอ๋องรวบรวมหญิงตั้งครรภ์จากข้างนอก อนุฟาง ภรรยาของตนเป็นผู้บงการ เขาตกใจจนเหงื่อท่วมแผ่นหลัง
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่รอให้คนจากสำนักพระราชวังกับกรมยุติธรรมมาสอบสวน แต่เขาวิ่งกลับจวนอย่างเหนื่อยจนหอบแฮ่ก เขาสั่งคนให้นำตัวอนุฟางไปที่หน้าหอบรรพชน ขึงไว้ที่เก้าอี้ไม้และทำการลงโทษ ทั้งทุบตีทั้งต่อว่า เขาโกรธมากและใช้พลังมากจนปวดกระเพาะไปหมด หลังจากลงโทษไปกึ่งหนึ่ง เขาทิ้งไม้ลง และหายใจฟึดฟัดอยู่ด้านข้าง
เหลียนเหนียงเดินมาถึงหน้าหอบรรพชนตามเสียง พอทราบเรื่องที่อนุฟางช่วยพระชายารองอวิ๋นก่อทำเรื่องแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชาย นางกลัวจนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ หัวใจเต้นตึกๆ ตักๆ เมื่อเห็นฟางซื่อถูกนายท่านลงโทษจนโอดร้องอย่างเจ็บปวด หากตระกูลอวิ๋นติดพันเข้าไปด้วยคงแย่แน่ ตนยังใช้ชีวิตสุขสบายไม่พอเลย
แต่พอเห็นสีหน้าโกรธจนหน้าแดงก่ำบวกกับเอามือทาบที่ท้องเพราะปวดกระเพาะ เหลียนเหนียงนึกถึงสิ่งที่อู้เต๋อเคยบอกว่า เวลาตั้งครรภ์ของนางใกล้จะเข้ามาแล้ว แต่นี่รอเดือนแล้วเดือนเล่า ก็ไม่เห็นทีท่าใดๆ
นางแอบจับมุมชายกระโปรงเอาไว้ สายตาเริ่มเลิ่กลั่ก ตนไม่ใช่คนที่มีบุตรไม่ได้แน่ หรือปัญหาอยู่ที่นายท่าน
แม้นายท่านยังไม่แก่ถึงขั้นมีบุตรไม่ได้ อายุมากกว่าตนหลายปี แต่อาการโรคกระเพาะที่หนักขึ้นทุกวัน รู้สึกเจ็บออดทุกครั้งที่มีอารมณ์โมโห สุขภาพของท่านไม่ได้ถือว่าดี…หากมีบุตรไม่ได้จริง ก็คงไม่แปลก
เหลียนเหนียงรู้สึกตัวทันทีที่เห็นนายท่านหยุด นางรีบเข้าไปพยุงอวิ๋นเสวียนฉั่งและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “นายท่านอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านโกรธจนเสียสุขภาพก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้หาวิธีแก้ปัญหาไม่ให้ติดร่างแหไปกับคนสารเลวดีกว่า”
อนุฟางคลานอยู่ที่พื้น พยายามเงยหน้าที่บวมช้ำขึ้นมอง ผู้หญิงคนนี้ เมื่อตอนเข้าจวนใหม่ๆ เอาอกเอาใจไม่เคยหยุด ทั้งนับถือกันเป็นพี่สาวเป็นน้องสาว และยังมอบของขวัญงานปักแก่นาง เมื่อตอนอวิ๋นหว่านถงยังไม่เกิดเรื่อง นางเชื่อฟังตนต่โดยดี แต่พอเกิดเรื่องขึ้น ถึงขั้นเรียกข้าว่า ‘คนสารเลว’ ต่อหน้าเช่นนี้เลยงั้นรึ!
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นสายตาคล้ายจะกลืนกินคนของอนุฟางจ้องไปยังเมียรัก เขาเตะเข้าหน้าของนางและพูดว่า “จ้องทำไม พูดผิดตรงไหน นังคนมือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ! ครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นจะเดือดร้อนเพราะเจ้า ข้าจะถลกหนังเจ้าให้หมด!” เมื่อหันหน้าไปหาเหลียนเหนียง อารมณ์โกรธก็เบาลง “มีแต่เหลียนเหนียงที่รู้ใจข้าเป็นที่สุด ทุกครั้งที่มีเรื่อง มีแต่คำพูดของเจ้าคนเดียวที่ข้าฟังแล้วรื่นหูที่สุด”
อนุฟางตกใจกับคำพูดของอวิ๋นเสวียนฉั่งจนร้องไห้ฟูมฟาย “นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าถงเจี่ยเอ๋อร์คิดจะทำเช่นนั้น นางสั่งให้ข้าไปทำ ข้าก็เลยต้องไปทำ หากคนในสำนักเข้ามาสอบสวนเอาความ นายท่านโปรดช่วยข้าอธิบายด้วยนะเจ้าคะ——”
“ดูอนุฟางพูดเข้าสิ” เหลียนเหนียงเหลือตามอง “ก็รู้ว่าอนุฟางมีสมองช้า แต่ไม่คิดว่าจะโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ พระชายารองอวิ๋นสั่งให้หาหญิงอายุครรภ์คราวเดียวกัน เจ้าคิดไม่ได้เลยรึว่าทำเพราะอะไร อนุฟางคิดว่าข้ากับนายท่านเป็นคนโง่หรืออย่างไร คนในสำนักราชวังไม่มีทางเชื่อแน่!”
“นี่เจ้า——” อนุฟางโกรธจนแทบกระอักเลือด นางเกลียดผู้หญิงคนนี้จนแทบจะเย็บปากนางเอาไว้
อวิ๋นเสวียนฉั่งถอนหายใจฮึ่ม จากนั้นเตะใส่อนุฟางอีกสองสามทีจึงหายโกรธไปบ้าง แต่สีหน้ากลับคร่ำเครียดมากกว่าเดิม เพราะเหลียนเหนียงกระซิบอยู่ข้างหูไม่หยุด “นายท่านเจ้าคะ หรือเรานำตัวออกไปก่อน ก่อนที่ทางการจะมาจับตัว ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดมาสอบสวน พวกเราสามารถทำเป็นไม่รู้เห็นด้วย ตัดขาดสัมพันธ์กับนางซะเดี๋ยวนี้ หากรอจนทางการเดินทางมาถึง ถึงเวลานั้นคงอธิบายไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อย่านะเจ้าคะนายท่าน!” อนุฟางเกาะขากางเกงของอวิ๋นเสวียนฉั่งไว้แน่น “นายท่าน ข้ารับใช้ท่านมาหลายสิบปี ทั้งยังคลอดถงเจี่ยเอ๋อร์ให้ท่านด้วย ไม่มีผลงานแต่ก็ทำอะไรเพื่อท่านไม่น้อย แม้ท่านจะมองเห็นเพียงเท่านี้ ท่านก็ควรช่วยข้าสักครั้งนะเจ้าคะ——”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเตะนางอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงที่โกรธมาก “ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของจิ่นจ้งยัดเยียดเจ้าให้ข้า คิดหรือว่าข้าอยากรับเจ้า หัดดูตัวเองซะบ้างว่าเป็นใคร!” พูดเสร็จ เขาเรียกบ่าวใช้ให้มัดตัวอนุฟาง ให้ม่อไคไหลเตรียมรถเอาไว้ จากนั้นนำตัวที่ถูกมัดราวกับหมูที่ยังไม่ตายขึ้นรถม้า และเดินทางไปยังสำนักพระราชวังพร้อมกับม่อไคไหบ
เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเห็นเจ้ากรมและพ่อบ้านนำตัวแม่แท้ๆ ของพระชายารองมาด้วยตนเอง จึงรีบเข้าไปรายงานกับข้าหลวงสำนักพระราชวัง
ข้าหลวงคิดไม่ถึงว่าเจ้ากรมอวิ๋นจะเป็นคนยุติธรรม เข้มงวด และจัดการอย่างเด็ดขาดถึงขั้นส่งคนผิดมาถึงที่นี่ อีกทั้งยังสั่งให้คนนำตัวอนุฟางที่ร้องโวยวายจนเส้นเสียงแทบฉีกขาดเข้าไปยังคุก
ด้านหน้าประตูสำนักพระราชวัง อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นอนุฟางถูกนำตัวไปเข้าคุกแล้วก็จริง แต่เขาวางใจไม่ได้ เขาปาดเหงื่อออก และเชิญข้าหลวงไปคุยข้างๆ เขาพูดเสียงทุ้มว่า “ฝ่าบาททรงกริ้วข้าหรือไม่ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะนังสารเลวนั่นต้องการชื่อเสียงเกียรติยศจากจวนเว่ยอ๋อง นางจึงไปมาหาสู่กับพระชายารองอวิ๋นอย่างลับๆ แต่ใครเล่าจะคิด ว่านางกล้าทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ได้ ข้าไม่รู้เห็นเรื่องนี้จริงๆ นะขอรับ! หากฝ่าบาททรงกริ้ว ได้โปรดท่านข้าหลวงช่วยข้าพูดด้วย ในภายภาคหน้า หากท่านมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้ ถ้าข้าทำได้ ข้าจักต้องทำให้ท่านอย่างแน่นอน…”
ข้าหลวงเหงื่อไหลซิกๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีท่าทีเพียงแค่ลูบที่หนวดเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้ากรมวางใจเถิด ท่านเป็นถึงคนสำคัญฝ่ายกลาโหม ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท ท่านจะกลัวสิ่งใดอีกเล่า แล้วอีกอย่างท่านนำตัวคนทำผิดมายืนยันความบริสุทธิ์ของท่านแล้ว ฝ่าบาทไม่ถือโทษท่านหรอก”