อวิ๋นเสวียนฉั่งจะวางใจได้อย่างไร เมื่อสิ่งที่เว่ยอ๋องกับอวิ๋นหว่านถงทำลงไปไม่ใช่เรื่องเล็กเลย สับเปลี่ยนเชื้อพระวงศ์ เป็นความผิดใหญ่หลวงเชียวนะ อนุภรรยาของตนเป็นคนบงการ แม้ตำแหน่งของตนจะไม่ถูกลด แต่เส้นทางการรับราชการต้องได้รับผลกระทบเป็นแน่ มันน่าโกรธจริง เขาจับแขนเสื้อของข้าหลวงไม่ปล่อย “ท่านอย่าละเลยข้านะขอรับ”
ข้าหลวงขมวดคิ้วและส่ายหัว เขาดึงแขนเสื้อกลับมาและกล่าวว่า “เอาล่ะๆ หากทางฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทมีความคิดจะลงโทษเจ้ากรม ข้าจะช่วยพูดให้”
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินดังนั้นก็โล่งอก เขากุมมือแสดงความขอบคุณ “ขอบพระคุณขอรับท่านข้าหลวง” พูดจบ เขาก็ขึ้นรถม้ากับม่อไคไหลและเดินทางกลับจวน
ข้าหลวงเห็นรถม้าไกลออกไปจนพ้นสายตา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาหันหลังและเดินเข้าไปยังห้องหนึ่งในหยาสู่[1]อย่างรวดเร็ว พอเข้ามาถึง เขาสะบัดแขนเสื้อและแสดงการคารวะต่อคนที่นั่งอยู่บนนั้นอย่างมีมารยาท “เหยากงกง”
เหยาฝูโซ่วรับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้มาควบคุมการพิจารณาตัดสินคดีของเว่ยอ๋องกับพระชายารองอวิ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจออวิ๋นเสวียนฉั่งมัดตัวอนุภรรยาและนำตัวมาส่งที่หยาสู่เพื่อล้างความผิด เพราะเห็นท่าทีร้อนรนดุจไฟเผาของเขา เขาจึงกระซิบที่ข้างหูของข้าหลวงให้ไปบอกอวิ๋นเสวียนฉั่งว่าวางใจได้
เมื่อเห็นข้าหลวงกลับมาแล้ว เหยาฝูโซ่วจิบน้ำชาและถามออกไปด้วยการพูดแบบช้าๆ “เป็นอย่างไร จัดการแล้วใช่ไหม”
ข้าหลวงพยักหน้าตอบ ข้างในของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาจึงเดินไปปิดประตูและถามว่า “เหยากงกงอย่าหาว่าข้าพูดมากเกินไปเลยนะขอรับ ฝ่าบาทไม่เอาเรื่องตระกูลอวิ๋นจริงหรือ”
เหยาฝูโซ่วคิดไว้แล้วว่าข้าหลวงจะต้องมีความสงสัย เขาตอบกลับเพียงว่า “ฝ่าบาททรงเห็นถึงความสามารถของคน ตอนนี้เป็นช่วงใช้คน อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นเจ้ากรมฝ่ายกลาโหม เป็นผู้ได้รับตำแหน่งจากการแต่งตั้งโดยฝ่าบาท หากเกิดอันใดขึ้นเพราะเรื่องนี้จนทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องถึงคราจบสิ้น ก็คงเสียดายไม่น้อย เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยว่าจะไม่เอาความ”
เหตุผลเช่นนี้นำมาใช้ได้ด้วย? ข้าหลวงได้ยินก็ยิ่งสงสัย ฟางซื่อในจวนอวิ๋นกระทำผิดใหญ่หลวง ถึงเจ้ากรมอวิ๋นจะไม่รู้เรื่องด้วย อย่างไรเสีย จวนอวิ๋นก็ควรรับโทษไปตามกฎ แต่ดูท่าแล้ว ฝ่าบาททรงปกป้องตระกูลอวิ๋น และไม่อยากให้ตระกูลอวิ๋นต้องจบลงเพราะเรื่องนี้
แม้ข้าหลวงยังรู้สึกแปลกใจ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก
เบื้องบนตัดสินไม่ลงโทษ แล้วใครจะกล้าบังคับการตัดสินใจของฮ่องเต้ล่ะ ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ตรวจราชการเจี่ยงยิ่นจอมหัวแข็ง ผู้ซึ่งเคร่งครัดและยุติธรรมเป็นที่สุดในกฎหมายสักหน่อย
คงพูดได้แค่ว่า ทำบุญมาดี ไม่รู้ว่าเทพองค์ไหนปกปักคุ้มครองอวิ๋นเสวียนฉั่งอยู่
ตอนที่อวิ๋นเสวียนฉั่งมัดตัวอนุฟางเพื่อนำตัวไปส่งยังสำนักพระราชวัง เหลียนเหนียงสั่งให้คนเก็บกวาดหน้าหอบรรพชนที่หยุ่งเหยิง และพาตงเจี่ยไปยังหอสกาวจันทร์
ไปได้ครึ่งทาง ก็บังเอิญพบกับฮุ่ยหลานระหว่างทางพอดี
สาวใช้ข้างกายฮุ่ยหลานถือถาดรองเอาไว้ บนถาดมีชามอาหารลายนกยูก ด้านข้างมีชุดชามหนึ่งชุด มีช้อนเงินและจาน
เหลียนเหนียงมองไปยังชามอาหาร นั่นมันยาบำรุงของคุณชายจิ่นจ้ง นางขำเยาะเย้ยแบบกลั้นไม่ไหว
นางรู้มาว่าก่อนลูกสาวคนโตออกเรือน เคยกำชับฮุ่ยหลาน ให้นางเป็นคนดูแลรับใช้ชีวิตประจำวันของคุณชาย
นางฮุ่ยหลานก็ประจบสอพลอเก่งไม่เบา เดี๋ยวนี้ดูแลคุณชายทุกเรื่อง ตั้งแต่เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง จะต้องผ่านมือนางเท่านั้น ไม่เคยปล่อยให้คนอื่นทำ ได้ข่าวว่าระยะใกล้ๆ นี้ คุณชายต้องเข้าสอบที่สถาบันกั๋วจื่อเจี้ยนหลายสนาม คุณชายเตรียมตัวอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ฮุ่ยหลานจึงต้มยาบำรุงสมองและยกไปให้ทุกวัน ไม่เคยมีมื้อไหนที่ไม่ต้มไปให้
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นถึงความตั้งใจดูแลของฮุ่ยหลาน เขารู้ว่าต้องตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน เขาจึงปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนมากกว่าหลายๆ คนที่ท้ายเรือของพ่อหลายเท่า และยังคอยพูดชื่นชมความดีของนางต่อหน้าท่านย่าและท่านพ่อเป็นประจำ
ถงฮูหยินชื่นชอบฮุ่ยหลานมากกว่าอนุคนอื่นๆ เป็นเดิมทีอยู่แล้ว เพราะนางมีอุปนิสัยคล้ายกับตัวเอง เป็นหญิงซื่อสัตย์ ยิ่งได้ยินคำชมจากหลานชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะฮูหยินยิ่งชอบนางเข้าไปใหญ่
การที่อวิ๋นเสวียนฉั่งรับฮุ่ยหลานเอาไว้ ล้วนเป็นเพราะฮูหยินทั้งนั้น เดิมที แค่คิดว่ารับนางไว้เท่านั้น หาได้สนใจนางแต่น้อยไม่ แต่พอฟังลูกชายพูดถึงเป็นประจำก็เริ่มใจอ่อน วันใดที่มีของอร่อยของดี เขาไม่ได้ให้เหลียนเหนียงทั้งหมด แต่เริ่มแบ่งให้ฮุ่ยหลานด้วย
ท้ายเรือนตระกูลอวิ๋นในตอนนี้ เหล่าเจ้านายชอบในตัวฮุ่ยหลานไม่ได้น้อยไปกว่าเหลียนเหนียงเลย
บางทีเหลียนเหนียงก็แอบไม่ชอบใจบ้าง
คิดว่าเอาใจน้องชายของพระชายาในฉินอ๋องได้ แล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นรึ นังโง่
เอาใจคุณชายดีแค่ไหน แล้วยังไงล่ะ เด็กนั่นจะนับถือฮุ่ยหลานเป็นแม่แท้ๆ หรืออย่างไร
ตอนที่เหลียนเหนียงบ่นพึมพำอยู่ สองคนนั้นเดินผ่านโดยไม่ทักทาย
เมื่อเห็นฮุ่ยหลานไม่แม้แต่จะทักทาย ถือถาดรองเดินผ่านนางไปยังห้องคุณชายแบบนี้ เหลียนเหนียงหยุดเดิน และหันกลับไปพูดจาประชดประชันใส่นางว่า “คิดว่าเอาใจคุณชายแล้วชีวิตจะสุขสบายงั้นรึ ถุย”
ตงเจี่ยพูดต่อประโยคของเจ้านาย “นั่นสิเจ้าคะ อนุสามก็แค่มีคุณชายให้พึ่งพา คุณชายไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางซะหน่อย ถึงนางจะดีแค่ไหน ก็ดีได้แค่ไหนกันเชียว ถ้าอนุสองให้กำเนิดบุตรของตัวเองเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องกลัวนางแล้วเจ้าค่ะ”
สิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริง แต่ก็พลอยทำให้นางนึกถึงความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อตอนอยู่ที่หน้าหอบรรพชน นางดึงตงเจี่ยเข้ามาและกระซิบถามว่า “เจ้าคิดว่า เป็นเพราะอันนั้นนายท่านใช้การไม่ได้หรือไม่ อาจารย์อู้เต๋อดูให้ใครก็ตรงทุกคน ทั้งๆ ที่บอกว่าข้าจะมีบุตรในเร็วๆ นี้ แถมยังมีบุญได้บุตรเป็นชาย แต่นี่ผ่านไปตั้งหลายเดือน นายท่านมาหาข้าแทบทุกวัน ทำไมถึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
ตงเจี่ยลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่า “อนุสองเจ้าคะ นายท่านมีลูกสาวตั้งหลายคน ให้กำเนิดได้แน่นอนเจ้าค่ะ จะใช้การไม่ได้ได้อย่างไรกันละเจ้าคะ ข้าน้อยมีบางอย่างอยากจะพูด แต่อนุสองอย่าถือโทษข้าน้อยนะเจ้าคะ หรือเป็นเพราะสุขภาพของอนุสองมีปัญหาแทน ให้ข้าไปเชิญหมอมาดูเสียหน่อย เรียกหมอดูแลครรภ์มาตรวจ หากมีอันใดจริง จะได้รีบรักษา อย่าปล่อยให้เสียเวลาเลยนะเจ้าคะ”
เหลียนเหนียงตบเข้าที่ข้อมือของตงเจี่ยอย่างรุนแรง ส่วนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธจนกลายเป็นสีแดงก่ำ นางพูดเสียงทุ้มว่า “พูดพล่อยอะไรเจ้า ข้าจะท้องไม่ได้ได้อย่างไรกัน ข้ายังสาวขนาดนี้! เรียกหมอมาตรวจว่าข้าท้องได้หรือไม่ จะให้คนตระกูลอวิ๋นรู้ว่าร่างกายของข้าท้องไม่ได้งั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้น นังแก่นั่นต้องหาผู้หญิงให้ลูกชายของนางอีกแน่ ถึงนายท่านจะตามใจข้า แต่ก็คงจะไม่มาเสียเวลาบนตัวข้าอีก ถึงตอนนั้นนังฮุ่ยหลานก็ได้ใจไปอย่างง่ายดายน่ะสิ เจ้าลืมเถาฮวาไปแล้วหรือไง นางท้องไม่ได้ แล้วยังมีประโยชน์อันใดอีก นางถูกโยนออกไปราวกับเป็นขยะ! เจ้านี่มันโง่เสียจริง ถ้าพูดพล่อยๆ แบบนี้อีก ข้าจะฉีกปากเจ้าให้ขาด…”
ตงเจี่ยเป็นห่วง นางจึงพูดต่อ “แต่เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ใช่ว่าจะดีนะเจ้าคะ อนุสองลองคิดดู ตอนนี้ฮุ่ยหลานดูแลคุณชายดีถึงเพียงนี้ คุณชายเองก็ชอบนางอยู่ไม่น้อย ส่วนเล่าฮูหยินกับนายท่านเห็นลูกรักใครก็พลอยรักไปด้วย ส่วนอนุฟาง ชีวิตคงจบสิ้นแล้วในที่สุด แต่ยังไป๋ฮูหยินอีกคน แม้ยังอยู่ด้านหลังหอบรรพชน แต่ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ออกเรือน นายท่านก็อนุญาตให้นางออกมาได้ครั้งคราว บางครั้งยังพูดคุยกับนางอย่างส่วนตัว ท่าทางสนิทสนมกันนัก ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าน้อยคิดว่า นายท่านจะต้องให้อภัยฮูหยินในสักวันแน่…ถึงอนุสองจะฉีกปากข้าจนขาด ข้าก็ต้องพูดเจ้าค่ะ แม้ท่านยังสาว แต่ความสาว——ไม่ได้หมายถึงจะมีบุตรได้นะเจ้าคะ จะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หรือว่า ให้ข้าเชิญหมอมาดูให้ท่านแบบเงียบๆ——”
ตงเจี่ยยังพูดไม่ทันจบ เหลียนเหนียงย่ำเท้าไม่พอใจ แถมยังใช้น้ำเสียงที่แข็งกว่าเดิมพูดว่า “ข้าบอกแล้วไงเล่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวข้า ข้าท้องได้แน่ เจ้าหยุดพูดว่าจะหาหมอมาตรวจข้าได้แล้ว” แล้วนางก็กระซิบสองสามประโยค “นายท่านเถอะ เมื่อก่อนมีได้ ไม่ได้แปลว่าตอนนี้ยังมีได้ ท่านอายุมากแล้ว งานที่ต้องรับผิดชอบก็มีมากด้วย เจ้าก็เห็นอยู่ เอะอะตรงนี้ตรงนั้นเจ็บบ้าง…ดวงข้าคงไม่ซวยขนาดนี้หรอกมั้ง! พอถึงทีข้า ก็ดันมาเจอระเบิดที่ระเบิดไม่ได้งั้นรึ”
[1] หยาสู่ หมายถึง สำนักงานของข้าราชการ