ตอนที่ 220 ดาบล้ำค่าซ่อนในรูปสลักหิน

พิธีการเริ่มต้นขึ้น เยว่เหยี่ยนพาแขกผู้ใหญ่เดินเยี่ยมชม เยว่เหยามาหาหยางโป “เห็นพวกนายยังไม่มีใครพาไป ให้ฉันพาพวกนายไปเยี่ยมชมไหม?”

หยางโปไม่ได้ตอบกลับ ทั้งยังเอ่ยถามว่า “เมื่อกี้เธอวิ่งไปที่ไหนมา?”

เยว่เหยาก็ไม่ได้ตอบ เปิดปากเอ่ยว่า “นายจะไปเยี่ยมชมไหม?”

หยางโปส่ายหน้า “ช่างเถอะ พวกเราเดินดูไปรอบหนึ่งแล้ว”

เยว่เหยาลังเลเล็กน้อย “ทางนั้นมีรูปสลักของฉินฮุ่ย นายเห็นหรือยัง?”

หยางโปนึกคิดถึงได้คิดออกว่าทางนั้นมีรูปสลักของฉินฮุ่ยอยู่ตัวหนึ่งจริงๆ แต่ใบหน้าบนรูปสลักด่างดำเล็กน้อยแล้ว รอยสลักก็พร่าเลือน

“เคยเห็นแล้ว ทำไมเหรอ?”

 

“ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ตรุษจีนของทุกปี คุณปู่จะพาฉันมาเยี่ยมชมที่นี่ คุณปู่จะชี้ไปที่ฉินฮุ่ยแล้วเล่าตำนานของเยว่เฟยให้ฉันฟัง ตอนนั้นทุกปีพวกเราจะใช้ไม้ตีไปที่ตัวของฉินฮุ่ย” เยว่เหยาตอบ

หยางโปตกตะลึงเล็กน้อย “ไม่แปลกเลยที่หน้าตาของรูปสลักหินของฉินฮุ่ยนั่นจะแตกยับเยิน!”

“ตอนนี้รูปสลักหินใช้จัดแสดงแล้ว เกรงว่าจะไปทุบตีไม่ได้แล้ว” เยว่เหยากล่าว

หยางโปกล่าวอย่างสงสัยเล็กน้อย “เป็นไปได้ยังไง รูปสลักหินไม่ใช่โบราณวัตถุอะไร น่าจะทำขึ้นไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”

หยางโปเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงขนาดไม่ได้พินิจมอง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ยุคสมัยของรูปสลักหิน

เยว่เหยาส่ายหน้า “คุณปู่บอกฉันบอกว่า รูปสลักหินมีมานานแล้ว มันถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษหลายปีมากแล้ว!”

 

หยางโปก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เขามองอีกฝ่าย “ความหมายของเธอคือ?”

“ฉันมีข้อเสนอ ก็แค่เอารูปสลักหินตัวนั้นออกมาให้ทุกคนทุบตี นี่ก็นับเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง มันดึงดูดแขกได้ไม่น้อย” เยว่เหยากล่าว

หยางโปเข้าใจขึ้นมาทันที เยว่เหยาจะต้องเสนอเรื่องนี้ไปแล้วแน่ๆ แต่ว่าคำพูดของเธอไม่มีน้ำหนัก

เยว่เหยี่ยนไม่ฟังคำเสนอแนะของเธอเลย ดังนั้นเธอพูดมาพักหนึ่งแล้วก็แค่อยากจะดึงหยางโปให้มาสนับสนุนเธอ จะให้ดีก็คือเขาอาจจะโน้มน้าวเยว่เหยี่ยนให้ได้ด้วย

หยางโปหัวเราะ ไม่ได้ตอบตกลงไปในทันที “ฉันว่าแบบนี้แล้วกัน พวกเราไปดูกันก่อน ฉันอยากดูว่ารูปสลักหินที่จริงแล้วสลักขึ้นในยุคสมัยไหน ถ้าหากยุคสมัยไม่นานจริงๆ ฉันจะช่วยเธอพูด!”

เยว่เหยาเงยหน้า เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “ถ้าหากเป็นของโบราณจริงๆ ล่ะ?”

 

“ถ้าเป็นของโบราณจริงๆ ถ้างั้นก็ต้องบอกว่าหมดโอกาสแล้ว” หยางโปกล่าว

“ตกลง!” เยว่เหยาตอบตกลงทันที

พวกตาอ้วนหลิวสองคนมองหยางโปสนทนากับเยว่จวิ้นเหยาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะไปออกความคิดเห็น หยางโปก็ไม่ได้บีบบังคับ

รูปสลักหินของฉินฮุ่ยตั้งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด ด้านข้างของรูปสลักหินมีป้ายข้อมูลที่ใช้บรรยายรูปสลักหินด้วย

หยางโปหันหน้ามองไปทางเยว่จวิ้นเหยา “ชิ้นนี้เหรอ?”

เยว่เหยาพยักหน้า “ใช่!”

หยางโปมองรูปสลักหินตัวที่อยู่ตรงหน้า แกะรูปสลักเป็นรูปร่างของฉินฮุ่ยถูกเชือกมัดเอาไว้แล้วคุกเข่าอยู่กับพื้น นี่ก็คืออิทธิพลทางศิลปะที่แพร่หลายที่สุดของฉินฮุ่ย แต่ฝีมือการแกะรูปสลักตรงหน้าธรรมดามาก เส้นสายหยาบดิบ ดูแล้วแม้ว่าจะเป็นของโบราณ มูลค่าก็ไม่สูงนัก

 

หยางโปมองปัญหาในฝีมือแกะสลักไม่ออก ประกายแสงตรงหน้าวาบขึ้น ประกายแสงเส้นเล็กบางลอยออกมาจากในรูปสลักหิน ค่อยๆ ควบรวมบนตัวรูปสลัก หยางโปจ้องมองการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า ไม่นานก็ตกตะลึง รูปสลักหินตัวนี้ถึงกับสลักขึ้นปลายสมัยราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง

ภายใต้อารมณ์ตกตะลึง สายตาของหยางโปเลื่อนผ่านไป ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีประกายแสงสว่างขึ้น เขามองผ่านไป มองเห็นรูปสลักหินกลายเป็นโปร่งแสงขึ้นมา ตรงกลางของรูปสลักหินมีกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งใส่อยู่!

หยางโปตกตะลึง จนอ้าปากค้างพูดไม่ออก

เยว่เหยามองหยางโป เห็นเขามองรูปสลักหินนิ่งค้างไม่พูดจา ในใจก็ยากที่จะไม่ให้สงสัยขึ้นมา

“หยางโป รูปสลักหินนี้โบราณมากเหรอ?” เยว่เหยาสุดท้ายก็อดทนไว้ไม่ไหว จับบ่าของหยางโปเบาๆ แล้วเอ่ยถาม

 

หยางโปได้สติคืนกลับมา หันหน้าไปมองเยว่เหยา “เธอช่วยไปเรียกคุณปู่ของเธอมาหน่อย”

เยว่เหยามองหยางโป ไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ว่าเธอมีนิสัยเชื่อฟัง รู้ว่าหยางโปไม่น่าจะใช้ส่งข่าวตามใจชอบ จำต้องบุ้ยปากกล่าว “ฉันไปเรียกเขามา นายจะต้องช่วยฉันพูดนะ!”

หยางโปหัวเราะ “ได้ ได้ เธอวางใจเถอะนะ!”

เยว่เหยาถึงได้จากไปอย่างสบายใจ

ไม่นาน เยว่เหยี่ยนก็ถูกเชิญมา เขาเร่งรีบเดินเข้ามา เขาเดินเร็วราวกับสายลม!

“หยางโป ที่จริงแล้วมีเรื่องอะไรกัน​? ถึงรีบร้อนขนาดนี้?” เยว่เหยี่ยนเอ่ยถาม

 

หยางโปหันหน้ามองไปรอบด้าน เห็นว่ารอบกายไม่มีคนถึงได้มองไปทางเยว่เหยี่ยน “ตาเฒ่า พวกเรามาพูดความจริงกันเถอะ กระบี่ล้ำค่าจ้านหลูไม่อยู่ในบันทึกของตระกูลเยว่จริงๆ เหรอ?”

เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีจริงๆ ถ้าหากมีฉันต้องบอกนายอย่างแน่นอน!”

หยางโปขมวดคิ้ว “ถ้าหากผมบอกว่า ผมมีเบาะแสล่ะ? คุณจะพูดความจริงได้ไหม?”

สีหน้าของเยว่เหยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณค้นพบอะไร?”

หยางโปจ้องมองเยว่เหยี่ยน เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงก็รู้ว่าเขาปกปิดบางอย่างเอาไว้ “ครั้งก่อนคุณบอกว่าในปลายสมัยราชวงศ์หมิง หยวนฉงฮ่วนเคยใช้ดาบจ้านหลูครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีบันทึกอยู่ในบันทึกของตระกูลไหม?”

 

เยว่เหยี่ยนมองหยางโป ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยว่า “หยางโป เธออย่าได้โทษว่าฉันปิดบังเลยนะ เรื่องพวกนี้ส่งต่อมาหลายร้อยปี ควบคุมอยู่แค่ภายในตระกูลมาตลอด ถึงจะให้รู้ข้อมูลพวกนี้ได้”

หยางโปหัวเราะ “ถ้างั้นให้ผมเดาแล้วกันนะ!”

“กระบี่จ้านหลูอยู่ในตระกูลเยว่มาตลอด ถึงแม้เยว่เผิงจู่จะตกตายไป กระบี่ล้ำค่าก็ยังซ่อนอยู่ในตระกูลเยว่ ต่อมาประสบการเปลี่ยนผ่านสองราชวงศ์หยวนหมิง ตระกูลเยว่ทุ่มเทตีกระบี่จ้านหลูจำลองขึ้นมา เมื่อเป็นแบบนี้ ภาพจำของคนนอกก็คือ กระบี่ล้ำค่าจ้านได้หลูหายไป แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือกระบี่ล้ำค่ายังคงอยู่ที่นี่มาตลอด!”

 

หยางโปจ้องมองเยว่เหยี่ยน มองเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงราวเมฆฝน ในใจพลันหัวเราะ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ช่วงปลายราชวงศ์หมิง หยวนฉงฮ่วนต่อต้านราชวงศ์จินในยุคหลัง มีคนนำกนะบี่จ้านหลูไปฝากเอาไว้กับเขา หวังว่าจะสามารถทำเพื่อราชวงศ์หมิงจนกำลังเฮือกสุดท้าย แต่ว่าในท้ายที่สุดหยวนฉงฮ่วนเพราะว่าความยโสโอหังเขาแอบซ่อนความคิดอันตรายแอบแฝงเอาไว้จึงถูกจักรพรรดิฉงเจินสั่งประหาร เมื่อเป็นแบบนี้ กระบี่ล้ำค่าจ้านหลูก็ได้นำกลับมาแล้ว!”

หยางโปกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดมากอีก

เยว่เหยี่ยนจ้องมองหยางโป ครู่หนึ่งถึงได้ส่ายหน้าฝืนยิ้ม “หยางโป นายเป็นคนฉลาดจริงๆ แต่ว่าทั้งหมดเป็นแค่การคาดการณ์ของนายเท่านั้น ว่ากันตามตรงฉันก็ไม่เคยเห็นกระบี่ล้ำค่าจ้านหลูเลยจริงๆ ทั้งหมดนี้เป็นแค่คำบอกเล่าเท่านั้นเอง”

 

หยางโปหัวเราะขึ้นมา ชี้ไปทางรูปสลักหินฉินฮุ่ยภายในรั้วเล็กๆ “ตาเฒ่า ผมคิดว่ารูปสลักหินตัวนี้น่าจะมีชีวิตชีวาไม่เพียงพอ ทั้งยังดูเหมือนด่างดำแล้ว ไม่สู้ให้พวกเราเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินตัวใหม่เถอะ!”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง รูปสลักหินตัวนี้อยู่มานานหลายปีแล้ว ดำก็ไม่เป็นไร!” เยว่เหยี่ยนกล่าว

“คุณวางใจเถอะนะ ผมจ่ายเงินไม่กี่หมื่นหยวนก็จะส่งตัวที่ดีกว่ามาให้คุณ” หยางโปกล่าวพลางยิ้มเต็มหน้า

เยว่เหยี่ยนจนปัญญา ส่ายหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อเธอรู้แล้ว ก็ไม่ต้องล้อเล่นแล้วนะ”

หยางโปหัวเราะ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถึงกับเป็นเรื่องแบบนี้”

เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ช่วยไม่ได้นี่ แบบนี้ปลอดภัยมากที่สุด แต่ว่าตอนนี้ดูท่าจะต้องนำมันออกมาแล้ว”

เยว่จวิ้นเหยาได้ยินแล้วก็งุนงง “พวกนายกำลังคุยอะไรกันน่ะ?”