ตอนที่ 384 ใกล้ถึงงานสมรส

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 384 ใกล้ถึงงานสมรส

“เอ่อ…ท่านอ๋อง ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ท่านรีบกลับจวนเถิดเจ้าค่ะ” ท่าทางของอันหลิงเกอดูมิค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเพราะการดูแลเรื่องภายในจวนรวมถึงฝึกคนนางล้วนถนัด แต่เรื่องของความรู้สึก นางช่างอ่อนด้อยยิ่งนัก

“อีกสิบวันเจ้าก็จักเป็นภรรยาของข้าแล้ว ถึงตอนนั้นหากยังเขินอายอยู่คงมิเหมาะสม ขอพระชายาโปรดเตรียมตัวไว้ด้วย ! ”

มู่จวินฮานเย้าแหย่นางเสร็จก็ขึ้นรถม้าจากไป

แต่อันหลิงเกอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตายังจ้องมองไปยังทิศทางที่เขาจากไปอยู่เช่นนั้น

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” หมิงซินที่เห็นนางเหม่อมองอย่างเลื่อนลอยก็รู้ว่าคุณหนูชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ จึงอดเข้าไปเรียกอีกครั้งมิได้

“อืม” อันหลิงเกอได้สติขึ้นมา จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในจวนทันที

เมื่อครู่นางทำอันใดลงไป เหตุใดจึงแสดงกิริยาที่มิควรเช่นนั้นลงไปได้ ?

“เกอเอ๋อ มานี่มา”

ในยามราตรี อันอิงเฉิงให้คนไปเรียกนางมาพบ

“ท่านพ่อ เหตุใดยังมิพักผ่อนอีกเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมิเข้าใจว่าดึกป่านนี้แล้วท่านพ่อเรียกนางมาด้วยเหตุใด ?

“นี่เป็นรายการสินเดิมของแม่เจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม ส่วนนี่เป็นรายการของที่ยังเหลืออยู่”

กล่าวถึงตรงนี้อันอิงเฉิงก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกถึงความพ่ายแพ้และละอายใจ

อันหลิงเกอรับมาดู หลายปีมานี้นางก็รู้ว่าหลี่อี๋เหนียงใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อยักยอกของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ ต้องโยกย้ายสินเดิมของท่านแม่ไปมิน้อยอยู่แล้ว

“แต่พ่อก็เพิ่มเงินและทองในส่วนที่เป็นของจวนให้เจ้าด้วย เช่นนี้สินเดิมของเจ้าก็มิน้อยไปกว่าท่านแม่ในตอนนั้นอย่างแน่นอน”

อันหลิงเกอพยักหน้า นางเองก็มิได้คิดมากแต่อย่างใด

นางรู้ดีว่ามู่จวินฮานมิมีทางดูถูกเพราะของนอกกายพวกนี้แน่

แต่หากมีของเหล่านี้ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

“ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ”

“ไปเถิด ท่านย่าก็กำลังรอเจ้าอยู่เหมือนกัน”

คำกล่าวของอันอิงเฉิงทำให้อันหลิงเกองุนงงเข้าไปอีก เหตุใดท่านย่าก็ยังมิพักผ่อนเล่า ?

ใช่แล้ว คงเพราะนางกำลังแต่งเข้าจวนอ๋อง ทั้งยังเป็นสมรสพระราชทาน สองวันนี้นางจึงต้องไปเรียนรู้มารยาทในวังหลวง

ต่อไปคงเหลือเวลาอยู่ในจวนน้อยลงทุกที

“เจ้าค่ะ”

ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า แสงเทียนสลัวส่องให้เห็นอันหลิงเกอนั่งอยู่ข้างเตียงพลางมองฮูหยินผู้เฒ่าหยิบกล่องไม้แดงสลักลายบุปผากล่องหนึ่งออกมา

“ท่านย่า นี่คือ…”

อันหลิงเกอนึกมิถึงว่าท่านย่าก็ได้เตรียมของขวัญไว้ให้นางเช่นกัน

อันหลิงเกอรู้สึกใจสั่นขึ้นมา มิรู้เพราะสิ่งที่นางทำในชาตินี้ทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ข้างกายของนางถึงได้มีแต่คนที่ดีมากมายเพียงนี้

“เกอเอ๋อ เหล่านี้เป็นของขวัญจากย่า ย่ามิได้ดูแลครอบครัวมานานหลายปี ดังนั้นของที่มีอยู่จึงเหลือมิมากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจออกมาพร้อมกุมมือของอันหลิงเกอเอาไว้

“ท่านย่าเจ้าคะ” อันหลิงเกอน้ำตาคลอขึ้นมาโดยเฉพาะตอนที่มือเหี่ยวย่นของท่านย่าส่งกล่องใบนั้นมาให้

ชาตินี้นางมิมีทางทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง นางจักใช้ชีวิตอย่างดีและมิทำให้พวกเขาเป็นกังวล

“เอาล่ะ พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าวังแล้ว ทำอันใดก็ระมัดระวังให้มาก” ฮูหยินผู้เฒ่ายังคอยเตือนให้นางระมัดระวังตัวเสมอ

“เกอเอ๋อจักจำคำสอนของท่านย่าไว้เจ้าค่ะ ! ”

คืนวันที่สอง อันหลิงเกอเข้าวัง เดิมทีนางคิดว่าการเข้าวังครั้งนี้ต้องมีคนกลั่นแกล้งนางเป็นแน่ อย่างเช่นหลี่กุ้ยเฟย

หรืออาจเป็นฝ่าบาท

แต่ทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น นอกจากแม่นมที่คอยสอนกฎระเบียบอยู่ทุกวันแล้ว นางก็มิได้พบผู้ใดอีก

อันหลิงเกอมิรู้ว่าทั้งหมดนี้คือมู่จวินฮานจัดการไว้ให้นางหมดแล้ว ส่วนฮ่องเต้ย่อมมิกล้าทำอันใด หลี่กุ้ยเฟยตอนนี้ก็ไร้เหตุผลที่ต้องทำร้ายนางอีก

ใกล้ถึงวันสมรส คนในวังล้วนอยากมาประจบเอาใจนางทั้งนั้น ผู้ใดอยากมากลั่นแกล้งนางกันเล่า ?

ทว่าในวันที่นางกำลังออกจากวัง อันหลิงเกอก็ได้พบคนที่นางต้องการเลี่ยงมากที่สุด

ลู่จ้าน

ที่จริงนางไร้ความจำเป็นต้องหลบหน้าเขา เพียงแต่ส่วนใหญ่เวลาที่เห็นเขาแล้วมักทำให้อันหลิงเกอรู้สึกผิดอยู่มิน้อย

“ยินดีด้วย”

สีหน้าของลู่จ้านมิสู้ดีสักเท่าไรในตอนที่พบอันหลิงเกอ สีหน้าที่ดูตื่นเต้นในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอมิได้ทักทายมากนัก ภายในใจรู้สึกเพียงอยากหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์นี้ให้พ้น

“หาก…” เขาชะงักไปชั่วอึดใจ ขณะมองไปยังอันหลิงเกอ เขามิรู้จริง ๆ ว่าคำถามนี้ยังจำเป็นที่จักถามออกไปหรือไม่

หากมิถามก็คงรบกวนจิตใจของเขาอยู่มิน้อยและเป็นสิ่งที่เขาติดใจมาโดยตลอด

“มีอันใดหรือเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นมา สำหรับลู่จ้านแล้ว ใบหน้าของนางยังงดงามมิเปลี่ยนแปลง แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ความสุขบนใบหน้าของนางมีเพื่อใครอีกคน

“หากวันนั้นฝ่าบาทมิเลือกให้ เจ้าจักเลือกข้าหรือไม่ ? ”

ตอนที่ได้ยินคำถามนี้ อันหลิงเกอรู้สึกเสียใจที่เท้าเผลอหยุดเดินขึ้นมาเสียดื้อ ๆ จึงทำให้สถานการณ์น่าอึดอัดยิ่งนัก

“คำถามนี้…” อันหลิงเกอยังมิทันได้ตอบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแทน

“คำถามนี้ข้าคิดว่าท่านอาจมิอยากได้คำตอบแท้จริงก็ได้” เมื่อครู่มู่จวินฮานออกมาจากประตูหลักและใช้ทางเดินด้านข้าง แต่มิคิดว่าจักได้เห็นทั้งสองคนเข้าพอดี ภายในใจบังเกิดอารมณ์หึงหวงจนเดินมาหา

การปรากฏตัวของเขาราวกับเป็นยาสงบใจของอันหลิงเกอ นางเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มอย่างสดใส

การที่นางแสดงออกเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการให้คำตอบแก่ลู่จ้านแล้ว เขายืนซวนเซก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าวและใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มแสนขมขื่น

“เมื่อครู่ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าขอยินดีกับท่านทั้งสองอีกครั้ง ! ”

กล่าวจบ ลู่จ้านก็ฝืนยิ้มออกมาแล้วเดินจากไปทันที

“ดูแล้วพระชายาของข้ามีผู้ชื่นชอบอยู่มิน้อยทีเดียว” มู่จวินฮานหยอกล้อขณะลูบที่คางของตน

“เช่นกัน เช่นกันเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมองค้อนหนึ่งที ก่อนจักขึ้นไปยังรถม้าของเขา

หากกล่าวถึงคนที่มาชอบพอ นางจักสู้มู่จวินฮานได้อย่างไร ?

บุรุษที่สตรีทั่วเมืองหลวงหมายปองก็คงเป็นเขานี่เอง !

“แต่ท่านอ๋องรู้สึกว่ามิเหมาะสมบ้างหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“หืม ? ”

มู่จวินฮานรู้ดีว่านางหมายถึงสิ่งใดแต่ก็ยังแสร้งมิเข้าใจ

“ข้ากับท่านยังมิได้แต่งงานกัน แต่มาพบเจอสองต่อสองเช่นนี้ หากมีคนรู้เข้า…”

“พระชายากำลังตำหนิที่ข้าคิดถึงเจ้ามากเกินไปหรือ ? ”

คำพูดของมู่จวินฮานทำให้นางถึงขั้นไปมิเป็นและกล่าวอันใดมิออกอีกเลย

ราวกับว่าเมื่อได้พบมู่จวินฮาน นางก็มิเคยเอาชนะเขาได้

เขามักมีคารมที่ทำให้นางพูดมิออกอยู่เสมอ

“พระชายาอยากกลับจวนอ๋องมู่กับข้าด้วยหรือ ? ”

รถม้าหยุดที่หน้าประตูจวนโหว แต่อันหลิงเกอยังตกตะลึงมิหายจนมู่จวินฮานอดหัวเราะออกมามิได้

“อ่า ขอบคุณท่านอ๋องที่เตือนเจ้าค่ะ” นางรีบร้อนลงจากรถม้าพร้อมรอยยิ้มฝืน จากนั้นก็เดินเข้าไปในจวน

นางเข้าวังไปได้ห้าวันแล้วงานสมรสก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ อันหลิงเกอยากที่จักข่มตาลงได้เพราะช่วงนี้นางมักนึกถึงวันแต่งงานที่เกิดขึ้นในชาติก่อน มิรู้ว่าเกี่ยวกับงานมงคลที่กำลังเกิดขึ้นหรือไม่

ถึงอย่างไรครั้งนี้นางมิมีทางทำผิดซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาด อีกทั้งตอนนี้ก็มิมีผู้ใดสบโอกาสมาทำร้ายนางได้แล้ว !

ทุกครั้งที่นึกว่ามิมีผู้ใดทำร้ายตนได้ นางจึงสามารถนอนพักผ่อนได้อย่างสงบ