ดาบยาวหลายร้อยเมตรลอยอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานสามารถรู้สึกถึงสภาพ รู้สึกถึงการสั่นไหวและตำแหน่งของดาบแต่ละเล่มได้

ตราบที่จิตเคลื่อนไหว ดาบเหล่านี้จะสังหารศัตรูทุกคนตามที่เขาบัญชา

ดาบเหล่านี้เปรียบเสมือนแขนขาของเขา เหมือนกับการก่อเกิดของจิตก็ไม่ปาน

สองชั่วอายุคนที่ผ่านมา กู่ฉิงซานไม่เคยประสบกับอะไรแบบนี้มาก่อน

ในใจเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา

การพัฒนา

ใช่แล้ว ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณนี้ เขาเหนือกว่าภูตดาบในด้านการรับรู้ทั่วไป

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“การไปถึงระดับเบิกเนตรมิติจะทำให้สามารถควบคุมดาบบินได้ดังใจนึกมากถึงเจ็ดร้อยเล่ม”

“ครั้งต่อไปที่รากฐานการฝึกฝนพัฒนาจะสามารถควบคุมดาบบินได้หนึ่งพันถึงสองพันเล่ม”

“นี่คือการพัฒนาแบบก้าวกระโดด…ในที่สุดท่านก็เป็นอิสระจากพันธนาการนักดาบจนไปถึงสภาพที่จิตกับดาบรวมกันเป็นหนึ่งได้”

“นับจากนี้ไป ท่านจะสามารถใช้ดาบบินได้หลายพันเล่มดังใจนึก ควบคุมดาบด้วยจิตของท่าน สามารถปลดปล่อยวิชาดาบลับนานาชนิดหรือแม้กระทั่งค่ายกลดาบทรงพลังได้”

“นี่คือระดับยอดเซียนดาบ!”

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

นี่คือภาพซ้อนทับอันหนาหนักของยุค เพราะมันเป็นเพียงชิ้นส่วน จึงไม่สามารถส่งผลกับทิศทางสุดท้ายของยุคโบราณได้

แต่ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นของจริง

แม้แต่กู่ฉิงซานก็สามารถฝึกฝนที่นี่ได้ ทั้งสั่งสมพลังวิญญาณและพัฒนากำลังของตัวเอง

เหตุผลที่ทำไมชิ้นส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญก็เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณพยายามสุดความสามารถที่จะเปิดโลกคู่ขนานที่สมบูรณ์อีกแห่งขึ้นมา มีชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้นที่สามารถสร้างได้

ถึงกระนั้น ความสามารถนี้เกินกว่าความเข้าใจของคนธรรมดา แม้กระทั่งเทพก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังใช้เวลาหลายหมื่นปีเพื่อที่จะเปิดความลับนี้

ความสามารถการสร้างมิติและเวลานี้มาจากที่ใด

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาที่จะมาคิด

การเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงของดาบบินทำให้สัตว์ประหลาดบรรพกาลสังเกตเห็นทันที

สัตว์ประหลาดหลายสิบตนที่มีหนามยาวต่างดึงหนามออกจากร่างกายก่อนขว้างใส่กู่ฉิงซาน

หนามแหลมคมพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป

ปีกดาบขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านหลังกระจายออกเป็นเงาดาบบินทันทีก่อนมาปรากฏตัวที่ด้านหน้าในพริบตา

ดาบบินรวมตัวกันจนก่อเกิดเป็นมือยักษ์อันคมปลาบที่ถือประกายดาบเย็นเยือกเอาไว้

กู่ฉิงซานสะบัดมือสบายๆ

มือยักษ์ที่เกิดจากดาบบินสะบัดตาม

‘ตัง ตัง ตัง ตัง ตัง!’

หนามยาวล้วนถูกมือยักษ์พัดขึ้นฟ้าไป

กู่ฉิงซานชำเลืองมองนภา

หนามยาวทั้งหมดหยุดนิ่ง

แสงอสนีบาตสีครามออกมาจากหนามยาว

กู่ฉิงซานหยิบหนามยาวเหล่านี้มาใช้แทนดาบบินก่อนควบคุมพวกมัน!

‘ฟิ่ว’

‘ฟิ่ว’

‘ฟิ่ว’

ลำแสงข้ามผ่านความว่างเปล่า

หนามยาวบินกลับไปยังตำแหน่งของสัตว์ประหลาดบรรพกาลด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าก่อนทะลวงใส่ร่างของสัตว์ประหลาดจนยึดติดเข้าไว้ด้วยกัน

กู่ฉิงซานไม่รออีกต่อไป

ค่ายกลดาบพร้อมแล้ว

เขาสลับไปใช้วิชาดาบไท่อี่ขณะควบคุมดาบบินทุกเล่มให้แยกออกในฉับพลัน พวกมันจมเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วพุ่งออกไปตามสายลม

ค่ายกลดาบตกลงมาจากท้องนภา

ลมฟ้าคำรามมาเยือน!

มีเสียงคำรามของสายลมดังไม่ขาดสาย

นี่คือเสียงที่เกิดจากดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วนที่กักเก็บพลังของวิญญาณอสนีบาตเอาไว้ขณะบินผ่านความว่างเปล่าด้วยความเร็วที่สูงมาก

ความจริง ต่อให้เป็นเช่นนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลย่อมไม่หวาดกลัว

แต่สถานการณ์มันเกินกว่าที่คาดเอาไว้

สัตว์ประหลาดตัวใดที่ถูกสายลมซัดจะต้องหยุดนิ่งจนไม่สามารถขยับไปไหนได้

หลังจากนั้นไม่นาน ดาบบินในความว่างเปล่าจะปรากฏขึ้นทันทีก่อนโคจรรอบสัตว์ประหลาดแล้วฟาดฟันร่างกายด้วยความเร็วอันสูงลิบ

ท่ามกลางเสียงหึ่งที่เสียดแทงอากาศ สัตว์ประหลาดค่อย ๆ ถูกกลืนกินโดยประกายดาบ

พายุดาบกลายเป็นโลหิต

สายลมยังคงพัดพาต่อไป

สายลมพัดเข้าหากลุ่มสัตว์ประหลาดที่แออัด

หลังผ่านไปห้าอึดใจ

ทุกคนหยุดมือราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

พื้นที่โล่งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนสมรภูมิ

สัตว์ประหลาดโบราณในพื้นที่นั้นล้วนถูกลบล้างด้วยค่ายกลดาบ

กู่ฉิงซานดึงวิชาลับกลับ

ค่ายกลดาบสิ้นสุดลงแล้ว

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ข้อมูลการต่อสู้กำลังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

“ท่านฆ่าครีปเปอร์โบราณ ได้รับพลังวิญญาณห้าหมื่นแต้ม”

“ท่านฆ่าสัตว์ประหลาดหนามบรรพกาล ได้รับพลังวิญญาณเก้าหมื่นแต้ม”

“ท่านฆ่าผู้พิทักษ์บรรพกาล ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งแสนแปดหมื่นแต้ม”

ถึงแม้นี่จะเป็นสัตว์ประหลาดระดับทหาร แต่จำนวนที่มากของพวกมันนำมาซึ่งการได้พลังวิญญาณให้แก่กู่ฉิงซาน

นักพรตมนุษย์ส่งเสียงยินดีก่อนบุกขึ้นมา!

“นายท่าน ยินดีด้วยที่พัฒนาสำเร็จ แต่ท่านใช้วิญญาณอสนีบาตที่โลกใบนี้ไม่มีออกไปจนฆ่าทหารบรรพกาลจำนวนมากเพียงชั่วอึดใจ ข้าเกรงว่าสถานการณ์จะอันตรายมากยิ่งขึ้น” ฉานนู่เตือน

“อืม ข้ารู้” กู่ฉิงซานตอบ

ถ้ามีเทพกำลังติดตามเขาอยู่ที่โลกใบนี้ อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่สอบถามเรื่องสงคราม เขาก็จะถูกจับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ถึงตอนนั้นก็คงต้องพูดเรื่องความเป็นความตาย

ต่อให้ไม่มีคนแกะรอย แต่หลังจบการต่อสู้ กู่ฉิงซานยังต้องเผชิญหน้ากับเรื่องตัวตนและปัญหาต่างๆ นานา

ในช่วงเวลาการต่อสู้อันตึงเครียด ตราบที่เขายังอยู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ย่อมไม่มีใครสนใจที่จะสนทนาเรื่องพลังวิญญาณหรือแม้กระทั่งตัวตน แต่ถ้าสงครามจบลง เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของโลกใบนี้จะต้องสังเกตเห็นเขาแน่นอน

พลังทำลายล้างขนาดนั้นจนถึงขั้นยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้ พลังนี้มันคืออะไรกัน

สำหรับกู่ฉิงซาน นี่คือราคาที่ใช้มันออกมา

แต่ต้องบอกว่าหากไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นที่อยากเผชิญหน้ากับความเชื่อในใจ กู่ฉิงซานย่อมไม่สามารถใช้มันจนประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้

เขานิ่งไปสักพักขณะมองสถานการณ์ในสมรภูมิอย่างไม่ใส่ใจ

ตอนนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เปรียบ หลายแห่งยังอับจนหนทางจนต้องส่งดาบบินเพื่อปลดปล่อยประกายดาบวิญญาณอสนีบาตจึงสามารถปัดป้องสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้

กู่ฉิงซานทะยานขึ้นสูง ทั้งร่างของเขาหลอมรวมกับดาบบินหลายร้อยเล่ม พลังของวิญญาณอสนีบาตส่งเสียงคำรามกึกก้องทั่วสมรภูมิที่ดาบบินผ่าน

สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่ถูกเขาฟาดฟันตกอยู่ในสภาพที่เคลื่อนไหวไม่ได้ก่อนถูกพรากชีวิตด้วยดาบยาวที่บินผ่านไป

ชัยชนะเริ่มเอนเอียงไปทางเผ่าพันธุ์มนุษย์

“ลุยกันเถอะ”

กู่ฉิงซานกล่าวกับฉานนู่

เขาพาดาบหลายร้อยเล่มข้ามผ่านสมรภูมิขณะบินตรงไปสู่เส้นทางอันไกลลิบ

นั่นคือจุดหมายปลายทางของเขา

นักพรตมนุษย์ทรงพลังและเทพร่วมแรงกัน ณ จุดเชื่อมต่อของทั้งสองโลกเพื่อต่อต้านผู้ปกครองโลกบรรพกาล

เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมากจนเกินไปเข้าสู่แนวหน้าเพื่อสังหารนักพรตมนุษย์ เทพจึงสั่งห้ามไม่ให้นักพรตทั่วไปข้ามแนวหน้า

เพราะผู้ปกครองโลกบรรพกาลคือตัวตนที่นักพรตธรรมดาไม่สามารถต่อกรได้

จุดเชื่อมต่อนั้นสามารถคุ้มกันได้ด้วยนักพรตมนุษย์ที่แข็งแกร่งและเทพเท่านั้น

ขณะบินไป กู่ฉิงซานนึกถึงพิชัยสงครามที่เขาได้อ่าน

ตามบันทึกที่ได้อ่าน จุดเชื่อมต่อของทั้งสองอาณาจักรในคราวนี้คือดินแดนทุรกันดารทางตะวันตกในโลกบรรพกาลและป่าหยกเย็นเยือกในสวรรค์

สงครามเทพเกิดขึ้นในดินแดนกว้างใหญ่แห่งนั้น

ส่วนสถานที่ที่เทพล่วงลับนั้น…

กู่ฉิงซานยืนยันทิศทางตามลักษณะภูมิประเทศอย่างรวดเร็ว

เขาบินไปยังป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

ใช่แล้ว นี่คือสถานที่ที่เทพต่อสู้และล่วงลับเพราะสัตว์ประหลาดบรรพกาล ป่าหยกเย็นเยือกในสวรรค์!

กู่ฉิงซานมองป่าบนภูเขา ฉับพลันก็รู้สึกถึงบางสิ่ง

ไม่ใช่

เหล่าวิหคบินอย่างอิสระในป่า

มีสัตว์น้อยใหญ่จำนวนมากในป่าเช่นกัน

ถึงแม้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในโลกใบนี้จะเห็นพลังวิญญาณและนักพรตที่กำลังต่อสู้กันอยู่ แต่พวกมันก็ไม่มีโอกาสที่จะรอดจากการต่อสู้อันดุเดือดนี้ไปได้

กู่ฉิงซานเรียกดาบบินทุกเล่มที่อยู่ไกลลิบกลับมาก่อนกลายร่างเป็นนกขนวายุแล้วบินตรงสู่ท้องนภา

เขาปะปนไปกับฝูงนกขนวายุเหล่านั้นก่อนบินโฉบ

หลังจากบินมาได้สักพัก ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นในป่า ไม่มีแม้แต่เทพหรือสัตว์ประหลาด

นี่ความจำเขาคลาดเคลื่อนหรือเปล่า

ไม่ ไม่ใช่

เทพล่วงลับในครึ่งหลังของสงคราม ประมาณช่วงใกล้ ๆ เที่ยงวัน

กู่ฉิงซานมองพระอาทิตย์ก่อนพลันได้สติขึ้นมา

เวลายังไม่ถึงช่วงนั้นเลยนี่!

แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย

แต่จะอยู่ในป่าโดยไม่ถูกพบจากเทพและสัตว์ประหลาดได้อย่างไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างหนักขณะบิน

‘โฮก!’

ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงคำรามสะเทือนโลกดังขึ้น

สัตว์ประหลาดบรรพกาลกำลังมา!

ทันทีที่เสียงดังขึ้น สัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในป่าต่างหมดสติด้วยความตกตะลึง

วิหคบนท้องนภาส่งเสียงร้องก่อนร่วงลงมา

เมื่อกู่ฉิงซานมองดูสถานการณ์ เขากล่าวอย่างยินดีว่า “แบบนี้สิถึงจะดี!”

เขาส่งเสียงร้องเช่นกันก่อนร่วงลงสู่ป่าพร้อมกับวิหคเหล่านั้น

…………………………