เสียงกลองสั่นสะเทือนไปถึงท้องนภา

เสียงแตรดังก้อง

ลำแสงระยิบระยับแพรวพราวสว่างไสวตรงสุดขอบฟ้า

กู่ฉิงซานกลายเป็นวิหคขณะทะยานไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี

เมื่อใดที่ผ่านการต่อสู้อันตึงเครียด ดาบบินจะปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

สะเทือนฝัน!

นี่คือพลังอสนีบาตและเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ด้วยการควบคุมเวลาห้าวินาที ไม่ว่านักพรตจะโง่แค่ไหนก็มีหนทางพลิกกลับมาเสมอ

ความจริง วิถีปรมาจารย์เสียงสามารถยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้เช่นกัน แต่วิธีการใช้เสียงนั้นช่างคลุมเครือและยุ่งยาก โดยทั่วไปแล้วนักพรตผู้คุ้นเคยกับการฝึกฝนธาตุทั้งห้าก็ไม่สามารถปรับตัวได้

วิถีเสียงวายุ อสนีบาต แสงและความมืดคือหนึ่งในองค์ประกอบพิเศษของธาตุทั้งห้า เป็นพลังจิตเพียงชุดเดียวที่ปรากฏในโลกโบราณ

วิถีอสนีบาตของกู่ฉิงซานเป็นกรณีพิเศษ

เขาบินข้ามท้องนภา ดิ่งลงสู่ส่วนลึกของแนวหน้า กลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้งก่อนลงสู่สมรภูมิ

ตอนนี้เขามาอยู่แนวหน้าแล้ว

หากไม่นับกองกำลังเทพและมนุษย์ที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาลอันทรงพลังแล้ว นี่เป็นแนวต้านสัตว์ประหลาดบรรพกาลจุดแรก

การต่อสู้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

สัตว์ประหลาดบรรพกาลทั้งหมดกดดันเข้ามา

เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังถอยอย่างมั่นคง

นี่ไม่เหมือนกับกองกำลังเนตรปีศาจในตอนแรก

นี่คือการรุกรานอย่างเต็มกำลังของสัตว์ประหลาด!

กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนเข้าร่วมการต่อสู้ทันที

เสียงของฉานนู่ดังขึ้น

“นายท่าน พวกเราต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่เทพถูกฆ่าไม่ใช่หรือ”

“ไม่” กู่ฉิงซานกล่าว “ชะตากรรมของเทพถูกกำหนดแล้ว พวกเราช่วงชิงไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ในกรณีที่มีใครตามติดมายังภาพซ้อนทับนี้แล้วพบว่าการกระทำของพวกเราไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ตัวตนจะถูกเปิดเผยทันที”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาทำอะไรที่นี่ล่ะ” ฉานนู่ถาม

“มาดูว่าเทพตายได้อย่างไร ข้าฆ่ามาแล้วหลายสิ่งแต่ไม่เคยฆ่าเทพสักครั้ง ข้าต้องสังเกตวิธีการของสัตว์ประหลาดบรรพกาล” กู่ฉิงซานกล่าว

ดาบบินลอยกลับมา

สัตว์ประหลาดบรรพกาลถูกสังหารโดยกลุ่มนักพรต

กู่ฉิงซานลงดาบสุดท้าย

ขณะมองข้อความที่แจ้งว่า “ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้ม” ที่หลงเหลือบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เราจะสู้ขณะที่รอนี่แหละ”

“ได้ นายท่าน” ฉานนู่ตอบ

ดาบสองเล่ม

กู่ฉิงซานควบคุมดาบสองเล่มเพียงลำพังก่อนเข้าไปในกลุ่มแปลกประหลาด

สัตว์ประหลาดทรงพลังอย่างงูสองปีกหกขาเข้าร่วมศึกของเทพและนักพรตมนุษย์แล้ว

ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่มีพละกำลังเทียบเท่าระดับทหารเพื่อใช้จัดการกับนักพรตมนุษย์ที่มีจำนวนมากที่สุดโดยเฉพาะ

การตอบสนองของกู่ฉิงซานไม่ยากจนเกินไป

ด้วยพละกำลังของเขา ทำให้สามารถรับมือการต่อสู้ภายในระยะหลายสิบไมล์ได้และยังสามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อสนับสนุนเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีกด้วย

ทว่าทั้งแนวหน้ามีความยาวหลายร้อยไมล์ พลังของเขาในสมรภูมิไม่ต่างกับหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ทั้งหมดได้

‘ตูม!’

เหนือขอบฟ้าไกลลิบ ลำแสงสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาก่อนระเบิดตรงจุดตัดของทั้งสองฝ่ายที่กำลังทำสงคราม ส่งผลให้สัตว์ประหลาดและนักพรตถูกสังหารเป็นจำนวนมาก

เดิมกู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้น ต้องขอบคุณการตอบสนองอันรวดเร็วของเขาที่ทำให้เปิดใช้วิชาเคลื่อนย้ายเพื่อสลับตำแหน่งกับสัตว์ประหลาดโดยตรงได้ทัน

ถึงแม้เขาจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อสงครามดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานกัดฟัน ยัดยาเม็ดวิญญาณเข้าปากก่อนเรียกใช้งานวิชาดาบอย่างเต็มกำลัง

ดาบสองเล่มลากประกายอสนีบาตสีน้ำเงินสองสาย เคลื่อนไหวไปมาในสมรภูมิ

“เจ้าเป็นใคร!”

นักพรตคนหนึ่งพลันพุ่งเข้าหา กู่ฉิงซานก่อนตะโกนถาม

“ข้าคือศิษย์ของสำนักเซียนธารจันทรา” กู่ฉิงซานตอบเสียงดังเช่นกัน

“โอ้ ก็ว่าเจ้าหน้าดูคุ้นนัก แต่ทำไมถึงไม่สวมเกราะล่ะ”

“เกราะของข้าหายไปน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“มา สวมของข้า นี่คือเกราะประจำตระกูลข้า ตั้งแต่สวมมาก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน”

นักพรตอดที่จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อเขาทุบหน้าอก เกราะทั้งชุดลอกออกจากตัวก่อนรวมตัวเป็นชุดเกราะเต็มรูปแบบที่สวยงามต่อหน้าทั้งสองอัตโนมัติ

กู่ฉิงซานตกตะลึง

เขามองนักพรตก่อนถามว่า “หากข้าสวมชุดนี้ แล้วเจ้าล่ะ”

นักพรตยื่นมือออกไปลูบเกราะ “ข้าไม่เป็นไร ข้าเป็นเพียงผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคี แค่ซ่อนอยู่ด้านหลังแล้วโจมตีก็พอแล้ว”

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานจะค้านต่อ นักพรตกล่าวว่า “เจ้าน่ะไม่ใช่ ตราบที่มีเกราะ เจ้าสามารถเพิ่มเวลาหายใจให้กับทุกคนได้มากขึ้นด้วยการพุ่งเข้าหาศัตรู เจ้ากล้าสวมเกราะของข้าเพื่อทำเช่นนั้นสักพักหรือไม่ล่ะ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ทำไมจะไม่กล้า!”

นักพรตยิ้มให้เขาก่อนเอามือออกจากเกราะ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปก่อนแนบกับเกราะโลหะหนักและเย็นเยือกเพื่อถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป

อักขระพลังวิญญาณจำนวนมากส่องแสงบนพื้นผิวของเกราะศึก

‘ตูม!’

เกราะศึกทั้งชุดหายไปทันที มันประกอบเข้ากับตัวเขาทีละชิ้นจนเกิดเป็นชุดเกราะที่สมบูรณ์

เสียงของฉานนู่กล่าวเตือนว่า “นายท่าน ไม่ต้องรีบร้อน จำไม่ได้หรือว่าพวกเราต้องรออยู่ที่นี่เพื่อดูว่าเทพตายได้อย่างไร”

“ข้ารู้ เกือบลืมไปเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาสวมหมวก ยื่นมือออกไปเรียกดาบสองเล่ม เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “ข้าคือผู้ใช้วิชาดาบ ทุกคนตามข้ามา”

เขาพุ่งเข้าหากลุ่มสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ใจกลางเส้นทาง ประกายดาบอสนีบาตแพรวพราวพรูพรั่งจนไม่อาจหยุดยั้ง ทำให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้

สัตว์ประหลาดบรรพกาลพลันเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยอสนีบาตจนไม่สามารถรุดหน้าไปต่อได้ ส่งผลให้ต้องถอยกลับอย่างระวัง

ขวัญกำลังใจของนักพรตมนุษย์เพิ่มขึ้นมาก่อนส่งเสียงตะโกน

“โอ้!”

“ลุยเลย!”

“ฆ่าพวกมัน!”

เผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มทะลวงตำแหน่งของสัตว์ประหลาดบรรพกาล

นี่คือการโต้กลับ!

ดาบสองเล่มของกู่ฉิงซานฟาดฟัน ดาบเล่มหนึ่งไวกว่าอีกเล่ม

ด้วยชุดเกราะที่ทนทานนี้ เขาแค่ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

นักพรตเผ่าพันธุ์มนุษย์ติดตามเขาราวคลื่นน้ำขณะโจมตีแนวหน้าของสัตว์ประหลาดอย่างบ้าคลั่ง

จำนวนสัตว์ประหลาดที่เสียชีวิตเริ่มเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น

ซากศพของสัตว์ประหลาดกองอยู่แทบเท้าของนักพรต

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง มีเสียงคำรามลุกลี้ลุกลนดังขึ้น

นักพรตธาตุทั้งห้าผู้ให้เขายืมเกราะตายแล้ว

ในบรรดาสัตว์ประหลาดโบราณ มีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งขว้างหนามยาวที่ดึงออกจากร่างกายได้อย่างแม่นยำ

นักพรตธาตุทั้งห้าไร้เกราะ จึงถูกหนามยาวทะลวงจนถึงแก่ความตาย

นี่คือสมรภูมิ นี่คือแนวหน้า สถานที่ที่ผู้คนตายสามารถตายได้ทุกที่ทุกเวลา

แต่ว่า

“พวกแก ตาย!” กู่ฉิงซานคำราม

‘ตูม!’

แสงอสนีบาตระเบิดขึ้นราวฟ้าผ่า ฉีกร่างของสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้เป็นจำนวนมาก

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามาระบายอารมณ์มากไปกว่านี้แล้ว เขาให้ต้องความสนใจเรื่องตัวเองก่อนเพื่อไม่ให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบเดียวกัน

เขาสงบสติตัวเองอีกครั้ง

ทว่า เสียงของนักพรตยังดังก้องในหูของเขา

“เจ้าน่ะไม่ใช่ ตราบที่มีเกราะ เจ้าสามารถเพิ่มเวลาหายใจให้กับทุกคนได้มากขึ้นด้วยการพุ่งเข้าหาศัตรู เจ้ากล้าสวมเกราะของข้าเพื่อทำเช่นนั้นสักพักหรือไม่ล่ะ” เขาถาม

“ทำไมจะไม่กล้า!”

บัดซบ!

ทำไมกัน

เห็นได้ชัดว่าข้าพยายามอย่างหนักแล้ว พยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาพลังของตัวเองแล้ว

ทำไมข้ายังไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้อีก

ดวงตาของกู่ฉิงซานแดงก่ำ

เขาเงียบไปสักพัก

นักพรตรอบข้างต่างคิดว่าเขาเหนื่อยล้าจึงรีบมารวมตัวเพื่อคอยคุ้มกันและขัดขวางฝ่ายตรงข้าม

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้วิชาดาบที่จะวิ่งเข้าใส่ ทันทีที่ทำ ทุกคนจะต้องตามติดเพื่อให้การสนับสนุนให้ทันท่วงที

เพราะผู้ใช้วิชาดาบไม่เคยทำให้พวกพ้องผิดหวังจนกว่าตัวจะตาย

“อะไรกัน”

บนสมรภูมิ เสียงร้องโหยหวนยาวอย่างเจ็บปวดของกู่ฉิงซานดังขึ้น

พลังวิญญาณทั่วร่างของเขาพลันสลายก่อนกวาดไปยังด้านหลังของสมรภูมิ

ดาบที่อยู่ข้างซากศพ ดาบที่แน่นิ่งในแอ่งโลหิต ดาบที่สูญหายในสมรภูมิ ดาบที่เสียบอยู่กับสัตว์ประหลาด

ดาบทุกเล่ม

หึ่ง

พวกมันทุกเล่มส่งเสียงหึ่ง

ดาบเล่มแรกเป็นอิสระจากมือของนักพรตที่ตายแล้ว มันบินรอบตัวนักพรตอย่างเงียบงันก่อนพลันทะยานขึ้นในอากาศ หลังจากทะลวงผ่านอาคมชั้นวายุ มันบินมาอยู่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สองกระเด็นลงไปในแอ่งโลหิต มันส่งเสียงกรีดร้องก่อนบินมาที่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สามพุ่งออกจากร่างของสัตว์ประหลาดก่อนบินมาอยู่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สี่…

ดาบยาวทุกเล่มที่ถูกเรียกโดยผู้ใช้วิชาดาบมาอยู่ที่ด้านหลังของกู่ฉิงซานก่อนกลายเป็นปีกดาบสองข้างที่ยังแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ

พวกมันปะทะกันอย่างแผ่วเบาขณะส่งแรงกระเพื่อมแล้วรอคอย

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉานนู่…ขอโทษด้วย ข้ามีหลายวิธีที่จะรู้ว่าเทพตายได้อย่างไร แต่ตอนนี้ข้ายังไปไม่ได้”

ฉานนู่กล่าวว่า “ไม่เป็นไร นายท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าจะให้การสนับสนุน ข้าเป็นดาบของท่าน”

กู่ฉิงซานพลันเงยศีรษะขึ้นขณะมองกลุ่มสัตว์ประหลาดที่อยู่หน้าภูเขาราวกับทะเล

“เอาล่ะ เลือกใช้ค่ายกลดาบวิญญาณอสนีบาตไท่อี่” เขาพึมพำอย่างแผ่วเบา

สายลมพัดแรงกล้า

ฟ้าร้องอย่างเกรี้ยวกราด

ค่ายกลดาบเริ่มทำงาน

……………………………………