เหลืออีกครึ่งวันก่อนเทพจะถูกสังหาร
ราตรีลาลับ
ตะวันสีแดงทรงกลมลอยขึ้นช้าๆ สะท้อนแสงเรืองรองหลายพันสาย
พวกนกสยายปีกทั่วท้องนภา ส่งเสียงจิ๊บๆ อย่างหดหู่
พวกมันคล้ายกับรู้ว่าสงครามกำลังจะมาเยือน ทำให้หลบหนีขึ้นสู่ท้องนภาอย่างจนใจ
จากนั้น เสียงแตรที่หนักและหดหู่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
‘วู วู’
เสียงแตรกระจายไปหลายพันไมล์เพื่อเรียกให้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ทั้งหมดที่ยังเหลือรอดไปรวมตัวกันที่แนวหน้าอีกครั้ง
ขณะยืนอยู่ในซากเกาะลอยฟ้า กู่ฉิงซานฟังเสียงแตรอย่างเงียบงัน
เขาเคยอ่านพิชัยสงครามนี้มาก่อนจนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เมื่อถึงรุ่งสาง เทพจะออกจากตำหนักก่อนมาถึงแนวหน้าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้
เสียงแตรมีความหมายว่าเทพจะรวมตัวกับกองทัพมนุษย์ที่พ่ายแพ้ไปแล้วหนหนึ่งเพื่อเตรียมรับการต่อสู้ขั้นแตกหัก
ราวสิบห้านาทีต่อมา สัตว์ประหลาดบรรพกาลวิ่งเข้ามายังจุดรวมพลของกองทัพมนุษย์จำนวนมาก
การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้น
นี่เป็นการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ที่เทพทุกองค์เข้าร่วม
หลังจบการต่อสู้ขั้นแตกหักในครั้งนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลจะถูกขับไล่ชั่วคราว เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จะรอด
นี่คือสงครามที่มนุษย์และเทพพยายามอย่างสุดความสามารถจนถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงวิธีรับมืออย่างเงียบงัน
ฉับพลันนั้นเอง ฝูงนกที่กำลังบินอยู่นั้นเคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า
พวกมันลงมายังลานที่พังทลายในซากปรักหักพังก่อนเริ่มพักผ่อน
ราวกับว่าเพิ่งประสบกับอาการแตกตื่นและวิตกนานเกินไป พวกมันจึงดื่มน้ำที่สระในลาน
หลังจากดื่มน้ำแล้ว พวกมันยังไม่ไปไหนราวกับพึงพอใจที่จะอยู่ที่นี่
ไม่มีเสียงดังกึกก้อง ไม่มีการโจมตีด้วยวิชา ไม่มีปราณและประกายดาบ พวกนกจึงคิดว่าที่นี่ปลอดภัยดี
พวกมันพักผ่อนอย่างสงบ
กู่ฉิงซานมองนกเหล่านั้นจากไกลๆ
นกเหล่านี้มีชื่อว่าขนวายุ
เพราะมีความเร็วในการบินสูงที่สุดจนทำให้นกตัวอื่นถูกทิ้งห่าง มันจึงได้รับชื่อนี้มา
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบเห็นนกเหล่านี้ในสวรรค์ เพราะพวกมันผอมเกินไปจึงแทบไม่มีเนื้อ ต่อมในร่างกายจะปลดปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาเมื่อพวกมันตาย ทำให้ไม่มีส่วนใดจากพวกมันที่กินได้
เหตุผลที่มีจำนวนไม่มากก็เพราะภาวะเจริญพันธุ์ของพวกมัน
กู่ฉิงซานกำลังคิดเรื่องนกเหล่านี้ แต่ทันใดนั้น เขาเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์แพรวพราวบนขอบฟ้าไกลออกไป
ลำแสงเทพ!
นี่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลเข้าถึงตำแหน่งต่างๆ ก่อนเริ่มต่อสู้กับเทพแล้ว
การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!
กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก คิดทบทวนไปมาก่อนเตรียมตัวที่จะออกไป
เขาพลันมาปรากฏตัวที่ด้านหลังขนวายุก่อนถอนขนจากก้นของมัน
นกตัวนั้นถึงกับผงะ
โชคยังดีที่ขนตรงก้นไม่ส่งผลต่อการบิน มันจึงแค่ส่งเสียงกรีดร้องก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อหลบหนีอย่างร้อนรน
นกตัวอื่นๆ ต่างหวาดกลัวก่อนพากันบินหนี
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ขนวายุอีกตัวบินขึ้นสู่ท้องนภา
มันไม่ไล่ตามขนวายุตัวอื่น
…
กู่ฉิงซานกลายร่างเป็นนกก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้น แต่เขาต้องไปถึงพื้นที่ที่ตึงที่สุดในแนวหน้าเพื่อหาสถานที่เหมาะเจาะก่อนรอดูฉากการตายของเทพขณะสู้กันอยู่
หลังจากบินมาหลายสิบอึดใจ กู่ฉิงซานพลันได้ยินเสียงร้องเวทนามาจากปฐพี
เขาปล่อยจิตเทพก่อนกวาดมองลงไป
สัตว์ประหลาดยักษ์ไร้หนังบนศีรษะจนเหลือแต่กล้ามเนื้อสีแดงเข้มวิ่งเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์
ลำแสงห้าธาตุระเบิดออกมา
ทอง! ไม้! น้ำ! ไฟ! ดิน!
ผู้ฝึกยุทธ์ถ่ายพลังทั้งหมดไปยังวิชาธาตุทั้งห้า
ทว่า…แม้วิชาจำนวนมากจะโดนสัตว์ประหลาด แต่ก็เพียงทำให้ร่างกายของมันสั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด
วิชาธาตุทั้งห้าระดับนี้ไม่สามารถทำอันตรายได้
สัตว์ประหลาดคว้าผู้ฝึกยุทธ์ห้าธาตุไว้ มันยกมือขึ้นหมายจะโยนอีกฝ่ายเข้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม
ในเวลาเดียวกันนั้น
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งออกมาจากฝูงชน ถือฆ้องด้วยมือทั้งสองข้างก่อนเคาะอย่างรุนแรง
เขาเคาะแล้วท่องบทสวดจำนวนมาก
สัตว์ประหลาดคลายมือออก ไม่สามารถจับผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง
มันสั่นสะท้านและครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องหลั่งเหงื่อขณะท่องบทสวดต่อไป
สัตว์ประหลาดสาวเท้าเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง
“จังหวะนี้แหละ!”
ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนตะโกน
ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าก่อนโจมตีใส่สัตว์ประหลาดด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
สัตว์ประหลาดพลันอ้าปากออกก่อนแผดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดใส่ผู้ฝึกยุทธ์จนทำเอาโลกสั่นสะเทือน เสียงคำรามนี้คล้ายกับเปี่ยมด้วยพลัง ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ใกล้ๆ สั่นสะท้านจนถึงแก่ความตาย
ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องตกตะลึงกับเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด เขากระอักโลหิตออกมา
เขาคุกเข่าลงกับพื้น มือสั่นเทา ไม่สามารถยกขึ้นมาได้ชั่วขณะ
เสียงฆ้องหยุดลง
เมื่อไม่มีวิถีเสียงมาขัดขวาง สัตว์ประหลาดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
มันกระพือปีกเบาๆ ก่อนมาถึงหน้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง
สัตว์ประหลาดกางมือขนาดใหญ่ก่อนคว้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องผู้มีใบหน้าสิ้นหวัง
ตอนนี้เอง กู่ฉิงซานมาถึงจุดหมายแล้ว
เขาผ่านบริเวณพรมแดนก่อนเหาะไปสู่สถานที่ที่การต่อสู้ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
แต่ในช่วงวิกฤตินี้ เขาพลันหายไปจากท้องนภา
วินาทีต่อมา เขากลายเป็นชายหนุ่มก่อนตกลงมาที่ด้านหลังของสัตว์ประหลาดอย่างเงียบงัน
กู่ฉิงซานชำเลืองมองสัตว์ประหลาด
เพียงพริบตา สัตว์ประหลาดหายไปจากจุดนั้นก่อนจะปรากฏตัวขึ้นใหม่ในทันที
‘ปัง!’
แขนข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาดถูกฟาดลงกับพื้น
สัตว์ประหลาดเงยศีรษะขึ้นก่อนแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์ประหลาด ทุกสิ่งรอบข้างไม่อาจเล็ดลอดการรับรู้ของมันไปได้ แต่มันกลับได้รับบาดเจ็บเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ตอนนั้นเอง ใครบางคนพลันปรากฏตัวขึ้น
คนคนนี้อยู่ด้านหลังซึ่งไม่ไกลกันนัก อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือทำอะไร
แต่กลายเป็นว่ามันเหยียบย่างเข้าสู่ความมืดเสียแล้ว
ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง แสงเย็นเยือกอันคมปลาบฟันเข้ามาอย่างจัง
เมื่อถูกฟันที่ปลายนิ้ว ทำให้มันกลับคืนสู่ความเป็นจริง
บัดซบ!
นี่มันบ้าอะไรกัน
สัตว์ประหลาดที่กำลังคลุ้มคลั่งหันไปมองกู่ฉิงซาน
วิชาดาบของกู่ฉิงซานขยับ!
ดาบเสียงคลื่นและดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพระเบิดพลังพร้อมกัน
อีกฝ่ายงัดดาบคู่ที่เผยประกายดาบอันคมปลาบออกมา ฟาดฟันเข้าใส่คอของกู่ฉิงซาน
เมื่อดาบกำลังจะฟาดถึงที่หมาย กู่ฉิงซานกลับหายตัวไป
กลายเป็นว่าสัตว์ประหลาดปรากฏตัวในจุดที่ดาบสองเล่มขนาบเข้าโจมตี
หนึ่งดาบสะเทือนฝัน! หนึ่งดาบกลืนกินการหวนคืน!
สัตว์ประหลาดยืนนิ่ง ไม่อาจป้องกันได้เป็นเวลาห้าวินาที
เงาดาบเพลิงทั้งสองบรรจบกันที่คอ ศีรษะถูกตัดอย่างเกลี้ยงเกลา
การต่อสู้จบลงแล้ว
“นักดาบนิรันดร์ระดับเบิกเนตรนิมิต!” ใครบางคนตะโกน
หากไปถึงระดับเบิกเนตรนิมิตได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งเป็นนักดาบนิรันดร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งได้
ทุกคนต่างแสดงความยินดี
กู่ฉิงซานหันไปมองทุกคน เห็นทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บ เห็นทั้งคนที่ตาย
ตอนนี้มีเสียงคำรามดังขึ้นไกลออกไป
ปฐพีเริ่มสั่นสะเทือน
สัตว์ประหลาดยักษ์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
กู่ฉิงซานกล่าวกับทุกคนทันทีว่า “ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง สภาพของพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะสู้อีกแล้ว ออกไปจากแนวหน้าเดี๋ยวนี้ ไปหาที่รักษาตัวแล้วเตรียมพร้อมให้ดีด้วย!”
“ขอรับ!”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ขานรับ
พวกเขาหาทางถอยกลับไปหาเผ่าพันธุ์มนุษย์พร้อมกับสหายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องเดินกะเผลกผ่านมาก่อนยกมือขึ้นประสาน “ขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือ”
“ไม่เป็นไร รีบไปเสีย ข้ายื้อไว้ได้ไม่นาน”
กู่ฉิงซานเร่ง
เขาได้กลิ่นเหม็นลอยมาตามลม
นั่นคือกลิ่นของซากศพในปากของสัตว์ประหลาดโบราณ
ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องมอบยันต์ให้กับมือของกู่ฉิงซานก่อนกล่าวว่า “เจ้ารับสิ่งนี้ไว้ ข้าเตรียมจะใช้เมื่อครู่ แต่หลังจากใช้งานแล้วก็คงถ่วงเวลาได้สักพักเท่านั้น จุดจบก็ยังเป็นความตายอยู่ดี แต่โชคดีที่มีเจ้าอยู่ที่นี่”
กู่ฉิงซานมองยันต์ในมือ ทันใดนั้นมีข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ไอเท็ม: ยันต์เสียงและชีพ”
“ไอเท็มพิเศษที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว”
“เมื่อใช้ไอเท็มนี้จะสร้างเสียงกระแทกขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันทีเพื่อทำลายวิญญาณของศัตรู”
กู่ฉิงซานเก็บยันต์ไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้านี่เป็นประโยชน์นัก ข้าขอรับไว้ ขอบคุณมาก”
ผู้ฝึกยุทธ์พยักหน้าให้กู่ฉิงซานเล็กน้อยก่อนหันหลังแล้วจากไป
เมื่อรอจนกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดอพยพออกไปหมดแล้ว
กู่ฉิงซานจึงถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน
“ฉานนู่ ข้าล้มเหลวมากเกินไปหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่ควรสนใจคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเราควรตรงไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า ผลที่ได้ ข้าจำใจต้องหยุดแวะ ข้าเสียเวลากับที่นี่มากเกินไปแล้ว” เขากล่าว
เดิมเขาตั้งใจจะบุกไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า กลายเป็นตัวตนไม่เด่นชัด คอยซุ่มซ่อนเพื่อรอช่วงเวลาที่เทพล้มลงอย่างเงียบงัน
คาดไม่ถึง ครึ่งทางผ่านไป เขาอดที่จะช่วยกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้
เสียงอ่อนโยนของฉานนู่ที่มาจากดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพกล่าวว่า “ท่านไม่ได้ล้มเหลวหรอก เพราะท่านทำเช่นนี้ถึงทำให้ยังเป็นตัวท่านอย่างไรกันล่ะ”
กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดเกินไปแล้ว”
ขณะพูด มือของเขายังขยับไม่หยุด
ร่างของสัตว์ประหลาดถูกเขาเก็บไปอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลตัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นกัน
สัตว์ประหลาดค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับงูสองปีกหกขาที่กู่ฉิงซานเจอมาก่อนหน้านี้แล้วยังถือว่าห่างชั้นกันมากนัก
สัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นนี้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน หากจุดอ่อนถูกเผยออกมา เมื่อนั้นก็คือช่วงเวลาที่จุดจบมาเยือน
ถึงแม้เนตรสัจจะฟาดฟันวิญญาณจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สามารถดึงศัตรูเข้าสู่โลกชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนถูกฟาดฟันด้วยดาบวิญญาณที่หลอมรวมขึ้นจากวิญญาณเข้าใส่ได้
ปัจจุบัน โลกนี้ที่สร้างจากความว่างเปล่าคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดาบวิญญาณจึงสามารถฟันได้เพียงหนึ่งครั้ง
แต่เมื่อใช้การลอบโจมตีควบคู่กับวิถีอสนีบาตมายาอันทรงพลัง กู่ฉิงซานจึงสามารถหาจุดอ่อนของศัตรูได้เป็นจำนวนมาก
ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ กู่ฉิงซานมีทางเลือกในการต่อสู้มากมาย
เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดลอยมาตามสายลม
พวกมันกำลังใกล้เข้ามา
กู่ฉิงซานไม่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านอีกต่อไป เขาเริ่มย่อตัวลงกับพื้นดิน ออกจากตำแหน่งนี้ไปในทันทีก่อนไปปรากฏตัวอีกที่ซึ่งห่างออกไปหลายสิบไมล์
เขากลายเป็นขนวายุก่อนพุ่งขึ้นท้องนภาอีกครั้ง
แนวหน้าอยู่ไม่ไกลแล้ว!
…………………………………