สายลมยามค่ำพัดหวีดหวิว
จันทราลอยอยู่เหนือห้วงลึกอวกาศอันเดียวดาย แสงเย็นเยือกเปล่งประกายไม่มีสิ้นสุด สาดส่องสู่ปฐพีอันรกร้าง
วัยรุ่นคนหนึ่งเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางซากปรักหักพัง
ซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่ใช่เมืองที่ถูกทำลาย แต่มันคือเกาะลอยฟ้าที่ตกลงมาจากท้องนภาก่อนกระแทกกับพื้นดิน
ตอนนี้เกาะลอยฟ้าทั้งผืนไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ เว้นเพียงวัยรุ่นนามกู่ฉิงซานที่เพิ่งกลายร่าง
เขาสำรวจซากปรักหักพังมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่ายังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ
เขาจำเป็นต้องรู้ช่วงเวลา
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เวลาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด มันสามารถย้ำเตือนได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเคยเกิดขึ้นในช่วงเส้นเวลานี้
กู่ฉิงซานประสบกับการหลบหนีออกจากตำหนักสวรรค์ หลังจากฝึกปรือมาหลายปี ทั้งวิชาทำลายล้างสวรรค์และวิชาเศษเสี้ยวภาพซ้อนทับแห่งเวลา ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์มากมายขึ้นมาได้
สิ่งเหล่านั้นคือส่วนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์
แต่เขาค้นหามานานแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อมูลที่บ่งบอกว่านี่คือช่วงเวลาใดในยุคโบราณ
ผ่านไปสักพัก กู่ฉิงซานหยุดมือ
เขายืนอยู่ที่เดิม บรรยากาศชวนให้ไม่กล้าหายใจออกมา
จิตวิญญาณกำลังเตือนเขาอย่างหมดหวังว่าความตายได้โอบล้อมเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวเตือน
กู่ฉิงซานไม่ขยับ
เขาไม่รู้ว่าการโจมตีจะมาจากทิศทางใด
แต่นี่ไม่อาจหยุดเขาจากการทำสิ่งหนึ่งได้
จิตเทพของเขาปกคลุมไปหลายร้อยฟุต บรรจบกันตรงกำแพงที่พังทลายทันที
ทันใดนั้น กู่ฉิงซานหายไปจากที่นั่น
กำแพงเข้ามาแทนที่ก่อนปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่
เคลื่อนย้าย!
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องต่ำดังขึ้น
กำแพงถูกภาพติดตากระแทกเข้าใส่กลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่ว
กู่ฉิงซานปรากฏตัวด้านนอกห่างออกไปหลายร้อยเมตร เขามองผู้โจมตีร่างใหญ่ด้วยจิตเทพ
ปีกบางยาวโปร่งแสงสองข้าง ร่างยาวหกฟุตราวกับงู
เมื่อมองส่วนศีรษะจะเห็นรูม่านตาแนวตั้งคู่หนึ่งเปิดอยู่ดูเหมือนมังกร ปีกและขนาดหกฟุตของมันคือสิ่งที่ไม่น่าเอามารวมกันได้
แม้สัตว์ประหลาดตัวนี้มีปีกติดอยู่ที่แผ่นหลังแต่ก็ไม่สามารถขยับได้
ด้านหลังของหัวกะโหลกถูกฟันด้วยบางสิ่ง เป็นการยากยิ่งที่จะห้อยติดอยู่กับคอได้
ในตอนนี้เอง แสงเย็นเยือกสองสายเคลื่อนเข้ามา
ดาบสองเล่มไขว้กัน ฟาดฟันใส่บาดแผลลึกที่คอของสัตว์ประหลาด
ศีรษะของสัตว์ประหลาดเชื่อมต่อกับชั้นผิวบางยังไม่หลุดออกมาอย่างสมบูรณ์
แต่ชีวิตของมันมาถึงจุดจบแล้ว
สัตว์ประหลาดดิ้นรนอยู่บนพื้นอีกหลายอึดใจก่อนจะแน่นิ่งไป
ดาบสองเล่มฟันหน้าหลังใส่สัตว์ประหลาดจนกระทั่งศีรษะถูกฟันจนขาดอย่างสมบูรณ์
ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ
เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขยับไปไหนไม่ได้พักใหญ่
โลหิตสีแดงใสยังไหลมาจากศีรษะจนชุ่มเสื้อผ้า
เขายังไม่ขยับจนกระทั่งดาบสองเล่มบินกลับมา
นานมากแล้วที่กู่ฉิงซานไม่ได้เผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้
ยากจะคาดเดา ไม่อาจเตรียมตัวทัน ไม่มีเวลาให้ตอบสนอง
นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างความเป็นกับความตาย
โชคยังดี สัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว
อีกอย่าง เพราะพวกมันเคยกำจัดหนึ่งในสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝนมาแล้ว เขาย่อมไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้แก่สัตว์ประหลาดบรรพกาลได้
เกรงว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลัวที่จะถูกพวกพ้องกิน มันจึงซ่อนตัวอยู่เงียบๆ จนกระทั่งกู่ฉิงซานเข้าใกล้
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาหยิบค่ายกลออกมาแล้วติดตั้งค่ายกลแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วขณะตรวจสอบบาดแผลตัวเองด้วยจิตเทพอย่างละเอียด
พลังวิญญาณรวมตัวที่จุดนั้นก่อนจะทำการปิดปากแผลชั่วคราว
เขาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรหากหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับอีกฝ่าย
โลหิตคล้ายกับไหลออกมาจากรูขุมขน
ดูท่าจะไม่ใช่การโจมตีถึงตาย
หรือว่าเป็นเพราะเสียงกรีดร้องตอนนั้น
ตอนที่สัตว์ประหลาดกรีดร้อง เขาตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ทำให้ซัดดาบสองเล่มออกไปไม่ทันเวลา
เมื่อนึกย้อนอย่างถ้วนถี่ ตอนนั้นเอง ความว่างเปล่าเหนือศีรษะคล้ายกับเคลื่อนไหว…
เหงื่อเย็นก่อตัวขึ้นที่แผ่นหลังของกู่ฉิงซาน
เขาวิเคราะห์การโจมตีของสัตว์ประหลาดอย่างละเอียด
เพียงพริบตา การโจมตีของสัตว์ประหลาดถูกซัดออกมาสามรูปแบบ
หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน
สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเริ่มจากจุดไหน แต่ก็เกือบคร่าชีวิตของกู่ฉิงซานได้
สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้กำแพงทั้งแผ่นกลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่วอยู่เบื้องล่าง
ชั่วพริบตา การโจมตีทั้งสามเปิดฉากเข้าใส่พร้อมกัน
โชคดีที่เขาใช้วิชาเคลื่อนย้าย จึงเลี่ยงการโจมตีของศัตรูมาได้
ทันทีที่ดาบพุ่งออกไป เขาย่อมไม่สามารถปิดฉากได้หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบาดเจ็บมาก่อนแล้ว
กู่ฉิงซานยืนขึ้นช้าๆ
ด้วยจิตของเขา ดาบบินสองเล่มโจมตีใส่ทั่วร่างสัตว์ประหลาดที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบไมล์ด้วยการฟาดฟันอันทรงพลัง
เมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
หลังจากนั้น กู่ฉิงซานพุ่งเข้าหาร่างของสัตว์ประหลาดก่อนตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
บาดแผลบนร่างของสัตว์ประหลาดน่าตกตะลึงนัก
ถึงแม้จะตายสนิทแล้ว แต่พลังวิญญาณของธาตุทั้งห้ายังหลงเหลืออยู่ รอยหนาม รอยฟัน รอยข่วน รอยกระแทกและรอยอาวุธชนิดอื่นๆ เด่นชัดเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการโจมตีมามาก
กู่ฉิงซานเก็บร่างของสัตว์ประหลาด อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ มีหลากหลายระดับที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ ทั้งระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับนักบุญ ระดับร่างเทวะ ระดับพันวิบัติ ระดับขีดสุดความว่างเปล่า ระดับวิญญาณลี้ลับ ระดับดาราโกลาหล ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ ระดับกระจ่างจิตเทวะและระดับเบิกเนตรมิติ
ตอนนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็มาถึงขั้นสูงสุด ความสำเร็จของเขาอยู่ในระดับเบิกเนตรมิติ
ระดับเบิกเนตรมิติ เพียงแค่สะบัดมือก็จะทลายความว่างเปล่าจนมองเห็นโลกได้
ตอนนี้เขาเหมือนกับเซี่ยเต้าหลิงที่จะทะลวงผ่านขีดจำกัดจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ด้วยการสัมผัสครั้งสุดท้ายนี้
แต่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย
ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกฝนทัดเทียมกันอาจจะถึงตายเมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
หากเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ถึงตอนนั้น…
กู่ฉิงซานส่ายหน้า
แม้กระทั่งการแจ้งเตือน “ได้รับพลังวิญญาณสามแสนแต้ม” ที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ไม่ทำให้เขารู้สึกดีใจแม้แต่น้อย
เขายังคงพัฒนาต่อไป!
เซี่ยกูหงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลเพียงลำพังเพื่อสังหารผู้นำโลกบรรพกาลได้ เขาเองก็ต้องทำได้!
กู่ฉิงซานลอบสาบาน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
อีกด้านของซากปรักหักพัง
กู่ฉิงซานยังไม่ได้เบาะแสเพิ่ม
เขาพบสถานที่ลับ มือล้วงหยิบยาเม็ดออกมาก่อนเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆ
นี่ไม่ใช่ยาเม็ดที่มีผลพิเศษ เป็นเพียงยาเม็ดปี้กู่ที่กู่ฉิงซานสร้างขึ้น
ยาเม็ดนี้มีสารอาหารมากมายที่จำเป็นต่อร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งยังทำให้สดชื่นอีกด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเหนื่อยล้ายิ่ง ไม่มีเวลาและอารมณ์จะมาทำอาหาร เขาจึงสร้างยาเม็ดแบบนี้ขึ้นมา
หลังจากกินยาเม็ดปี้กู่แล้วพักสักครู่ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หายเป็นปกติ
เขาเริ่มสรุปข้อมูลได้ที่มา
จากเครื่องแต่งกายที่สภาพดูไม่ได้ รวมถึงรูปแบบการตกแต่งของวัตถุเหล่านั้น ทำให้กู่ฉิงซานยืนยันจุดกำเนิดของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้
ตั้งแต่ยุคโบราณ มีเพียงสำนักทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะมีเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่แบบนั้นได้
ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก สำนักเซียนธารจันทรา หอหยกประกายมุก
ชุดของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกยังเป็นสีดำ สำนักเซียนธารจันทรายอมให้สวมเพียงชุดคลุมเต๋า ส่วนหอหยกประกายมุกมักแต่งชุดหลากสีสันเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิง
กู่ฉิงซานพบชุดเปื้อนโลหิต ทุกชุดเป็นชุดคลุมเต๋า
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกาะลอยฟ้าของสำนักเซียนธารจันทรา
แต่ในประวัติศาสตร์ สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกเกิดขึ้นเร็วมาก ในตอนนั้น เทพเพิ่งทำการติดต่อกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างสำนักนี้ที่ถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาลขึ้นมาใหม่
ครั้งที่สองเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่เขาเข้าสู่ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก
ในตอนนั้น สถานการณ์การต่อสู้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ยอดผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายในครั้งนั้น
เพราะสำนักเซียนธารจันทราตั้งอยู่ใกล้กับแนวหน้า ในศึกสำคัญ ทุกสำนักถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาล
“แล้วมัน…เมื่อไหร่ล่ะ”
กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง
เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหยิบค่ายกลออกมา ทำการจัดเรียงค่ายกลจนเสร็จสมบูรณ์
เขาเริ่มรออย่างอดทน
ถ้าเป็นครั้งแรก เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากจะมาถึงในไม่ช้า
ถ้าเป็นครั้งที่สอง…
กู่ฉิงซานนั่งขัดสมาธิในค่ายกล หลับตาลงเพื่อทำการฝึกฝนขณะรอ
หนึ่งวันค่อยๆ ผ่านไป
เขาเก็บค่ายกลก่อนจะยืนขึ้นแล้วถอนหายใจ
ไม่มีใครมาตรวจสอบสถานการณ์ ไม่มีเทพมารับผู้ฝึกยุทธ์เพื่อฟื้นคืนสำนัก
นี่แสดงให้เห็นว่าสงครามยังดำเนินต่อไปและไปถึงจุดที่ตึงเครียดยิ่ง
หากไม่นับครั้งแรก
นี่จะเป็นการทำลายล้างครั้งที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนสำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายจนสิ้นในครั้งที่สอง เทพไม่ได้มาเพื่อช่วยสำนักนี้
ตอนนั้นเองที่แนวหน้าถูกทำลายยับเยิน
ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังทั้งหมดต่างออกโรง แม้กระทั่งเทพก็ไม่เว้น
เซี่ยกูหงผู้เป็นจ้าวตำหนักกสวรรค์เมฆาวิเวกยังยุ่งอยู่กับการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ของสำนัก แม้กระทั่งศิษย์สองคนที่รับเข้ามาใหม่ก็ไม่มีเวลาสอนสั่งจนถึงขั้นต้องรีบพาออกไปแนวหน้ากับเจ้าสำนัก
ในตอนนั้น เซี่ยกูหงฝากฝังศิษย์ทั้งสองไว้กับกู่ฉิงซานและขอให้กู่ฉิงซานสอนสั่งสองศิษย์ผู้น้อง
เดี๋ยวนะ…ถ้าเป็นคราวนี้ละก็…
กู่ฉิงซานนึกถึงฉากในตอนนั้น
ในตอนนั้น หวงซานและเฉินหยางเพิ่งติดตามพวกเขากลับยอดเขาเมฆาวิเวกก่อนจะถามว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับแนวหน้าหรือเปล่า
ตอนนั้น หวงซานพูดว่าอะไรนะ
กู่ฉิงซานนึกถึงฉากนั้น
…
หวงซานลดเสียงต่ำลงก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าการต่อสู้โหดร้ายนัก เทพหายตัวไป ทำให้การพิพากษาเบื้องต้นจบตรงที่ถูกสัตว์ประหลาดบรรพกาลโอบล้อมเข้ามาฆ่า”
เฉินหยางกระซิบเสียงต่ำเช่นกัน “นี่เป็นครั้งแรกที่เทพล้มลงต่อหน้าทุกคน ดูท่าตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งหลายจะอยู่ในความตื่นตระหนกกันแล้ว”
…
กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ
สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลาย แนวหน้าพังพินาศในหนึ่งวันให้หลัง ครึ่งวันต่อมา เทพถูกสังหาร
จากนั้นเทพนำยอดผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแนวหน้าเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาล
ตอนนี้แทบจะเหมือนกับตอนที่แนวหน้าพังพินาศ
ยังเหลืออีกครึ่งวันก่อนที่เทพจะถูกสังหาร
นี่นับว่าแปลก เทพไม่ได้ทำข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรอกหรือ
ทำไมสัตว์ประหลาดบรรพกาลถึงต้องสังหารเทพด้วย
…นี่เป็นครั้งแรกที่เทพถึงแก่ความตาย
แล้วพวกเขาถูกสังหารได้อย่างไร คำถามนี้นับว่าสำคัญยิ่ง
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก จากนั้นยืนขึ้นช้าๆ ขณะมองไปทางแนวหน้า
……………………………….