บทที่ 1027 เกมสุดท้าย

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แทบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่สบตากัน เงาร่างของเด็กผู้หญิงหายวับไป วินาทีถัดมา เสาต้นนั้นระเบิดตูมจนฝุ่นกระจายเป็นวงกว้าง ท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้งกลางอากาศ ทันใดนั้น มือเล็กๆ ข้างหนึ่งพลันยืนออกมา และพุ่งตรงไปยังลำคอของเย่เลี่ยนดัง “สวบ”

เด็กผู้หญิงรวดเร็วมาก ในขณะที่เย่เลี่ยนที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับเหมือนยังไม่ได้สติ แต่ในเสี้ยววินาทีที่มือข้างนั้นพุ่งเข้ามา เธอกลับเบี่ยงหัวออกด้านข้างเล็กน้อย ทำให้หลบมือข้างนั้นพ้นพอดี และในวินาทีต่อมาขณะที่เท้าข้างหนึ่งฟาดเข้ามาทางเธอ เย่เลี่ยนกระโดดถอยหลัง ยกปากกระบอกปืนและเหนี่ยวไกทันที

หลังรัวกระสุนออกไปสามนัดติดกัน เย่เลี่ยนกระโดดออกไปไกลสิบกว่าเมตร และยืนหอบหายใจเบาๆ อยู่ตรงนั้น

หลังช่วงเวลาแห่งความเงียบอันน่าอึดอัดผ่านไปหนึ่งวินาที เสียงฝีเท้าอันชัดเจนดังออกมาจากกลุ่มฝุ่นที่กระจายอยู่กลางอากาศตรงนั้น…มันเป็นเสียงที่เกิดจากรองเท้าหนังกระทบพื้น เมื่อเสียงฝีเท้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างของเด็กผู้หญิงก็ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มฝุ่นคลุ้ง ตรงหน้าอกเธอมีรูแผลสองรู บวกกับรอยแผลเป็นทางยาวบนหน้าอีกหนึ่งรอย

แต่ในตอนที่เธอปรากกฎตัว รอยแผลเส้นนั้นก็เริ่มสมานตัวกันแล้ว ขณะเดียวกันผิวหนังบริเวณรูแผลสองรูบนหน้าอกก็เริ่มขยับ และค่อยๆ เบียดกระสุนอาบเลือดสองลูกออกมา

“เคร้ง…เคร้ง…”

เสียงกระสุนตกกระทบพื้นดังขึ้นสองครั้งติดกัน แต่เด็กสาวยังคงยิ้ม และมองเย่เลี่ยนด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “พี่สาว ไม่คิดเลยว่าพี่จะตอบสนองเร็วขนาดนี้…จะว่ายังไงดีล่ะ…ถ้าหากว่ากันตามระดับวิวัฒนาการ การตอบสนองของพี่ไม่น่าจะเร็วเท่าฉันนี่?”

เย่เลี่ยนไม่มองกระสุนสองลูกนั้นด้วยซ้ำ เธอยังคงยกปืนขึ้นเล็ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ดวงตาจดจ้องไปยังเด็กผู้หญิงเขม็ง จากนั้นก็เหลือบมองมือซ้ายของมัน

“พี่อยากได้อันนี้หรอ?” เด็กผู้หญิงยกสมุดในมือแกว่งไปมา พูดพลางหัวเราะ

เย่เลี่ยนมองหน้ามัน แต่ไม่พูดอะไร

“คิกคิก…ดูเหมือนว่าจะอยากได้นะ ซอมบี้นี่โกหกไม่เป็นเลยจริงๆ…” มันทำท่ากัดนิ้ว หัวเราะแล้วบอกว่า “แต่ว่าฉันก็ให้พี่ไปฟรีๆ ไม่ได้หรอกนะ ใช่ไหมล่ะ? เอาอย่างนี้…ถึงแม้ว่าเกมจะพังไปไม่น้อยแล้ว แต่ฉันยังอยากเล่นสนุกอยู่เลย ดังนั้น พี่เล่นเกมใหม่เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ถ้าหากว่าพี่ชนะ ฉันจะคืนสมุดนี่ให้พี่ แล้วก็จะปล่อยพี่ไปแป๊บหนึ่งด้วย…แต่ถ้าพี่แพ้…คิกคิก พี่รู้ดีว่าผลจะเป็นยังไง” เด็กผู้หญิงเอียงคอเล็กน้อย

ผ่านไปหลายวินาที เย่เลี่ยนจึงเพิ่งเปิดปากถาม “เกมอะไร?”

“มนุษย์ที่ชื่อหลิงม่อนั่น ตอนนี้เขากับพรรคพวกของเขากำลังตามหาพี่อยู่ในตึกหลังนี้…เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งรีบตกใจสิ สีหน้าพี่เปลี่ยนไปทันทีเลยนะเนี่ย…” เด็กผู้หญิงทำท่าตบหน้าผากเบาๆ เหมือนปวดหัว แล้วพูดต่อว่า “ถึงแม้ฉันไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง แต่เขาก็กำลังเข้าใกล้ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และดูจากปฏิกิริยาของเขา เหมือนว่าเขาจะรับรู้ได้ผ่านวิธีการบางอย่างว่าพี่ยังไม่ได้ตกอยู่ในกำมือฉัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่านับจากนี้ ฉันจะรีบจัดการพี่ให้เร็วที่สุด และสิ่งที่เขาจะทำ ก็คือแข่งเวลากับฉัน ดูว่าฉันกับเขาใครจะเร็วกว่ากัน”

“เอาเป็นว่าที่เรื่องราวกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เป็นเพราะเขาเป็นต้นเหตุทำให้มันเกิดขึ้น เขาไม่อยากทำตามแผนของฉัน และบังคับให้ฉันต้องเลือกวิธีรุนแรงอย่างนี้แทน…พูดง่ายๆ ก็คือ เขาคิดว่ามีเพียงต้องทำอย่างนี้เท่านั้น พี่ถึงจะมีโอกาสชนะได้ ใช่ไหมล่ะ?” เด็กผู้หญิงถาม “ซึ่งก็หมายความว่า เขาเชื่อใจพี่ว่าพี่จะอดทนจนกว่าเขาจะมาถึงได้”

เย่เลี่ยนระแวดระวังจนร่างกายตึงเกร็ง ขณะเดียวกันเธอส่ายหน้า เป็นเชิงบอกว่าตัวเองไม่รู้อะไรทั้งนั้น ทว่าพอได้ยินคำว่า “เชื่อใจ” เย่เลี่ยนก็กระชับปืนไรเฟิลแน่น และพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“คิกๆ พี่นี่แปลกจริงๆ ด้วย…ความจริงเรื่องนี้ฉันก็เพิ่งคิดออกเมื่อกี้นี่เอง…” เด็กผู้หญิงชูนิ้วชี้ขึ้น แล้วบอกว่า “แต่ว่ามนุษย์คนนั้นก็ยังเดาผิดไปเรื่องหนึ่ง คือฉันก็ไม่มีทางทำตามแผนการของเขาเหมือนกัน ดังนั้น ฉันมีแผนใหม่ล่ะ และมันก็เป็นเกมใหม่ด้วย…ฟังให้ดี…”

“เข้าใจแล้วใช่ไหม? ร่างแม่ตัวนั้น มันจะต้องปรับกลยุทธ์ใหม่กะทันหันแน่นอน” บนบันใด พวกหลิงม่อกำลังวิ่งขึ้นชั้นบนอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน หลิงม่อกำลังอธิบายความคิดของเขาให้ทุกคนฟัง

“ความจริงฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ…” มู่เฉินเกาหัว พูดขึ้น

“แต่ฉันเข้าใจแล้ว…” ซย่าน่าพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เพราะทุกครั้งที่พี่หลิงทำแผนการของมันล้มเหลว มันก็จะปรับเปลี่ยนแผนทันที ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันแน่นอน เพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่วางแผนใหม่ มันไม่ได้ส่งหนอนบ่อนไส้มาสอดแนมพวกเรา ดังนั้นสำหรับพวกเรา นี่ถือเป็นโอกาสพลิกเกมเลยก็ว่าได้”

“ถูกต้องแล้ว ฉันหมายความอย่างนี้แหละ” หลิงม่อพยักหน้า “นอกจากนี้ โอกาสของพวกเราไม่ได้มีแค่นี้…”

“ไม่ได้มมีแค่นี้? หมายความว่ายังไง? นายมีแผนลับอะไรอีกงั้นหรอ?” อวี่เหวินซวนรีบชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วถามอย่างสงสัย แต่น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะยื่นหน้าเข้ามา ก็ถูกหลิงม่อผลักไปอีกด้านซะก่อน “ไปคิดเองสิ!” เขาถูกกลอกตาขาวใส่จากรอบทิศ โดยหนึ่งในนั้นมีหลี่ย่าหลินรวมอยู่ด้วย…

“เกินไปแล้วนะ…” อวี่เหวินซวนบ่นกระปอดกระแปด

หลิงม่อเงยหน้ามองไปข้างหน้า สายตาแฝงแววเย็นชา…นอกจาก “เศษเสี้ยว” พวกนั้นที่เขาได้มา ในเกมเกมนี้ หลิงม่อยังค้นพบเบาะแสอีกมากมาย และเบาะแสเหล่านี้ ล้วนชี้ไปยังความจริงที่เกี่ยวกับร่างแม่ตัวนั้น รวมถึงช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดบนตัวมันด้วย…

นี่ต่างหาก คือโอกาสที่จะทำให้พวกเขาพลิกเกมได้…ต่อไปสิ่งที่ต้องระวัง ก็คือพวกเขาจะรักษาโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่…

…………

เวลานี้ ในทางเดินที่เพิ่งเกิดการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อกี้ ขึ้น นอกจากศพสภาพน่ากลัวห้าศพ ก็เหลือเพียงความเงียบสงัด เลือดสดๆ ไหลรินออกมาอย่างเงียบงัน กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งและถูกลมพัดจนฟุ้งกระจายไปทั่วทุกอณูอากาศ…ทันใดนั้น พลันมีเสียงแผ่วเบาหนึ่งดังขึ้น

ทันใดนั้น ราชาหนูที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่รากเสาพลันขยับ…ร่างกายของมันค่อยๆ ถูกลากกับพื้นไปยังทางเลี้ยวช้าๆ จนเกิดเป็นเสียงเสียดสี…

จนกระทั่งตอนที่ขาทั้งสองข้างของมันหายลับเข้าไปในทางเลี้ยว ทันใดนั้น อุ้งมือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากข้างหลังผนัง สองวินาทีต่อมา ศีรษะขนาดใหญ่ชะโงกออกมาอย่างระมัดระวัง มองไปในทางเดิน ความจริงตั้งแต่ที่มันชะโงกหัวของมันออกมา มันก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว…

ดวงตาสีดำลึกล้ำเย็นเยียบดั่งฤดูหนาวจ้องไปข้างหน้าอย่างฉงนสงสัย ไม่นาน มันก็เดินออกมาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง…

“แบ๊…” เสี่ยวป๋ายมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็สะบัดก้นไปมาหนึ่งที ด้วยท่าทีที่ดูเหมือนต้วมเตี้ยม ขณะเดียวกัน เงาดำอีกเส้นก็คลานออกมาจากทางเลี้ยวช้าๆ…

“แบ๊…”

“อย่าเร่งสิ…ฉันไม่ได้คลานได้สบายๆ เหมือนแกนะ” เงาดำเส้นนั้นบ่น จากนั้นจู่ๆ ก็ร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมา “น่ารำคาญจริงๆ เหยียบโดนผมอีกแล้ว! ฉันโดนผมพวกนี้เกี่ยวไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วเนี่ย…แล้วทำไมร่างกายนี้ยังเอาแต่เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ไม่หยุดอีกล่ะ? หรือว่าตอนที่ฉันเอามันออกมามันยังกลายพันธุ์ไม่เสร็จงั้นหรอ?”

“แบ๊!”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ฉันไม่พูดแล้วก็ได้…”

“แบ๊!”

“…” หลังเงียบไปหนึ่งวินาที เงาดำเส้นนั้นก็อ้าปากพูดอีกครั้ง “คำถามสุดท้าย แกได้กลิ่นพวกเขาหรือยัง?”

ถ้าหากตอนนี้หลิงม่ออยู่ที่นี่ด้วย เขาจะจำได้ทันที ว่าเงาสองเส้นนี้คือเสี่ยวป๋าย และเฮยซือนั่นเอง…ทว่าเฮยซือในตอนนี้ กลับมีบางอย่างเปลี่ยนไปจากเฮยซือที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้อีกแล้ว…เธอนอนแบ็บกับพื้นอย่างอ่อนแรง และสะบัดก้นไปมามองไปยังอีกฝั่งของทางเดินอย่างระมัดระวัง…และผมของเธอ ก็บดบังร่างกายทุกส่วนจนมิด…

ทว่าหากมองแค่หน้า เธอก็ยังดูเหมือนคนปกติคนหนึ่ง…

หลิงม่อก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย จากนั้นก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ชั้นนี้แหละ…”

ที่นี่คือชั้นบนสุดของตึกหลังนี้ เพดานบนศีรษะที่ยังสร้างไม่เสร็จดี ทำให้มองเห็นท้องฟ้าได้ ความสูงของเพดานก็ดูเหมือนจะสูงกว่าชั้นอื่นๆ อยู่หน่อย แม้กระทั่งพื้นที่ก็เหมือนจะกว้างกว่าด้วย แต่เพราะมีทั้งจุดที่สว่างและมืดสลัว ดังนั้นเมื่อทุกคนมองไปยังผนังและเสาที่ยังไม่ได้ฉาบปูนขาว จึงอดรู้สึกกดดันขึ้นมาไม่ได้…

ทว่า อยู่ตรงไหนในชั้นนี้กันแน่ล่ะ? ในชั้นอาคารที่กว้างใหญ่อย่างนี้ อย่าว่าแต่คนสองคนเลย ถึงจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า ก็เกรงว่าจะซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดทีเดียว โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พลาดไม่ได้เด็ดขาด…

“มันจะคิดแผนใหม่แบบไหนขึ้นมากันนะ?” อวี่เหวินซวนพึมพำเสียงเบา

—————————-