ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 16 เรื่องนี้ต้องถามสวรรค์ (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนกลับถึงโรงเตี๊ยมท้องฟ้าก็มืดแล้ว หลิ่วอี้ฮวนก็ออกจาก ‘คอกหมู’ นั่นของเขาตามมาคำเชื้อเชิญแสน ‘จริงใจ’ ของอวี่ซือเฟิ่งอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เพิ่งเดินเข้าห้องมาก็ได้ยินที่เตียงมีเสียงด่าดังเต็มสองหู “เจ้าโจรหน้าเหม็น! เจ้าโจรควรตาย! กล้าขังมารดาเจ้าไว้รึ ข้าจะตะกุยเจ้าให้ตาย! กัดเจ้าให้ตาย!”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนลูบคางเดินวนรอบหนึ่ง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? พวกเจ้าถึงกับขังมารจิ้งจอกพันปีไว้ที่นี่ด้วย? หายากแท้!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งดึงร่างจิ้งจอกม่วงที่ถูกมัดเป็นก้อนขึ้นมาจากเตียง นางแผดเสียงร้องไห้ดังลั่นทันที พร้อมกันฟันกรอดกล่าวลอดไรฟัน “เจ้าโจรใจดำ! ข้า…ข้าเคยถูกรังแกอย่างนี้ตอนไหนกัน! รอให้หาถิงหนูพบก่อน…ล้วนเพื่อเขา! ข้าจะไปคิดบัญชีเขา!”

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบก็เห็นศีรษะสกปรกรุงรังชะโงกหน้าเข้ามา ผมเผ้าพันกันเป็นก้อน เห็นดวงตากะพริบส่องประกายดูเหมือนคิดอะไรชั่วร้ายอยู่เสียมาก เสียงร้องไห้เหมือนโดนรังแกของนางก็ขาดห้วงไปทันที หันไปจ้องมองเขาอย่างงุนงง

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยกมือขึ้นชี้ใบหูนาง แตะๆ ครู่หนึ่งก็ร้องตกใจว่า “เป็นๆ! สวรรค์! ถึงกับเป็นมารจิ้งจอกพันปีตัวจริง! พวกเจ้าจับได้อย่างไร”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคลายเชือกมัดปีศาจบนร่างจิ้งจอกม่วงออก เห็นนางขยับคิดเอาคืนก็ยกมือลูบหัวนางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าเหลวไหล ไม่ใช่ต้องการหาถิงหนูหรือ ข้าหาคนมาช่วยแล้ว”

 

 

วาจาอ่อนโยนทำเอาไฟโทสะจิ้งจอกม่วงมลายหายไปในทันที แม้ว่านางยังไม่ยอม แต่ราวกับการมีอวี่ซือเฟิ่งอยู่ข้างๆ ไฟโทสะนางก็ไม่อาจปะทุออกมา ได้แต่พยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย ซุกหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาเข้าที่แขนเสื้อเขา

 

 

“คนผู้นี้คือใคร หน้าตาราวโจรราคะ…จะช่วยอะไรได้?” จิ้งจอกม่วงมองท่าทางราวโจรชั่วของหลิ่วอี้ฮวนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับเขานัก

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยืดอกขึ้น แลดูองอาจผึ่งผาย น่าเสียดายที่สกปรกไปหน่อย “เซียนจิ้งจอกคนงามอย่าดูแคลนผู้อื่น จมูกเจ้าดมไม่ได้กลิ่น แต่ตาข้ามองเห็น”

 

 

เขาชี้ไปที่หน้าผากตนเองที่มองสีเดิมไม่ออก ท่าทางได้ใจยิ่ง

 

 

จิ้งจอกม่วงเหลือบมองอย่างไม่ใคร่อยากจะสนใจนัก พลันอึ้งไป จากนั้นหางกระตุกราวกับเห็นสิ่งมีค่า ตะปบคอเขาไว้ทันที ปากแหลมๆ ดมหน้าผากเขาไปมา ใช้น้ำเสียงที่เรียกว่าชื่นชมสุดขีดว่า “ดวงตาสวรรค์! ดวงตาสวรรค์!! เจ้าโจรราคะถึงกับมีของดีเช่นนี้!”

 

 

ทุกคนก่อนหน้าได้ยินเพียงว่าเปิดดวงตาสวรรค์ แต่เหมือนว่าไม่เคยเห็นเขาลงมืออันใด ยามนี้ได้เห็นจิ้งจอกม่วงตื่นเต้นยินดีเช่นนี้ ก็อดมองไปยังหน้าผากเขาไม่ได้ เห็นเพียงหน้าผากที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกมีแผลเป็นเล็กๆ นูนออกมารอยหนึ่ง ใช้เส้นไหมสีแดงเข้มเย็บปิดไว้ หนึ่งเพราะใบหน้าเขาสกปรก สองเพราะผมเขายาวมาก ก่อนหน้านี้ทุกคนถึงกับไม่ทันเห็น

 

 

หลิ่วอี้ฮวนลูบหน้าผากพลางยิ้มเสแสร้งเหมือนเดิม “ของเล่นนี้ไม่อาจแตะต้องกันตามอำเภอใจ หากเปิดหมดจริง ก็คงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภูตผีปีศาจร่ำไห้”

 

 

จิ้งจอกม่วงมองเขาตาปริบๆ พลันอ้าปากงับเสื้อเขาไว้ เอ่ยน้ำเสียงน่าสงสารออดอ้อนออเซาะว่า “นายท่าน ข้าน้อยมีตาไร้แวว เมื่อครู่ล่วงเกินนายท่านแล้ว ขออย่าได้ถือสา! ท่าน…ท่านช่วยข้าดูคนผู้หนึ่งได้ไหม”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก กอดอกท่าทางโอ้อวด ออกท่าทางเย่อหยิ่งกล่าวว่า “โจรราคะอย่างข้าจะไปเห็นอันใดได้ เซียนจิ้งจอกโฉมงามเกรงใจไปแล้ว!”

 

 

จิ้งจอกม่วงน้ำตารื้น ท่าทางเหมือนถูกรังแกอย่างยิ่ง แม้กล่าวว่าวิสัยจิ้งจอกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่น้ำตาจะหลั่งก็หลั่งออกมาได้เช่นนี้นั้นนับว่าหาได้น้อยมาก นางเห็นหลิ่วอี้ฮวนไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย จึงกัดฟันกระโดดลงพื้น ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้ามีแสงสว่างวาบ สาวงามชุดม่วงแห่งเขาเกาซื่อซานก่อนหน้านี้นางนั้นค่อยๆ ยืนอยู่กลางห้อง ในอ้อมอกนางมีร่างเดิมจิ้งจอกอยู่

 

 

“นายท่าน ขอร้องท่านหน่อยน้า~~~” นางเริ่มยั่วยวน คว้าเสื้อแสนสกปรกเขาไว้พลางเขย่าไปมา

 

 

สายตาหลิ่วอี้ฮวนมองจ้องพลางพึมพำกล่าวว่า “ก่อนหน้าก็แค่กล่าวไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าเป็นสาวงามจริงด้วย…”

 

 

ทุกคนเห็นสีหน้าลุ่มหลงของเขา อดไร้วาจาจะกล่าวไม่ได้

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอในลำคอ วางท่าทางเป็นการเป็นงาน มองจิ้งจอกม่วงบนลงล่าง ก็ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวเปิดดวงตาสวรรค์อะไรสักที สุดท้ายลูบคางพลางยิ้มมีเลศนัย “มองไม่ออก เจ้าก็งมงายในรัก”

 

 

จิ้งจอกม่วงหน้าแดงก่ำร้อนใจกล่าวว่า “นั่น…แล้วอย่างไร? เขาอยู่ที่ใด? มีหวังช่วยออกมาได้ไหม?”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้า “พูดยาก นั่นก็แค่ละเมิดกฎสวรรค์ ส่วนว่าออกมาได้หรือไม่ เจ้าอย่าได้ถามข้า ย่อมมีคนที่คู่ควรจะถาม”

 

 

“ข้า…ข้าควรถามใคร”

 

 

เขายักไหล่ทีหนึ่ง “ควรถามผู้ใดก็ถามผู้นั้นสิ! อย่างไรอย่าถามข้า เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวและ…”

 

 

สายตาเขาเหมือนมีแววสงสารอยู่สายหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าไยต้องเป็นเช่นนี้ ในใจเขาเห็นชัดว่า…”

 

 

“อย่าได้กล่าว” จิ้งจอกม่วงขัดเขาขึ้นเบาๆ ยิ้มเล็กน้อย “ข้ายินยอมพร้อมใจเอง”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหุบปาก ทำมือทำไม้ออกท่าทางแบบเสียไม่ได้ หันไปนั่งเก้าอี้อีกตัว ส่งเสียงดัง “ยกอาหารมาๆ! จะให้ข้าทำงานให้อย่างเดียว ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้สักนิด จะทำให้ข้าหิวตายให้ได้หรือ”

 

 

 

 

****

 

 

 

 

เรื่องหลิ่วอี้ฮวนเปิดดวงตาสวรรค์ ทำให้ทุกคนคิดหนัก วาจาที่เขาว่ามาเหมือนจริงเหมือนเท็จ ทำให้ทั้งหวาดกลัวและสงสัย แม้แต่เสวียนจีเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนกินข้าวยังขมวดคิ้วคิดหนัก

 

 

แต่เจ้าตัวเองกลับดูสบายๆ ไม่สนใจอันใด ตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆ กินจนอิ่มแปล้แทบตาย

 

 

หลังอาหาร เขาอาบน้ำแล้วก็นอนงีบหนึ่ง จนกระทั่งยามจื่อจึงได้ตื่นขึ้นมา ทุกคนมารออยู่นอกห้องกันนานแล้ว พอเห็นเขาผลักประตูออกมาก็อึ้งตะลึงงัน ที่แท้หลิ่วอี้ฮวนเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านหวีผมให้เรียบร้อยแล้วก็ไม่เลว ดังคำกล่าวว่าคนเราล้วนต้องอาศัยเครื่องทรงทองคำ ตอนนี้เขาดูแล้วมีสติเบิกบานเต็มที่ เปล่งประกายกลิ่นอายแห่งบุรุษผู้กล้าขึ้นบ้างแล้ว

 

 

เขาเห็นทุกคนไม่กล่าวอันใด จ้องมองตนเองตาปริบๆ ก็แสยะยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรเล่า ข้าเองก็หนุ่มรูปงามกระมัง?”

 

 

จงหมิ่นเหยียนค้อนขวับอย่างแรง จิ้งจอกม่วงนอนพาดอยู่บนบ่าท่าทางเหมือนคนป่วยส่งเสียงงึมงำ “อวดอ้างอะไรเนี่ย…อย่างเจ้าเช่นนี้สวมชุดมังกรก็ยังคงเป็นโจรราคะ…”

 

 

“อะไรนะ?”

 

 

“ไม่มีอะไร…ข้าบอกว่า พวกเราจะไปกันเมื่อไร” ดวงตาจิ้งจอกม่วงส่องประกายวับวาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มกินปูนร้องท้อง

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวทันที “ตอนนี้ ทันที บัดเดี๋ยวนี้…พวกเราออกเดินทาง ไปชมจวนตระกูลโจวที่ร่ำรวยในเมืองชิ่งหยางกันสักครา”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคุ้นเคยกับเมืองชิ่งหยางมาก พอได้ยินว่าจวนตระกูลโจว คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “นั่นเป็นจวนขุนนาง ไม่ควรแตะต้องนัก นับประสาอันใดกับตระกูลขุนนางที่ย่อมมีสิ่งปกป้องคุ้มครอง ปีศาจยากอาละวาด”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “พวกเราไม่ขโมยของมีค่าตระกูลเขา และไม่ทำให้คนในนั้นตกใจ ก็แค่อาศัยยามค่ำคืนเข้าไปขโมยชมโฉมคุณหนูรองตระกูลเขาเท่านั้น ได้ยินว่าคุณหนูรองตระกูลโจวงดงามระบือไกล ไม่ไปชมโฉมใช่ว่าน่าเสียดายหรือ”

 

 

“นี่! เจ้าพูดเหลวไหลน้อยหน่อยได้ไหม!” ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ทนปากไร้หูรูดของเขาไม่ไหว ออกอาการยากระงับ กล่าวว่า “หากเจ้าต้องการทำเรื่องชั่วช้าก็ไปเองเลย! ข้าขี้เกียจไปด้วย!”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนไม่โมโหสักนิด ยังคงยิ้มร่า “คุณหนูรองนั่น อีกสองสามวันก็จะแต่งงานแล้ว ได้ยินว่าเขยแต่งเข้าด้วยนะ! สาวงามแห่งใต้หล้าพอแต่งแล้วก็ไม่อาจชมโฉมได้แล้ว ไม่อาศัยจังหวะก่อนแต่แอบลอบชม วันหน้าอย่ามานึกเสียใจภายหลัง”

 

 

“เจ้าจะหยุดไหมเนี่ย…” จงหมิ่นเหยียนโมโหแล้ว แทบจะลงไม้ลงมือแล้ว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกลับรู้สึกวาจาเขามีนัยนะ จึงดึงตัวจงหมิ่นเหยียนไว้ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “พี่หลิ่ว ความหมายพี่ก็คือ คุณหนูรองนั่นเป็นมารปีศาจ?”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนโบกมือ “อย่างไรเฟิ่งหวงน้อยก็ฉลาดที่สุด มิน่าเจ้าหนุ่มหน้าโง่ปากมากนั่นจึงได้ถูกหลอก สมน้ำหน้าจริง ข้าบอกพวกเจ้าเลยนะ คุณหนูรองไม่ธรรมดา คืนนี้ไปหา เราจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ยังไม่รู้ได้ ส่วนเงือกที่พวกเจ้าหา หากไปช้าอีกสองสามวัน ก็น่าจะแต่งงานเป็นเขยตระกูลนั่นไปแล้ว!”

 

 

ทุกคนตกใจมาก จิ้งจอกม่วงตกใจลนลานเกือบร่วงจากบ่าเสวียนจี ตะกายคว้าไว้อยู่นาน ตกใจส่งเสียงดังว่า “ถิงหนู เขาถูกผู้ใดบังคับแต่ง?! เขา…เป็นเงือก…แต่งงานได้อย่างไร…”

 

 

ใบหน้าหลิ่วอี้ฮวนยิ้มมีเลศนัยยิ่งขึ้น “แต่งงานก็แค่เปลือกนอก ข้าว่าเงือกนั่นไม่ธรรมดา น่าจะเป็นปีศาจบรรพกาล ปกติแค่มารปีศาจบำเพ็ญเพียรหลายพันปีก็เป็นของมีค่าที่หาราคาไม่ได้แล้ว อืม …สองปีศาจข้างกายเขาตอนนี้ร้อนใจยิ่งแล้ว ถูกปีศาจร้ายกาจพวกนั้นสะกดไว้…แต่ทว่าหากพวกเราจะไปจวนตระกูลโจว ยังต้องเตรียมของไปสักหน่อย”

 

 

กล่าวจบหันกลับไปเห็นจงหมิ่นเหยียนโมโหฮึดฮัดถลึงตาใส่ตน เขาหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “เจ้านั่นแหละ ไม่ต้องมอง รีบไปเตรียมเลือดสุนัขดำร้อนมาสองไห แล้วก็น้ำมันร้อนมาสองกระปุก เตรียมเสร็จเมื่อไร พวกเราก็ออกเดินทางเมื่อนั้น”