คำสั่งหลิ่วอี้ฮวนทำเอาจงหมิ่นเหยียนหน้าตาดำคล้ำบึ้งตึงยิ่งกว่าก้นหม้อดำทั้งคืน
สีหน้าเช่นนี้ของจงหมิ่นเหยียนเหมือนกำลังเตือนว่า รำคาญจะทนไม่ไหวแล้ว ยุ่งกับข้าน้อยๆ หน่อย! ดังนั้นทุกคนที่คุ้นเคยกับนิสัยเขาดีต่างก็ไม่มองเขา จะได้ไม่โดนเขาระบายอารมณ์ใส่
หลิ่วอี้ฮวนกลับไม่สนใจเขาว่าจะอย่างไร เดินไปเบื้องหน้าหัวเราะเริงร่า เอาเลือดสุนัขและของที่เตรียมไว้แล้วทั้งหมดโยนให้จงหมิ่นเหยียนถือคนเดียว ตนเองเร่งฝีเท้าไปอยู่ด้านหน้า “เร็วหน่อยๆ! หอยทากคลานยังเร็วกว่าพวกเจ้าอีก ไม่ได้กินข้าวหรือ”
เสวียนจีเห็นหน้าผากจงหมิ่นเหยียนเกร็งปูดแทบระเบิดแล้ว กำลังพยายามระงับอารมณ์สุดขีด อดเป็นห่วงไม่ได้ เดินเข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า “ศิ…ศิษย์พี่หก ข้าช่วยถือไหหนึ่ง…”
“ไม่…ต้อง!” จงหมิ่นเหยียนกัดฟันกล่าวลอดไรฟันออกมาสองคำ เห็นเสวียนจียังวนเวียนไปมาอยู่ข้างๆ อดโมโหไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้ายังวนหาอะไรอีก?! เดินไปสิ!”
เสวียนจีเดิมคิดเรียกพวกอวี่ซือเฟิ่งมาช่วยแต่ถูกเขาตวาดใส่ ได้แต่ตกใจอึ้งไปทันที จับเปียผมตนเองแกว่งไปมาพลางมองเขาอย่างลำบากใจ
เขานึกเสียใจอยู่สักหน่อยที่วู่วามไป สีหน้าจึงค่อยๆ ผ่อนลง ยกไหกระปุกกระเบื้องร้อนสี่ใบขึ้นอุ้มไว้ที่ในอ้อมแขน ยกมือจับผมกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า ไม่ต้องสนใจข้า รีบไปช่วยถิงหนูออกมาก็จะได้ไปเขาปู้โจวซานยิ่งเร็วขึ้น จากนั้นก็จะช่วยหลิงหลงได้เร็วขึ้น…”
เขาไม่ได้กล่าวต่อ เสวียนจีเห็นหว่างคิ้วเขาฉายแววเศร้าลึก ต่างจากปกติที่สายตาเขามักทอประกายลุกโชนยามเห็นมารปีศาจ ระยะนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เขาเองเปลี่ยนไปไม่น้อย แสงจันทร์ทอแสงหม่น ใบหน้าเขาถูกแสงเงาบดบังเหลือเพียงดวงตาส่องประกายลุกโชนคู่หนึ่ง แววตาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกราวนึกย้อนกลับไปยังเมื่อสี่ปีก่อนที่ยอดเขาเสี่ยวหยาง เขาลงไปจับปลาในทะเลสาบ วินาทีที่ผุดขึ้นจากน้ำนั้น หยดน้ำไหลลู่ลงตามโครงหน้างามของเขา สองตาส่องประกายราวดวงดาววิบวับมองมาที่ตน
ในใจนางพลันสะดุ้ง ราวกับมีมือน้อยตะปบจุดที่อ่อนแอที่สุดเข้า ผินหน้ากลับไปอย่างลนลาน
“จะต้องเรียบร้อย…หลิงหลงกับศิษย์พี่รอง ต้องช่วยกลับมาได้”
นางพึมพำกล่าว
จงหมิ่นเหยียนหัวเราะ มีแววเยาะเย้ยปนนิดหน่อย “พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกแล้ว เจ้าไปช่วย? ความสามารถเจ้าพอไหม”
“ข้า ข้าต้องช่วยพวกเขากลับมา! ไม่ใช่วาจาไม่อยู่กับร่องกับรอย! ข้าจริงจังนะ! แม้ว่า…ต้องแลกด้วยชีวิต…”
มือเขาพลันตบไปบนหน้าผากนางเบาๆ ฝ่ามือร้อนผ่าว วาจาติดขัดขาดห้วง
“เจ้าอย่าแลกชีวิต หลิงหลงนาง…ข้าไม่อาจปล่อย…น้องสาวนางเกิดเรื่องอีก ไม่ได้เด็ดขาด”
กล่าวจบอยู่ๆ เขาก็ยิ้ม ผลักหน้าผากนางออกเบาๆ เสวียนจีอึ้งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เห็นเขาแย้มยกมุมปากเผยรอยยิ้มเปิดเผย “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนะ สนใจแค่ตามหลังพวกเราก็พอ! ครั้งนี้ควรจะเชื่อฟังสักหน่อยนะ เรียกเจ้าหนีก็หนี อย่าเอาแต่ยึกยักมากเรื่อง เข้าใจไหม อย่างน้อย…เจ้าหนีออกไปได้ ก็ยังมีหวังกลับมาเอาคืนได้ หากถูกกลืนกินทั้งกองทัพ…ฮาๆ นั่นก็ช่างขายหน้าสำนักเส้าหยางเรามากไปแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนด้านหน้าเริ่มส่งเสียงตะโกนดังบนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน “พวกเจ้ากินข้าวกันไม่อิ่มหรือ รีบเดินหน่อยไม่ได้หรือ หากยังเดินกันไปเช่นนี้ ฟ้าสางก็ยังเดินไม่ถึง ถึงตอนนั้นก็ไร้หนทางช่วยเหลือแล้ว อย่าได้โทษข้า!”
จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ อุ้มไหกระปุกกระเบื้องทั้งสี่เร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า
เสวียนจีจ้องมองแผ่นหลังเขานิ่งอึ้ง รู้สึกเพียงว่าเหมือนไกลแต่ก็เหมือนใกล้ ไม่อาจคาดเดา นานมาแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ เขาเป็นคนยากเข้าใกล้เช่นนี้ ราวกับหงส์หล่วนงดงามที่บินได้ไกลมากตัวหนึ่ง แต่ไรมาไม่เคยหันหลังกลับมา
พลันถูกคนตบไหล่เบาๆ อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าลงพลางยิ้มบางๆ ให้นาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตามมา อย่าเหม่อ”
นางสบดวงตาดำลุ่มลึกของเขา ในใจรู้สึกเพียงว่ามีสิ่งใดร่วงหล่นลงไป ไม่รู้เหตุใดจึงนึกถึง ณ ป่าต้นซิ่งงดงามแดงเข้มชมพูอ่อนราวกับสายฝนพรำผืนนั้น ชายหนุ่มผู้นี้บอกว่าชอบนาง
นางลนลานผินใบหน้าไปอีกทางอีกครั้ง วุ่นวายใจยากระงับ ในลำคอเหมือนมีสิ่งใดโลดเต้นอยู่ หน้าอกเหมือนมีสิ่งใดมากมายอัดแน่น แผ่นหลังบัดเดี๋ยวหนาว บัดเดี๋ยวร้อน
“ในจวนตระกูลโจวนั่นมีสิ่งมีค่าที่เทพบรรพกาลทำหล่นไว้ในโลกมนุษย์ อยากดูไหม”
อวี่ซือเฟิ่งถามนางพร้อมรอยยิ้มบาง
เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง ลังเลพยักหน้า “เป็น เป็นสิ่งมีค่าอันใด”
อวี่ซือเฟิ่งแอบดึงมือนางเข้ามาใกล้กล่าวเบาๆ ว่า “ชู่…อย่าให้พวกเขาได้ยิน ไม่อย่างนั้นต้องแอบออกมาแน่ ของนั่นบอกกระจ่างไม่ได้ เห็นแล้วจะรู้เอง เหนือขึ้นไปสวรรค์เก้าชั้น ล่างลงไปนรกใต้ดิน ไม่มีอันใดไม่รู้”
เขาแสร้งเหมือนว่ามีเลศนัย ดังคาด ทำเอาความอยากรู้ของเสวียนจีเกิดขึ้นทันที สองตาจับจ้องราวกับแมวน้อย สองตาปริบๆ รอเขาเผยออกมามากอีกหน่อย
ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเพียงยิ้ม ลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “ถึงที่นั่นข้าค่อยชี้ให้เจ้าดู ตอนนี้ตั้งสติหน่อย รีบไปเร็ว”
เสวียนจีออกวิ่งตามเขา ผ่านไปเป็นนานจึงได้สติว่าเขาคิดเย้าแหย่ให้นางเบิกบานใจ เมื่อครู่สีหน้านางคงดูย่ำแย่มากแน่ๆ เขาจึงได้เบนความสนใจนาง
ซือเฟิ่งดีมากจริงๆ นางรู้
ยามคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็ถึงกับทำให้รู้สึกปวดใจ ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใด นางค่อยๆ ยื่นมืออกไปคิดคว้าแขนเสื้อเขาไว้ เขากลับวิ่งเร็วกว่านางก้าวหนึ่งเสมอ เขาไม่หันหลังมามอง แต่เอื้อมมือมาด้านหลังคว้ามือนางไว้แน่น หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “กลัว?”
ในใจนางเต้นรุนแรง ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าว ส่ายหน้าทันที
โชคดีที่คืนแสงมืดเช่นนี้ จึงได้บดบังทุกสิ่งที่ดูอึดอัดไว้ได้ โชคดีที่จิ้งจอกม่วงที่หมอบอยู่บนบ่านางแกล้งทำเป็นหลับ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ทำให้นางไม่ถึงกับดูย่ำแย่จนเกินไปนัก
ค่ำคืนดึกดื่นในเมืองชิ่งหยาง นอกจากร้านค้าริมทางเล็กๆ ในตรอกเตรียมเก็บร้าน ก็ไม่มีคนแม้สักคน เสียงลมพัดออกมาจากในตรอกเล็กอื้ออึง ม้วนหอบเอาหิมะมาเล็กน้อย ปลิวว่อนไปบนพื้น ออกจากเกาะฝูอวี้ที่สี่ฤดูราวใบไม้ผลิมา โลกภายนอกยังคงเป็นปลายหนาวต้นใบไม้ผลิ อากาศยังคงเยียบเย็นเสียดกระดูก
จิ้งจอกม่วงที่หมอบอยู่บนไหล่เสวียนจีมาตลอดอยู่ๆ ก็ขยับ หนวดยาวๆ บนปากแหลมๆ ขนสีม่วงกระเพื่อมตามแรงลม
“กลิ่นชิงเกิง!” อยู่ๆ นางก็ส่งเสียงร้องดังขึ้น กระโดดผลุบตัวขึ้นจากบ่าเสวียนจี ว่องไวราวสายฟ้าฟาด พริบตาก็มาถึงด้านหน้า
ทุกคนจึงรีบเปลี่ยนทิศ ตามจิ้งจอกม่วงวิ่งไปทางซ้าย พอเลี้ยวโค้ง กำแพงสูงสีน้ำตาลแดงเข้าแทนที่กำแพงเตี้ยสีขาวเมื่อครู่ ทุกคนล้วนรู้ หมายความว่าพวกเขามาถึงรอบนอกจวนตระกูลโจวแล้ว กำแพงสีน้ำตาลแดง มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่ใช้ได้
จิ้งจอกม่วงขึ้นไปอยู่บนมุมหนึ่งของกำแพงสูง ดมสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง ส่งเสียงร้องอย่างเร่งร้อนใจอะไรสักอย่าง เสวียนจีรู้สึกเพียงมีกลิ่นคาวหนึ่งลอยมา แยกไม่ออกจริงๆ ว่าแท้จริงเป็นกลิ่นอายปีศาจหรือว่ากลิ่นเหม็น ถึงกับกลบกลิ่นอายปีศาจจิ้งจอกม่วงไปได้
นางขมวดคิ้วอุดจมูก กลิ่นลอยออกมาจากจวนตระกูลโจว ดูท่าหลิ่วอี้ฮวนพูดไม่ผิด ในจวนตระกูลโจวมีปีศาจ! และกลิ่นยังแรงมาก เหม็นอย่างมาก
“เจ้านอกจากเสียงส่งเสียงหงิงๆ แล้วยังทำอย่างอื่นเป็นไหม?! พูดอะไรที่มีประโยชน์บ้างสิ! ถิงหนูอยู่ที่ไหน?!”
จิ้งจอกม่วงร้อนใจแทบตะกายกำแพง กระโดดไปมาไม่หยุด
ทุกคนวิ่งเข้าไป เห็นเพียงนกน้อยขนสีเขียวหางขาวถูกนางกันไปมุมหนึ่ง ขนาดเท่าราวนกสาลิกา น่าจะเพราะถูกจิ้งจอกม่วงตวาดใส่ มันจึงรีบร้อนจะหนี ส่งเสียงจิ๊บๆ ราวกับกำลังอธิบาย
“ข้าดูหน่อย” หลิ่วอี้ฮวนเดินเข้าไป คว้าชิงเกิงตัวนั้นไว้ในมือ เห็นที่เท้าหนีบแถบผ้าสีแดงสดผืนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนว่าเป็นผ้าชุดแต่งงาน
“นั่นเสื้อผ้าถิงหนู! ก่อนหน้าข้าได้กลิ่นน่าจะอันนี้แหละ ถิงหนูถูกปีศาจที่นี่ขังไว้ ตังคังปกป้องเขาไว้ ชิงเกิงบินออกมาตามคนไปช่วย”
จิ้งจอกม่วงโดดขึ้นบ่าเสวียนจี กดจมูกลงหลังคอนาง ร้องดังว่า “ที่นี่ไม่รู้มีปีศาจอะไรอาศัยอยู่ กลิ่นแรงเช่นนี้! ข้าใกล้จะเป็นลมแล้วเนี่ย! กลิ่นอะไรก็ไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนลูบชิงเกิงปล่อยมันบินขึ้นไป หันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “เมื่อครู่มันว่าที่นี่มีปีศาจงูร้ายกาจมากอาศัยอยู่ ใกล้กลายเป็นมังกรแล้ว กำลังลอกคราบอยู่ ดังนั้นกลิ่นจึงประหลาดมาก มันกับตังคังรับมือไม่ไหว ถิงหนูใกล้จะได้รับอันตรายแล้ว”
“ปีศาจงูกลายเป็นมังกร?!” จิ้งจอกม่วงตกใจสะดุ้ง “ข้ามีอายุมานานหลายพันปีเช่นนี้ แต่ไรมาไม่เคยเห็นงูกลายเป็นมังกร!”
นั่นร้ายกาจเพียงใดกัน! เด็กหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ที่มาด้วยกัน รวมนางกับหลิ่วอี้ฮวนที่มีดวงตาสวรรค์ เกรงแต่ว่ายังไม่พอให้คนเขาเอาไปแคะขี้ฟัน!
“เจ้ากลัวอะไร!” หลิ่วอี้ฮวนยิ้มมองไปทางเสวียนจี กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ตายหรอก เกรงแต่ว่าถึงตอนนั้นที่ตายก็คงเป็นปีศาจงูนั่น”
จิ้งจอกม่วงเข้าใจความหมายเขาในทันที แน่นอนเด็กหญิงนั่นมีวิถีมารบางอย่าง หากปล่อยอัคคีสมาธิจิตได้ แม้มันกลายเป็นมังกร หากยังบินไม่ได้ ก็มีวิธีจัดการมัน
“ห้องคุณหนูรองอยู่มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ พวกเราต้องแยกกันปฏิบัติการ จะได้ไม่ทำให้นางโมโห จับพวกเรากลืนในคำเดียว”
หลิ่วอี้ฮวนชี้มือไปทีละคน “เจ้า เจ้า เจ้าด้วย พวกเจ้าสามคนไปจากทางนี้ ข้ากับสาวงามยังมีเจ้าหนุ่มถือกระปุกไปทางนั้น ถึงตอนนั้นรอสัญญาณจากข้า”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน พริบตาเงาร่างก็โดดลงจากบนกำแพงไป