“จันทร์มืดลมแรง คิดขโมยหยกงาม…”
หลิ่วอี้ฮวนด้านหน้าส่งเสียงครวญบทเพลงประหลาด จวนตระกูลโจวกว้างใหญ่ เขาเหมือนเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน เดินส่ายอาดๆ เข้าไป แต่กลับไม่พบเจอคนแม้สักคน ดวงตาสวรรค์ก็มีความสามารถเช่นนี้ ทำให้จงหมิ่นเหยียนไม่คิดสยบก็คงไม่ได้
จิ้งจอกม่วงหมอบอยู่บนไหล่หลิ่วอี้ฮวน จมูกขยับอยู่ตลอด ร้องเสียงดังไม่หยุด “เหม็นจะตายแล้วๆ! ใกล้จะหายใจไม่ออกแล้วนะ!”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง “จิ้งจอกเอ๊ย ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะหอมไปถึงไหนกัน สุดท้ายก็ยังคงบำเพ็ญตนแปลงกายงดงามมาล่อหลอกดึงดูดผู้อื่น”
จิ้งจอกม่วงโมโหกล่าวว่า “ผายลม! มารดาเจ้าแม้แค่เส้นขนก็หอมกว่าปีศาจที่นี่!”
นางเห็นหลิ่วอี้ฮวนเดินอาดๆ เข้าจวนตระกูลโจว แต่เหมือนหาทางไม่เจอ จึงร้อนใจกล่าวว่า “ดวงตาสวรรค์เปิดแล้วหรือยัง? อย่ามัวเสียเวลา!” กล่าวจบก็ปีนขึ้นบ่าเขาใช้จมูกดุนหน้าผากเขาไปมา
“อย่าเหลวไหล” หลิ่วอี้ฮวนคว้านางออกมา ยิ้มกล่าวว่า “หากมันเปิดออกหมด จิ้งจอกเล็กๆ อย่างเจ้าก็อย่าได้คิดมีชีวิตอยู่ต่อเลย แค่นี้เพียงพอแล้ว”
เขาพลันหยุดลง ยื่นมือออกจากแขนเสื้อท่าทางสบายอารมณ์ ชี้ไปที่อาคารงดงามหลังหนึ่งตรงหน้า กล่าวว่า “นี่ เจ้าหนุ่ม ราดเลือดสุนัขดำไว้ที่หน้าประตูและใต้หน้าต่าง เร็วหน่อย”
จงหมิ่นเหยียนมีคำด่ามากมายอัดแน่นเต็มอก หน้าบึ้งตึงราดเลือดสุนัขไปตามคำสั่ง นั่นเป็นเลือดสุนัขดำที่เพิ่งจะฆ่ามา เข้มข้นราวกับหมึกดำ กลิ่นคาวกระทบจมูก ถูกหลิ่วอี้ฮวนว่าคาถาพิเศษใส่ พอราดลงไปบนพื้นก็ซึมลงไปทันที ราวกับมีชีวิตปีนหน้าต่างกำแพง ประทับรอยดำเป็นหย่อม ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง
“เสร็จแล้ว มานี่มา” หลิ่วอี้ฮวนเห็นเลือดสุนัขดำราดหมดแล้ว ก็กวักมือเรียกจงหมิ่นเหยียน ตามมานั่งยองลงด้วยกันไม่ขยับ
“เอ๋? แค่นี้?!” จงหมิ่นเหยียนคำรามใส่เขาด้วยเสียงแทบกระซิบ “ไม่บุกเข้าไปหรือ”
หลิ่วอี้ฮวนยองตัวลงนั่งกับพื้นกอดอก ปั้นหน้านิ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ผู้ใดบุกเข้าไป? เจ้า? หากอยากตายก็บุกเข้าไปสิ ไม่มีคนรั้งเจ้าไว้นี่”
จงหมิ่นเหยียนถูกเขาโต้กลับจนใบ้กิน โยนไหกระปุกลงพื้นอย่างแรง สะบัดหน้าเดินห่างออกไป
จิ้งจอกม่วงหมอบอยู่บนแขนเสื้อหลิ่วอี้ฮวน พยายามใช้ปากกัดเสื้อผ้าเขา ร้อนใจกล่าวว่า “พวกเราต้องรอถึงเมื่อไร ใช้แค่เลือดสุนัขดำก็พอแล้ว?”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนไม่พอ แต่ทว่า พวกเราก็ไม่อาจบุกเข้าไป ไม่อาจนั่งรออยู่ตรงนี้รอนางออกมาจับพวกเรากิน ได้แต่คิดหาวิธีก่อน ขังนางไว้ในห้องไม่ให้ออกมาก่อน ถึงตอนนั้นค่อยปรับไปตามสภาพการณ์!”
งูที่กำลังลอกคราบ ล้วนอ่อนไหวกับทุกสิ่งที่มีไออุ่น ยามนี้นางต้องรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดสุนัขดำด้านนอกนี้แล้ว ไม่แน่เริ่มขยับคิดลงมือแล้ว แต่ขยับไปก็ไร้ประโยชน์ เลือดสุนัขบวกมนตร์คาถา นางขยับไม่ได้แม้สักก้าว ได้แต่ถูกขังอยู่ในห้องแล้ว อันนี้เรียกว่าจับปูในไห
ทั้งสามคอยอยู่เป็นนาน ด้านในไม่เสียงแม้สักนิด ราวกับเลือดสุนัขดำนั่นสาดไปไม่ได้ผลแม้แต่น้อย จงหมิ่นเหยียนร้อนใจผุดลุกขึ้น คำรามเบาๆ ว่า “แท้จริงแล้วจะทำอะไรนี่? รอเสียเวลาอยู่นี่จนฟ้าสางหรือ?!”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง กำลังจะหยอกเขาเล่นสักสองประโยคให้เบิกบานใจสักหน่อย พลันได้กลิ่นคาวลอยมา เลือดสุนัขที่ราดตรงหน้าประตูและหน้าต่างอยู่ๆ มีแสงสีแดงราวสีเลือด จงหมิ่นเหยียนกับจิ้งจอกม่วงตกใจชะงักถอยไปก้าวหนึ่ง ระวังตัวเกร็งไปหมด
หลิ่วอี้ฮวนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นนิ่ง ถลกแขนเสื้อ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แสยะยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูรอง อย่าวู่วาม อย่าได้ลวกโดนร่างหยกงามของท่าน เกรงว่าจะไม่งาม”
ในห้องพลันมีเสียงเยียบเย็นดังขึ้น ราวกับน้ำพุสิบเก้าชั้นเยียบเย็นลึกถึงกระดูก “ทำลายงานข้า พวกเจ้าเป็นใคร ข้ายังไม่ออกฤทธิ์ พวกเจ้ารีบไสหัวไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าลงมือโหดเ**้ยม”
หลิ่วอี้ฮวนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ พลันเอนตัวยันศอกนอนลงกับพื้น ส่งเสียงฮึขึ้นจมูกกล่าวว่า “เจ้าออกมาไม่ได้ ข้าก็ไม่เข้าไป ผู้ใดก็อย่าได้ขู่ผู้ใด เจ้าและข้าอยู่เมืองชิ่งหยางนี้มาหลายปี ไม่ข้องเกี่ยวกันและกัน แต่ทว่าผู้ใดให้เจ้าจับใครไม่จับ ดันไปจับเงือกนั่นมาแต่งงาน เช่นนั้นก็อย่าได้หาว่าข้าลงมือก่อน เร็ว ปล่อยเงือกนั่นมา พวกเราก็จะต่างคนต่างอยู่ต่อไป ดีที่สุด”
เสียงเยียบเย็นกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเจ้าโจรราคะ เจ้ามีความสามารถอะไร ถึงกับกล้ามาต่อรองกับข้า สุดท้ายก็เป็นแค่คนอาศัยจังหวะลงมือยามคนอื่นกำลังคับขันเท่านั้น แค่เลือดสุนัขดำทำอะไรข้าได้ เกรงว่าดูแคลนข้าไปหน่อยแล้วกระมัง!”
กลิ่นคาวยิ่งหนักขึ้น โจมตีมาทั้งซ้ายขวาบนล่าง ทำเสื้อผ้าทุกคนถูกพัดสะบัด จงหมิ่นเหยียนชักกระบี่ออกมา พลันลังเลไม่รู้ควรฟันที่ใด เบื้องล่างยังคงเป็นหลิ่วอี้ฮวนที่แสยะยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “คนเขายังไม่ออกมาเลย เจ้าฟันอะไร แค่คาถากระจอกแค่นี้ทำเจ้าลนลานเสียแล้ว ศิษย์สำนักเส้าหยางแค่นี้เองหรือ”
จงหมิ่นเหยียนถูกเขาหยอกจนหน้าแดง ฮึดฮัดว่า “เกี่ยวไรกับเจ้า!”
หลิ่วอี้ฮวนส่งเสียงจิ๊ๆ ส่ายหน้า “ข้าก็ขี้เกียจสนใจเจ้าหนุ่มหน้าโง่อย่างเจ้า” เขามองลมปีศาจนั่นไม่ถอยกลับหากยังแรงกล้าขึ้นอีก จึงตะโกนกลั้วหัวเราะดังไปว่า “คุณหนูรองเก็บแรงไว้ดีกว่า นอกจากข้าปลดคาถา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว สาวงามควรอ่อนโยนนุ่มนวลหน่อยถึงจะน่ารัก รีบปล่อยเงือกมา สองเราไม่ติดค้างกัน”
ดังคาด ลมปีศาจนั่นค่อยๆ ถอยกลับไป ในห้องเงียบอยู่เป็นนาน พลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเดิมก็คิดสร้างกรรมดี ไม่คิดสังหารสรรพชีวิต ในเมื่อพวกเจ้าไม่เสียดายชีวิตมาทำลายงานข้า ละเมิดข้อห้ามสักคราก็คงไม่เป็นไร!”
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าพลันกระตุก กระโดดขึ้นจากพื้น หันไปคว้าจงหมิ่นเหยียนที่กำลังอึ้ง กระชากสุดแรง เห็นพียงที่พื้นนั่นตรงที่เขาเคยพลันถูกไฟแผดเผา เป็นลูกไฟสีเขียวสูงราวความสูงคน มีกระแสเย็นเยียบกระจายตัวแน่น ทำเอาขนลุกชัน
ทั้งสามมองไปยังพื้นหญ้าเขียวที่ถูกเผากลายเป็นสีดำเถ้าถ่าน สุดท้ายค่อยๆ กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระจายทั่วพื้น อดพากันแตกตื่นตกใจไม่ได้
ในห้องมีเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมา ตามมาด้วยประตูหน้าตาเปิดออกพร้อมกันทันที ข้างในมืดมิดราวกับควันดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว จงหมิ่นเหยียนร่างเกร็งแน่น รอเพียงปีศาจออกมา เขาก็จะฟันด้วยกระบี่ ผู้ใดจะรู้ว่าหน้าประตูมีเงาคนโงนเงนไปมา เป็นหญิงในเสื้อผ้าเลอค่า ชุดยาวแขนเสื้อคลุมแขน ผมยาวระพื้น ท่วงท่าอ่อนละมุน ยืนมองพวกเขาเงียบๆ
“นางคือ…?” จงหมิ่นเหยียนผงะถอยก้าวหนึ่ง กระซิบถามหลิ่วอี้ฮวนว่าสตรีอ่อนแออรชรเช่นนี้ มองแล้วก็รู้ว่าเป็นบุตรสาวขุนนางตามแบบฉบับ เขาถึงกับไม่รู้ว่าคงลงมือเช่นไร
“บอกว่าเจ้าโง่ เจ้าก็โง่จริงด้วย เมื่อครู่ลมพัดมา ตอนนี้ตัวจริงมาแล้ว เจ้ากลับอึ้ง! นางไม่ใช่ปีศาจแล้วคืออะไรเล่า?!”
หลิ่วอี้ฮวนรีบสาดเลือดสุนัขดำออกไปพร้อมว่าคาถา ขี้เกียจอธิบายให้เขาฟัง
จงหมิ่นเหยียนพลันไร้วาจา แต่จะให้เขาวิ่งเขาไปฟันสังหารบุตรสาวขุนนางอ่อนแอ ก็ยากจะลงมือเสียจริง
สตรีผู้นั้นเดินตรงมาข้างประตู ราวกับถูกอันใดกั้นไว้ ไม่อาจก้าวเข้ามาอีกแม้เพียงก้าว นางยกมือปิดบังปากแดงราวลูกเชอรี่ของตนไว้ หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ของเด็กเล่นพวกนี้ก็กล้ามาหาเรื่องข้า”
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน กล่าวเฉียบขาดว่า “น้ำมันล่ะ?! เร็ว!”
วาจาพริบตา สตรีนางนั้นก็ก้าวออกจากรอบประตูแล้ว เลือดสุนัขที่ส่องประกายสีแดงหน้าประตูและใต้หน้าต่างพริบตาก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่พื้นแล้วมลายหายไปสิ้น กระโปรงยาวของนางวาดผ่านบันไดขั้นบน หมอกดำขนาดใหญ่ด้านหลังก็เริ่มรวมตัวขยายเต็มที่ ราวกับงูเหลือมมหึมาม้วนตัว
จงหมิ่นเหยียนยกกระปุกน้ำมันสาดออกไปทันที ไม่ทันระวังร่างกายถูกพลันอะไรบางอย่างรัดไว้ หน้าอกราวกับจะระเบิดออก เจ็บปวดจนกล่าวไม่ออก พลันหน้ามืด ใบหน้าขาวละมุนงดงามของสตรีผู้นั้นปรากฏยังเบื้องหน้า แววตาส่องประกายเผยรอยยิ้มบางมองเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “น่าสงสาร เป็นเด็กน้อยงดงามเสียด้วย”
ในใจเขาหวาดกลัวอย่างที่สุด หันกายคิดหนี หากทั้งร่างล้วนถูกสิ่งที่มองไม่เห็นรัดรึงไว้แน่น แม้แต่ขยับก็ยังไม่ได้ มองไปทางที่มาของเสียง เห็นสตรีนางนั้นเอื้อมมือมา มือซีดขาวราวคนตาย เล็บยาวถึงสามนิ้วกว่า แหลมกริบราวมีด ไอเย็นเสียดแทงถึงกระดูก เขาตกใจจนส่งเสียงร้องดัง ตอนนั้นได้แต่เขวี้ยงกระปุกน้ำมันสองกระปุกนั้นออกไปเต็มแรง
สตรีนางนั้นไม่สนใจเขาที่ยังคงมีแรงดิ้นรน พอถูกน้ำมันร้อนสองกระปุกสาดใบหน้า เจ็บปวดจนต้องแผดเสียงหวีดร้องดัง ร่างพลันกลายเป็นหมอกดำก้อนหนึ่ง บิดม้วนไปมาที่พื้นอย่างบ้าคลั่ง
จงหมิ่นเหยียนถูกปลดปล่อยล้มลงกับพื้น รู้สึกเพียงแค่มือและเท้าราวกับหมดแรง ถลกแขนเสื้อมองดู มีรอยเขียวช้ำไปทั้งแถบ คิดว่าตนคงถูกหางปีศาจงูรัดไว้
แผ่นหลังพลันถูกคนตะปบเต็มแรง หลิ่วอี้ฮวนด้านหลังยิ้มกล่าวว่า “ทำได้ไม่เลว! เจ้าหนุ่มหน้าโง่”
เขาเองยังหวาดกลัวอยู่ ชักกระบี่เงยหน้ามองไปยังกลุ่มหมอกนั้นพร้อมกัน มันม้วนบิดไปมาบนพื้นราวกับงูที่มีขนาดใหญ่มาก ยังใหญ่กว่าที่พวกเขาเคยนึกภาพไว้ อย่าว่าแต่คนที่มากันไม่กี่คนวันนี้เลย แม้แต่มากันอีกสิบเท่า มันก็คงขย้อนกลืนลงไปได้ในคำเดียว
“ตอนนี้ยากแล้ว” หลิ่วอี้ฮวนกล่าวพึมพำ จิ้งจอกม่วงงับลำคอ เจ็บจนเขาส่งเสียงร้องดัง “นี่! เจ้าทำอะไรน่ะ?!”
จิ้งจอกม่วงจ้องมองไปยังประตูว่างเปล่าตาไม่กะพริบ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเจ้าล่อนางไป ข้าเข้าไปหาถิงหนู!”
กล่าวจบไม่รอหลิ่วอี้ฮวนรับปาก เงาร่างสีม่วงของนางก็ลอดเข้าไปในห้อง
“อย่าตัดสินใจพลการ อา อา อา อา!” หลิ่วอี้ฮวนมองนางวิ่งเข้าไปอย่างทำอะไรไม่ได้ จะรั้งก็ไม่ทัน พลันได้ยินเสียงลมดังมาด้านหลัง เขาคว้าจงหมิ่นเหยียนหลบทันที เห็นเพียงหมอกดำม้วนขดนั้นเข้ามาใกล้ เสียงเข้มทุ้มกล่าวว่า “เดิมยังคิดปล่อยพวกเจ้าสักหน่อย! ครั้งนี้อย่าได้คิดหนีเลย!”
ครั้งนี้ยากจัดการแล้ว หลิ่วอี้ฮวนไม่ค่อยได้กลัดกลุ้มเท่าไร แต่ยามนี้ยังเคร่งเครียด จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “ยังอึ้งอันใด! บุกสิ!”
“เจ้าไปเองสิ!” หลิ่วอี้ฮวนค้อนเขาขวับ “ไม่เห็นคนเขาเป็นงูลอกคราบหรือ ร่างจริงยังไม่ออกมา เจ้าไปฟันสิ! ดูว่าเจ้ามีความสามารถฟันโดนไหม!”
อย่างนั้นจะอึ้งรออยู่ตรงนี้หรือ จงหมิ่นเหยียนนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่งที่ร่วมปฏิบัติการกับคนเหลวไหลเช่นนี้จึงไม่สนเขาอีก ตนเองชักกระบี่แทงไปยังหมอกดำมั่วไปมา ปรากฏเป็นดังที่เขาว่าไว้ ไม่อาจทำร้ายนางได้แม้แต่น้อยนิด กลับถูกนางพ่นไฟสีเขียวใส่อีก เกือบเผาเสื้อผ้าไหม้
“เจ้ามาช่วยด้วยสิ!” จงหมิ่นเหยียนหันกลับไปคำรามใส่หลิ่วอี้ฮวน
หลิ่วอี้ฮวนค่อยลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยี่หระ ถอนใจกล่าวว่า “โอย โอย คาดการณ์ผิด คิดไม่ถึงว่าไม่อาจถอยกลับได้จริง ไม่สู้ ข้าหนีก่อนแล้วกัน…”
ต่ำช้า! จงหมิ่นเหยียนโมโหจนแทบเป็นลม กำลังจะด่าเขาเต็มที่ ก็พลันได้ยินเสียงร้องจิ้งจอกม่วงในห้องดังมาเสียงหนึ่ง หมอกดำที่ม้วนขดอยู่ด้นนอกพลันหดกลับไป ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงคุณหนูรองในนั้นหัวเราะกล่าวว่า “คนพวกนั้นคิดหาเรื่องข้าก็แล้วไป แม้แต่ปีศาจอย่างเจ้าก็คิดหาเรื่องข้า เอาเถอะ ตอนนี้ข้าขยับตัวลำบาก ไม่เอาเรื่องพวกเจ้าชั่วคราว รอวันที่ข้าสำเร็จผล ค่อยมาดูดพลังวัตรพันปีเจ้า”
กล่าวจบประตูหน้าต่างก็ปิดแน่นเงียบงัน เสียงทั้งหมดมลายหายไปสิ้น
จงหมิ่นเหยียนลนลานหันกลับไปเห็นหลิ่วอี้ฮวนกำลังหาทางหนีจริง อดโมโหไม่ได้ รีบคว้าเขาไว้ ตวาดดัง “เจ้าคิดหนีหรือ!”
กล่าวจบ ก็เห็นเขาคว้าเอาขวดเล็กสีดำออกมาจากอกเสื้อจ่อไว้ที่ริมฝีปากเป่าเบาๆ ไร้เสียง จงหมิ่นเหยียนตะลึงไปครู่หนึ่ง ได้ยินแต่เสียงหัวเราะราวกับโจรชั่วของหลิ่วอี้ฮวน ผลักมือออก กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ได้หนี เพียงแค่เรียกกองหนุนเท่านั้น”