ตอนที่ 269-2 เปิดฉากด่าทอ คนแพศยาไร้ยางอาย

ชายาเคียงหทัย

เมื่อครู่ด้วยเพราะต้องการพูดคุย หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้ให้นางกำนัลและขันทีทั้งหมดลงไปรออยู่ที่ชั้นหนึ่งก่อน ยามนี้จึงเดินลงมาจากชั้นบนเองอย่างเหม่อลอย เมื่อเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ขาก็เกิดอ่อนจนล้มพับลงกับพื้น จนทำให้นางกำนัลและขันทีทั้งหมดตกใจ รีบก้าวเข้ามาหมายจะพยุงหลิ่วกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น บนชั้นหนึ่งจึงเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที

ถึงแม้ที่ล้มจะไม่ได้เจ็บอันใด แต่การที่ล้มลงก็ทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยตั้งสติกลับมาได้ “พระสนม ท่านเป็นอันใดหรือไม่เพคะ”

หลิ่วกุ้ยเฟยหันกลับไปมองปากบันไดที่ว่างเปล่า กัดฟันเอ่ยว่า “กลับวัง !”

ที่ด้านบน ม่อซิวเหยายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองใบหน้าเรียวของเยี่ยหลีที่ยังคงดูบึ้งตึง พลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งว่า “อาหลีโกรธเสียแล้วหรือ”

เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ “ท่านอ๋องอารมณ์ดีมาก?”

ม่อซิวเหยายกมือขึ้นเคาะหน้าผาก เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่เลวทีเดียว ข้าเพิ่งเคยรู้ว่า ที่แท้อาหลีปากคอเราะร้ายได้ถึงเพียงนี้เชียว”

“นึกสงสารแล้วหรือ” เยี่ยหลีหรี่ตาถาม

“ที่ใดกัน ว่าได้ดี! ไม่มีร้ายที่สุด มีเพียงร้ายกว่านี้ คราหน้าหากได้พบนางอีก อาหลีด่าว่านางให้เต็มที่เลยนะ ด่าทอนางต่อหน้าทุกคน เช่นนี้นางก็คงไม่กล้าหมายปองสามีของเจ้าแล้ว!” ม่อซิวเหยารีบอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจตน

เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หมายปอง? มิใช่ท่านอ๋องเองหรอกหรือที่โปรยสเน่ห์เรียกหมู่ภมรเสียเหลือเกิน”

ม่อซิวเหยาทำหน้าม่อย “ที่บ้านมีภรรยาดุ ข้ามิกล้าหรอก”

“ภรรยาดุ…”

“ข้าพูดผิด…ที่บ้านมีภรรยาที่แสนดี ข้าไม่อยาก” ม่อซิวเหยาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

เยี่ยหลีมองท่าทางเอาอกเอาใจของม่อซิวเหยา แล้วก็ได้แต่เอ่ยกลั้วยิ้มออกมาอย่างจนใจว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ชมเชย”

ม่อตัวน้อยเลื่อนตัวออกมาจากอ้อมแขนของเยี่ยหลี ชี้ไปทางม่อซิวเหยาพร้อมเอ่ยว่า “ท่านแม่ เสด็จพ่อหลอกท่าน เป็นท่านต่างหากที่โปรยเสน่ห์เย้ายวนหมู่ภมร คราก่อนท่านยังเคยพูดเลยว่า สตรีทั่วทั้งใต้หล้าจะต้องยอมสิโรราบให้กับเสน่ห์ของท่าน!”

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว อมยิ้มมองม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาโกรธจนแทบอยากจะจับบุตรชายที่แสนจะกวนโมโหออกจากอ้อมแขนนาง มาโยนลงไปข้างล่างเสียให้รู้แล้วรู้รอด จนในที่สุดเมื่ออดรนทนไม่ไหวแล้ว ม่อซิวเหยาจึงได้จับม่อตัวน้อยมาอุ้มไว้ ยื่นมือในนวดคลึงใบหน้าน้อยๆ นั้นจนสุดแรง!

“เจ้าเด็กเวร! ทำให้พ่อแม่เจ้าผิดใจกัน จะมีผลดีอันใดกับเจ้า เจ้าไม่อยากได้แม่เลี้ยง แล้วเจ้าคิดว่าพ่อเลี้ยงจะดีกับเจ้าหรือ ข้ามีศัตรูอยู่ทั่วใต้หล้าไปหมด บุรุษคนใดที่พอดูได้ต่างก็คิดอยากหยิกเจ้าให้ตายทั้งนั้นรู้หรือไม่”

ม่อตัวน้อยสนุกปากเกินไปจนกลายเป็นทุกข์ถนัด ถูกบิดารังแกจนน้ำตารื้นไปหมด

เยี่ยหลีถึงกับเอามือปิดหน้า หันไปถลึงตาดุๆ ใส่ม่อซิวเหยาทีหนึ่ง “ท่านพูดอันใดไร้สาระกับม่อตัวน้อยกันนี่”

ม่อซิวเหยาถลึงตามองม่อตัวน้อยที่กำลังน้ำตารื้น พลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ากำลังบอกเขาว่า นอกจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว เขาไปตามผู้ใด ก็มีแต่เรื่องเล่นสนุกเท่านั้น เสียดายวันทั้งวันเอาแต่คิดหาเรื่อง”

“ท่านแม่ ฮือๆ…ลูกผิดไปแล้ว…ช่วยลูกด้วย…” เมื่อรับมือม่อซิวเหยาไม่อยู่ ม่อตัวน้อยจึงจำต้องหันไปขอให้เยี่ยหลีช่วย

เยี่ยหลีอมยิ้ม รับตัวม่อตัวน้อยมาจากม่อซิวเหยา ตีเขาเบาๆ “ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะกล้าพูดเหลวไหลอีกหรือไม่”

“อื้อๆๆ…” ไม่กล้าแล้ว ม่อตัวน้อยรีบซุกหน้าลงกับอกเยี่ยหลี กลัวว่าท่านพ่อจะหาโอกาสจับเขาไปนวดคลึงอีก

บนชั้นสองที่ว่างเปล่า ถึงแม้ยังคงมีเสียงฮือๆ ของม่อตัวน้อยอยู่ แต่กลับดูอบอุ่นและเงียบสงบเป็นพิเศษ

ด้านนอกโรงน้ำชา หลิ่วกุ้ยเฟยที่ยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง ก้าวขึ้นเกี้ยวขนาดสิบหกคนหาบที่จอดรออยู่ที่นั่นก่อนนานแล้ว ก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไปจวนเสนาบดี!”

ด้านในเกี้ยว บนฟูกเก้าอี้ที่กว้างขวาง ถานจี้จือกำลังเอนตัวนั่งสบายๆ อยู่บนนั้น ชิมรสชาติผลไม้หลากหลายประเภทที่วางอยู่ เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยก้าวเข้ามาก็เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ราชวงศ์นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ดียิ่งนัก นี่ก็ต้นเดือนสองแล้ว ยังมีผลไม้รสเลิศเช่นนี้ให้กินอยู่อีก”

หลิ่วกุ้ยเฟยที่ยังคงสีหน้าเรียบบึ้ง ยกมือกวาดผลไม้เหล่านั้นจนลงไปกองเกลื่อนอยู่กับพื้น มีลูกหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ ออกไปจากเกี้ยวด้วย แต่คนที่อยู่ด้านนอกกลับไม่กล้าที่จะเอ่ยถามหรือเอ่ยปากให้หยุดเลยแม้แต่น้อย ทำประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น

ถานจี้จือปรายตามองนางเรียบๆ “ม่อซิวเหยาปฏิเสธท่านแล้ว”

หลิ่วกุ้ยเฟยทำหน้านิ่งมิได้ตอบอันใด นางไม่มีทางเล่าให้เขาฟังเรื่องที่นางถูกดูหมิ่นมาบนชั้นสองอย่างแน่นอน แต่ถานจี้จือเป็นคนเช่นไรกัน เขาเป็นคนที่ม่อจิ่งฉีไว้เนื้อเชื่อใจให้อยู่ข้างกายมาเป็นสิบปีและม่อจิ่งฉีก็ไม่เคยนึกสงสัยในตัวเขา เขายังสามารถทำให้ธิดาเทพแห่งหนานเจียงทำตามแผนการของเขาได้โดยไม่เคยเป็นที่ผิดสังเกต เรื่องเจ้าเล่ห์เจ้ากลคงไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยการคาดเดาจิตใจกับอ่านสีหน้าคนนั้น ในโลกนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่เก่งกาจกว่าเขา แค่เพียงเห็นสีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟย ถานจี้จือก็รู้ได้ทันทีว่า ม่อซิวเหยาคงมิได้ปฏิเสธนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งชายาติ้งอ๋องก็หาใช่คนที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ ไม่ แค่เพียงใคร่ครวญถึงสิ่งที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะกระทำ เขาก็พอเดาออกแล้วว่าจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง

“ถูกชายาติ้งอ๋องเหน็บแนมมา? หรือว่าหนักกว่านั้น…ถูกชายาติ้งอ๋องดูหมิ่น แต่ติ้งอ๋องก็ยังเข้าข้างนาง?” อันที่จริงเหตุการณ์เลวร้ายกว่าที่เขาคาดคิดไปมากนัก เยี่ยหลีด่าทอนางตรงๆ เลยต่างหาก

“หุบปาก!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความโกรธ แค่เพียงนึกถึงสิ่งที่นางถูกหมิ่นเกียรติมาที่ด้านบนโรงน้ำชา หลิ่วกุ้ยเฟยก็นึกโกรธจนแทบอยากจะฉีกร่างเยี่ยหลีเป็นชิ้นๆ แล้ว เพียงแต่นางจะฆ่าเยี่ยหลีไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ยามนี้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงอดทน บังคับตนเองให้ลืมเลือนเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว

ถานจี้จือยักไหล่ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกตามที่นางต้องการ เขาเอ่ยถามว่า “ม่อซิวเหยาไม่คิดจะช่วย เช่นนั้นพระสนมกุ้ยเฟยมีแผนการเช่นไร”

หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่ง “บุตรชายของข้าเป็นองค์รัชทายาทอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้ม่อซิวเหยาไม่ช่วยเหลือแล้วอย่างไร ขอเพียงบุตรชายรัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้…” ถึงยามนั้นนางจะต้องเอาคืนจากสิ่งที่นางถูกหมิ่นเกียรติในวันนี้ให้ได้เป็นร้อยเท่าอย่างแน่นอน

ถานจี้จือเลิกคิ้ว “ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้วอย่างไร ฮ่องเต้แห่งซีหลิงในยามนี้ มิใช่ฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามทำนางคลองธรรมหรือ เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

“โอรสรัชทายาทของข้าจะเหมือนกับฮ่องเต้แห่งซีหลิงได้อย่างไร เบื้องหลังข้ายังมีตระกูลหลิ่วอยู่นะ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ย

ถานจี้จือเบ้ปาก นั่นมีแต่จะโชคร้ายกว่าเดิม ต่อให้ล้มหลีอ๋องลงได้ แต่ก็ยังมีตระกูลหลิ่วที่ยังคอยพัวพันฮ่องเต้พระองค์ใหม่อยู่ดี

“พระสนมอย่าลืมเสียว่า พื้นที่ทางใต้เป็นอาณาเขตของหลีอ๋อง อีกทั้งหลีอ๋องก็ยังเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมืออย่างแท้จริง พูดตามตรง…หากเทียบกับหลีอ๋องแล้ว ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเมื่อในอดีตอย่างม่อหลิวฟาง เทียบอันใดไม่ได้เลย ต่อให้เขามีอำนาจมากเพียงใด แต่ไม่มีใจหมายปองในราชบัลลังก์ก็ถือว่าจบแล้ว แต่หลีอ๋องเป็นอ๋องที่คิดกบฏ จะต้องกำลังจับจ้องบัลลังก์ฮ่องเต้อยู่ตาเป็นมันอย่างแน่นอน พระสนมกุ้ยเฟยมั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือว่า ต่อไปหลีอ๋องจะไปใช้กำลังบุกเข้าวัง”

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่มีทาง…ในมือฝ่าบาทจะต้องมีสิ่งที่สามารถควบคุมเขาได้อย่างแน่นอน”

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านคิดว่าม่อจิ่งหลีเป็นผู้ใดกัน กับแค่ตำแหน่งท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจะทำให้เขาพอใจได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขามีไพ่ชนะอยู่ในมือ แต่สุดท้ายกลับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ แล้วกลายเป็นพระโอรสของข้าที่ได้ขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาท ในมือของฝ่าบาทจะต้องมีไพ่ตายที่เอาไว้ควบคุมเขาอย่างแน่นอน ด้วยเพราะทำอันใดไม่ได้เขาจึงจำต้องยอมถอยออกมาก้าวหนึ่ง จนสถานการณ์กลายเป็นเช่นปัจจุบัน หากเราสามารถรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออันใด…”

“พระสนมคงมิได้ไปเยี่ยมฝ่าบาทมาหลายวันแล้วกระมัง” ถานจี้จือเอ่ยถาม

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “เขามิได้เรียกข้าให้ไปเข้าเฝ้าเสียหน่อย นอนแบบอยู่บนเตียง มีอันใดน่าเยี่ยมกัน”

ถานจี้จือได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ เดิมทีที่ม่อจิ่งฉีรับตัวสตรีนางนี้เข้ามา จะต้องเพราะสะสมความโชคร้ายมาถึงแปดชาติ บวกกับตาจะต้องบอดด้วยอย่างแน่นอน ที่ม่อซิวเหยาไม่สนใจนาง จะต้องเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดหลักแหลมมากทีเดียว

“พระสนมกลับไปเยี่ยมฝ่าบาทสักหน่อยเถิด เกรงว่า…ในใจของฝ่าบาทยามนี้ ก็คงมิได้เชื่อใจพระสนมกับตระกูลหลิ่วถึงเพียงนั้นแล้ว หากถึงเวลา…อย่าได้กลายเป็นนกกับปลามัวแต่ต่อสู้กัน แล้วสุดท้ายกลายเป็นชาวประมงที่ได้ประโยชน์ไปเลย”

ม่อจิ่งฉีเดิมทีก็เป็นคนที่ขี้ระแวงมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เมื่อต้องมานอนอยู่บนเตียงเฉยๆ คงยิ่งนึกสงสัยอันใดไปเรื่อยเปื่อย การกระทำของหลิ่วกุ้ยเฟยในยามนี้ หากเป็นเมื่อก่อน บางทีอาจมองได้ว่าเป็นคนเย็นชา แต่หากเป็นในยามนี้ ในสายตาม่อจิ่งฉีไม่แน่ว่าอาจคิดว่านางกำลังรอให้เขาตายวันตายพรุ่งก็เป็นได้ “จะได้ไปลองสืบดูด้วยว่า ในมือม่อจิ่งฉีมีอันใดกันแน่ที่สามารถใช้ควบคุมหลีอ๋องได้”

หลิ่วกุ้ยเฟยนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”