ตอนที่ 270-1 สร้างความแตกแยก

ชายาเคียงหทัย

เหตุการณ์ที่หลิ่วกุ้ยเฟยประสบพบเจอทั้งหมดที่ด้านบนโรงน้ำชา บุคคลภายนอกที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ย่อมไม่รับรู้เรื่องนี้ แต่กับผู้ที่เป็นบุคคลพิเศษบางคนกลับไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นไม่ให้พวกขารู้เรื่องนี้ได้ อาทิเช่น ม่อจิ่งหลี

หลิ่วกุ้ยเฟยเพิ่งออกจากโรงน้ำชาได้ไม่เท่าไร สีหน้าและสภาพอันน่าเวทนาของนางยามที่ลงจากชั้นสองก็ถูกส่งไปถึงตำหนักหลีอ๋องเดิมหรือซึ่งก็คือตำหนักท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการในปัจจุบัน

จะว่าไป ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะไม่เป็นที่น่าชอบพอนัก แต่เห็นได้ชัดว่าเขาวางตัวเป็นกว่าม่อจิ่งฉีมากนัก หลายปีมานี้ เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ที่เป็นท่านอ๋องทั้งหลาย ต่างถูกม่อจิ่งฉีกดขี่เอาไว้อย่างหนัก ดังนั้นจึงมิได้สนใจอันใดฮ่องเต้พระองค์นี้ ถึงแม้ทุกคนจะต่างรู้ดีว่า ที่ม่อจิ่งฉีล้มป่วยจะต้องพัวพันกับม่อจิ่งหลีไม่มากก็น้อย แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยเปิดปากเอ่ยพูดอันใดแทนเขามาก่อน ยิ่งเมื่อม่อจิ่งหลีขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขากลับมีมารยาทกับญาติพี่น้องขึ้นมาก ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายกับม่อจิ่งหลีจึงกลับดีขึ้นมาก

ยามที่ข่าวถูกส่งไปถึงตำหนักหลีอ๋องนั้น อวี๋อ๋อง ม่อจิ่งอวี๋กำลังดื่มชาอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการพอดี ม่อจิ่งหลีก็มิได้ปกปิดอันใด เมื่ออ่านจบก็ส่งจดหมายต่อไปให้ม่อจิ่งอวี๋อ่าน

แน่นอนว่าม่อจิ่งอวี๋ย่อมรู้สึกยินดีที่ม่อจิ่งหลีให้ความไว้วางใจ เมื่ออ่านจบคิ้วเขาก็ขมวดแน่น ตบจดหมายลงกับโต๊ะ ก่อนเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้ ตระกูลหลิ่วด้วย คิดจะทำอันใดกันแน่ แค่นางสนมในวังหลังนางหนึ่ง กลับออกจากเมืองหลวงไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษตำหนักติ้งอ๋องอย่างใหญ่โต นางคิดว่านางเป็นใครกัน แล้วยังกล้าไปขวางติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องกลางถนนใหญ่ เพื่อเชิญไปดื่มชา เกียรติของราชวงศ์ยังต้องการอยู่หรือไม่”

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยใช่ว่าข้ากับท่านจะไม่รู้จัก นางนอกจากหัวใจที่มีให้ม่อซิวเหยาแล้ว จะยังมีอันใดอีกได้”

ม่อจิ่งอวี๋ก็ดูจะคิดอันใดออกขึ้นมาทันที ความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อม่อซิวเหยาในยามนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องและคุณชายทั้งหลายในเมืองหลวง พากันอิจฉาริษยาเป็นที่สุด น่าเสียดายที่คนที่เป็นเจ้าเรื่องอย่างม่อซิวเหยากลับทำประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้น จึงย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าเขา

สตรีที่ยังไม่ออกเรือนนางหนึ่ง เกิดพึงใจในบุรุษ หากพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันและช่วยส่งเสริมกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่นี่ฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่อายุกว่าสามสิบปี แต่ยังคงรักใคร่และคอยตามติดบุรุษอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เช่นนั้นก็เรียกว่าไม่รู้จักยางอาย เป็นเพียงผลไม้สุกที่ยื่นออกนอกกำแพงไปเท่านั้น

“นางเสียสติไปแล้วหรือไร มีภรรยาเช่นชายาติ้งอ๋องอยู่ทั้งคน ติ้งอ๋องจะต้องตาบอดถึงเพียงไรถึงจะไปถูกใจนาง” ถึงแม้จะไม่สนิทคุ้นเคย แต่ม่อจิ่งอวี๋ก็มีความรู้สึกดีๆ กับเยี่ยหลีที่เป็นชายาติ้งอ๋องผู้นี้อยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไร สตรีที่สามารถทำได้เช่นชายาติ้งอ๋องผู้นี้ อย่าว่าแต่ทั่วทั้งใต้หล้าเลย ต่อให้เป็นในประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยก็หาได้น้อยนัก

แค่เพียงดูจากยากมที่ขาทั้งสองข้างของติ้งอ๋องยังพิกลพิการ จมลึกอยู่ท่ามกลางอำนาจในเมืองหลวง แต่ชายาติ้งอ๋องก็ไม่ละไม่ทิ้งเขาไปไหน แค่นี้ก็เพียงพอให้คนเลื่อมใสมากแล้ว

เมื่อพูดออกไปแล้ว ม่อจิ่งอวี๋ถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาหันไปมองม่อจิ่งหลีอย่างขอลุแก่โทษ ท่านนี้เมื่อปีนั้นก็เป็นคนที่ตาบอดด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นสตรีเช่นชายาติ้งอ๋องก็คงไปไม่ถึงติ้งอ๋อง แต่คงเป็นชายาหลีอ๋องในปัจจุบันไปแล้ว

ม่อจิ่งหลีส่ายหน้า บอกว่าไม่ต้องใส่ใจ สายตาที่เย็นเยียบหรุบลงเล็กน้อย ปิดบังแวววูบไหวในดวงตา

นี่ก็ผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว อันที่จริงม่อจิ่งหลีก็มิใช่เด็กหนุ่มที่เอะอะก็ร้องจะยกเลิกการแต่งงานโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบคนเดิมอีกแล้ว ผ่านมานานเช่นนี้แล้ว เขาพอคิดได้แล้ว ยามนั้นเขารีบร้อนจะยกเลิกการแต่งงาน ครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาเอง แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะเสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาท่านนั้นที่ยินยอมแต่โดยดี ม่อจิ่งฉีเห็นด้วยว่า เขาเองก็เป็นบุตรชายสายหลักของอดีตฮ่องเต้เช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ตระกูลสวีจะช่วยเหลือเขา แต่จะไม่มีทางช่วยเหลือม่อซิวเหยา แต่กลับคาดไม่ถึงว่า ยามนี้ตัวเขาเองจะเป็นคนบีบตระกูลสวีให้ไปช่วยเหลือม่อซิวเหยาเสียแล้ว หากมิใช่เพราะเขา…นึกถึงเมื่อวันนั้นที่ได้พบสตรีในชุดสีอ่อนที่สวนด้านหลังของโรงเตี๊ยม ม่อจิ่งหลีก็ใจกระตุกขึ้นมาทันที นึกโกรธแค้นม่อจิ่งฉีขึ้นมาอีกหลายส่วน สตรีที่สุภาพ อ่อนหวาน ทั้งยังดูมีบารมีเช่นนั้น เดิมทีเคยเป็นภรรยาของเขา!

“หลิ่วกุ้ยเฟยคิดอยากดึงติ้งอ๋องให้เข้าร่วมมือกับนาง? หากติ้งอ๋องตบปากรับคำเข้าให้จริงๆ…คงไม่เป็นผลดีอย่างมากต่อหลีอ๋อง” ไม่ว่าอย่างไร ในต้าฉู่นี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่เกรงกลัวม่อซิวเหยา ถึงแม้ยามนี้เขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับต้าฉู่แล้ว แต่นี่เป็นบารมีของตำหนักติ้งอ๋องที่สั่งสมมาเป็นร้อยปี และฝังลึกอยู่ในจิตใจของทั้งชาวบ้านและบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลายอย่างไม่สามารถมีอันใดมาทดแทนได้

“ไม่มีทาง” ม่อจิ่งหลีเอ่ยปฏิเสธ “ม่อซิวเหยาไม่มีทางร่วมมือกับนาง”

ม่อจิ่งอวี๋นิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนระบายยิ้มเอ่ยว่า “พูดเช่นนั้นก็ถูก หากติ้งอ๋องรับปากร่วมมือกับหลิ่วกุ้ยเฟย ก็คงไม่เดินออกมาอย่างไร้วิญญาณเช่นนั้น”

ม่อจิ่งหลียิ้มเอ่ยว่า “ม่อซิวเหยามีนิสัยเย่อหยิ่งถือดี เขาไม่มีทางร่วมมือกับคนที่มีความแค้นอย่างแน่นอน ถึงแม้…อันที่จริงแล้วหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องที่เกิดในปีนั้น แต่บุตรชายของนางกลับเป็นบุตรชายของม่อจิ่งฉี อีกอย่าง ชายาติ้งอ๋องที่ดูเหมือนสุภาพเรียบร้อย แต่เอาเข้าจริงก็ถือดีไม่แพ้ม่อซิวเหยา หลิ่วกุ้ยเฟยคิดอยากร่วมมือ จะยื่นข้อเสนออันใดให้ม่อซิวเหยา ข้าก็พอคาดเดาได้อยู่บ้าง เยี่ยหลีไม่มีทางรับปากอย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนั้น ในใจม่อจิ่งอวี๋ก็นึกเบาใจ หากรู้จักชายาติ้งอ๋องดี และสามารถเอ่ยถึงด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นได้ เอาเข้าจริงหลีอ๋องก็คงนึกเสียใจมานานแล้วกระมัง แต่เพียงน่าเสียดาย ในโลกนี้มีหลายเรื่องที่เมื่อพลาดไปแล้ว ก็คือพลาดไปแล้ว ไม่ว่าจะไขว่คว้ากลับมาเพียงใดก็ไร้ประโยชน์

เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ม่อจิ่งอวี๋ก็เอ่ยเตือนขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “หลีอ๋อง ยามนี้มิใช่เวลาที่จะไปยั่วยุม่อซิวเหยานะ” เมื่อม่อจิ่งหลีเคยยกเลิกงานแต่งงานที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ไว้เพื่อเยี่ยอิ๋งด้วยความใจร้อนเป็นตัวอย่าง ม่อจิ่งอวี๋ก็อดนึกเป็นกังวลไม่ได้ว่า ม่อจิ่งหลีจะใจร้อนทำเรื่องอันใดที่ไปทำให้ม่อซิวเหยาโกรธจนไม่อาจกู้สถานการณ์คืนกลับมาได้เพื่อเยี่ยหลีหรือไม่

ม่อจิ่งหลีอึ้งไป ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าอันใดควรไม่ควร อวี๋อ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ยามนี้มิใช่เวลาที่จะยั่วยุม่อซิวเหยาจริงๆ ช่วงที่พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงนี้ ต้อนรับตามมารยาทก็แล้วกัน คนของตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ก็อย่าได้ไปหาเรื่องเขา”

ม่อจิ่งอวี๋พยักหน้าเห็นด้วย ตำหนักอวี๋อ๋องของเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็ประพฤติตนด้วยดีมาตลอด ย่อมไม่มีทางไปยั่วยุม่อซิวเหยาแน่นอน

“เพียงแต่ พวกเราไม่ไปยั่วยุ ก็มิได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่ไปยั่วยุด้วย” ม่อจิ่งหลีเอ่ยพร้อมยิ้มเย็น

“หือ?” ม่อจิ่งอวี๋อึ้งไป

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ลอบปล่อยข่าวออกไปถึงม่อจิ่งฉี บอกเขาว่า…ม่อซิวเหยาที่เขาเกรงกลัวที่สุดกลับมาเมืองหลวงแล้ว”

ม่อจิ่งอวี๋นิ่งงันไป มองม่อจิ่งหลีเงียบๆ ท่านคงคิดทำให้ม่อจิ่งฉีตกใจตายกระมัง

ม่อจิ่งหลีหาได้สนใจสีหน้าของม่อจิ่งอวี๋ไม่ เอ่ยเสียงเย็นว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยนางนั้น ในตาในใจนางมีเพียงม่อซิวเหยาคนเดียว ไม่น่ากลัวเท่าไรหรอก ท่านให้คนคอยจับตาดูตาแก่ตระกูลหลิ่วนั่นไว้ให้ดีก็แล้วกัน ได้ยินว่าหลายวันนี้เต๋ออ๋องเข้าไปข้องแวะกับพวกเขาหรือ”

ม่อจิ่งอวี๋พยักหน้า เอ่ยด้วยความจนใจว่า “ท่านลุงเต๋ออ๋องอายุมากแล้ว สายตาคงพร่ามัวไปแล้วกระมัง แต่ถึงอย่างไรบุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังเป็นองค์รัชทายาทที่ฮ่องเต้แต่งตั้งขึ้น เต๋ออ๋องจะใกล้ชิดกับพวกเขาก็คงทำได้ไม่มากนัก”

ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นเอ่ยว่า “โง่เง่า! ท่านคิดว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะยอมให้บุตรชายของนางขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่โดยดี ส่วนตาแก่ตระกูลหลิ่วนั่น จะยอมเป็นขุนนางผู้ภักดีค่อยรับใช้อยู่เงียบๆ อย่างนั้นหรือ”

ม่อจิ่งอวี๋ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่างไรองค์รัชทายาทก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของหลิ่วกุ้ยเฟย คงไม่ถึงเช่นนั้นกระมัง”

ม่อจิ่งหลีเอ่ยกับเขาว่า “พวกท่านหลายปีนี้ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับเรื่องในวัง อวี๋อ๋องลองส่งคนไปสืบดูก็ได้ว่า หลิ่วกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อองค์รัชทายาทกับองค์ชายและองค์หญิงทั้งสองอย่างไร ไว้รอให้นางขึ้นเป็นไทเฮา…”

ม่อจิ่งอวี๋นิ่งไป ก่อนเอ่ยว่า “ได้เป็นไทเฮาแล้ว นางจะคิดทำอันใดอีก”

ด้วยฐานะสตรี การได้เป็นไทเฮา ถือว่าเป็นฐานะที่มีเกียรติสูงสุดแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยยังต้องการอันใดอีก

ม่อจิ่งหลีเอ่ยว่า “เกรงว่าในสายตาของหลิ่วกุ้ยเฟย…ตำแหน่งไทเฮาสักสิบคนก็คงยังไม่มีค่าเท่าตำแหน่งชายาติ้งอ๋องคนเดียวกระมัง”

“อันใดนะ” ม่อจิ่งอวี๋อึ้งไป เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ก็ขว้างถ้วยชาลงพื้นโดยแรงอย่างอดไม่อยู่ “แพศยา!”

ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม มิใช่หรอกหรือ

ภายในวัง

ภายในห้องบรรทมที่หรูหราเงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง มีกลิ่นเหม็นเน่าอ่อนๆ ลอยอวนอยู่ในอากาศ

ม่อจิ่งฉีนอนอยู่บนเตียง ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ใบหน้าที่เดิมทีเรียกได้ว่าหล่อเหลา กลับดูซีดเซียวและแก่ชราลงกว่าสิบปี บุรุษอายุสามสิบกว่าปี แต่ดูประหนึ่งใกล้จะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิตเสียแล้ว

เขาไม่รู้ว่าม่อจิ่งหลีเอายาพิษอันใดมาใส่ให้เขา แต่เขารู้ดีว่าสิ่งนั้นมิใช่ยาอู่สือซ่านอย่างแน่นอน อู๋สือซ่านมิได้มีฤทธิ์ที่รุนแรงเช่นนี้ ตั้งแต่เขาหยุดยา ทุกวันเขาจะต้องอดทนกับความเจ็บปวดที่บาดลึกไปถึงกระดูด และความเจ็บปวดเหล่านี้ กลับมิได้ค่อยๆ ทุเลาลงตามวันเวลาที่เขาหยุดยา แต่กลับทำให้สภาพร่างกายของเขาทรุดถอยลงไปทุกวัน

จนมาอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็รับรู้ได้ถึงอวัยวะทุกส่วนในร่างกายว่าไม่มีส่วนใดไม่เจ็บปวด ม่อจิ่งฉีรู้ดีว่า ตนคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ยอมแพ้จริงๆ เขาวางแผนเล่ห์กลอุบายมาตลอดชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปพร้อมกับความตื่นกลัว

ทุกวันนี้ม่อซิวเหยายึดครองพื้นที่ทางซีเป่ย ม่อจิ่งหลีถึงแม้จะมิได้เอ่ยออกมาให้ชัดเจน แต่ว่ากันตามจริงเขาก็ยึดครองพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้อยู่แล้ว ทางด้านเป่ยจิ้งก็มีชนต่างเผ่าเข้าประชิดชายแดน แล้วยังมีซีหลิงกับเป่ยหรงที่คอยจ้องอยู่ตาเป็นมัน เรื่องราวมากมายเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีไม่สามารถปล่อยวางลงได้ เขาไม่รู้ว่าหากตนตายลงเสียแล้ว ต้าฉู่จะกลายเป็นเช่นไร เขาคงไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษของต้าฉู่

“ใครก็ได้…” ม่อจิ่งฉีร้องเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ภายในตำหนักบรรทมยังคงไร้ซุ่มเสียง ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาขานรับ