ตอนที่ 270-2 สร้างความแตกแยก

ชายาเคียงหทัย

ม่อจิ่งฉีอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะหึหึออกมา หัวเราะไปหัวเราะมาก็กลับน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ตั้งแต่โดนยาพิษเป็นต้นมา เขาถึงได้รู้ว่า ตนประพฤติตนได้ล้มเหลวถึงเพียงนี้ เชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดออกปากช่วยเขาพูดเลยสักคน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการทะเลาะเบาะแว้งแบ่งพรรคแบ่งพวก เสด็จแม่ของเขาก็มาเยี่ยมเขาอยู่เพียงสองสามครั้งแล้วก็มิได้มาอีก แม้แต่ขันทีและนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายเมื่อในวันวานก็ไม่รู้ว่าหายหัวไปอยู่เสียที่ใดกันหมด ช่วงเวลาที่ผ่านมาก แต่ละวันเขาอยู่คนเดียวภายในตำหนักบรรทมที่ว่างเปล่า ประหนึ่งมีตัวเขาเพียงคนเดียวที่กำลังมองอวัยวะในร่างกายทั้งหลายของตน ค่อยๆ เน่าเปื่อยและตายไปอยู่คนเดียวกระนั้น

“แค่กๆ…”

“ใครก็ได้! มีใครอยู่บ้าง…ข้าอยากดื่มน้ำ…” ม่อจิ่งฉีร้องเรียกเสียงแหบพร่า

มีคนยื่นถ้วยชาลายหงส์กับมังกรมาให้ตรงหน้าเขา ม่อจิ่งหลีที่อยู่ในชุดขุนนางสีดำเงา กำลังถือถ้วยชายืนอยู่ข้างเตียง เขาโน้มลงพยุงม่อจิ่งฉีให้ลุกขึ้นก่อนส่งถ้วยชาไปที่ริมฝีปาก

ม่อจิ่งฉีดื่มเข้าไปอย่างเต็มที่ เขาไม่สนใจอันใดมาก ก้มหน้าลงดื่มน้ำชาเข้าไปกว่าครึ่งถ้วย แล้วถึงได้หยุดพักหายใจ

ม่อจิ่งหลีวางตัวเขากลับลงนอนอีกครั้ง แล้วถึงได้หันไปวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วถึงได้ค่อยๆ ก้าวเดินกลับมา

“ยามนี้เจ้ายังมาทำอันใดอีก” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเสียงเย็น

ม่อจิ่งหลีนั่งลง เอ่ยด้วยท่าทีสงบว่า “มาแจ้งข่าวดีข่าวหนึ่งกับเสด็จพี่ มีคนหนึ่งที่สามารถต่อกรกับน้องชายอย่างข้ากลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เสด็จพี่เห็นว่าสำหรับท่านแล้วถือเป็นข่าวดีหรือไม่”

“ผู้ใดกัน” ม่อจิ่งฉีไม่สนใจที่จะมานั่งฟังเขาพูดจาอ้อมค้อม ยามนี้เป็นเวลาอันใดแล้ว ม่อจิ่งฉีคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่า จะยังมีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับม่อจิ่งหลีที่มีอำนาจมากมายอยู่ในมือได้อีก

ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะเขาพลางเอ่ยว่า “ม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยากลับมาแล้ว เสด็จพี่ ท่านดีใจหรือไม่”

“ม่อ…ม่อซิวเหยา?! เหตุใดเขาถึงยังกลับมาอีก เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกคำสั่งให้จับตัวเขาเสีย!” ม่อจิ่งฉีตกใจจนหน้าถอดสี เอ่ยตะคอกเสียงเข้ม แต่เมื่อตะโกนออกไปแล้ว สิ่งที่ตามมากลับเป็นการไออย่างหนักอยู่ครู่ใหญ่

เมื่อได้เห็นสภาพม่อจิ่งฉีที่เจ็บปวดจนแทบคลานอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าขาวซีดแล้ว นัยน์ตาม่อจิ่งหลีก็มีประกายแห่งความเวทนาจางๆ ฉายให้เห็น เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ให้จับตัวเขามา? เสด็จพี่…ท่านคิดว่าข้าเสียสติไปแล้วหรือ ยามนี้ต้าฉู่ศึกประชิดรอบด้าน ที่เป่ยจิ้งก็ขอให้ส่งคนออกไปช่วยรับมือไม่ได้หยุด เมื่อใดก็ตามที่เปิดศึกกับกองทัพตระกูลม่อ ซีหลิงกับเป่ยหรงจะต้องอาศัยจังหวะนี้เข้ามาร่วมวงด้วยอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นจะทำเช่นไร”

“ม่อซิวเหยาเป็นศัตรูของพวกเรา!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ยามนี้ม่อซิวเหยาเป็นศัตรูของท่าน” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเรียบๆ หรุบตาลงมองเขา “ม่อซิวเหวิน ท่านเป็นคนทำให้เขาตาย ยามนั้นทหารกองทัพตระกูลม่อที่ตายอยู่ที่ชายแดนหลายหมื่นคนก็เป็นท่านที่ทำให้พวกเขาตาย ม่อซิวเหยาบาดเจ็บหนักก็เป็นท่านที่ทำ ยามนั้นที่ชายาติ้งอ๋องถูกล้อมสังหารในเมืองหลวง ก็เป็นท่านที่สั่งการ เสด็จพี่…ม่อซิวเหยาไม่กลับมาหาท่านแล้วจะกลับมาหาใคร ยามเขาอยู่ที่ซีเป่ย ได้ยินว่าท่านใกล้จะไม่รอดแล้ว จึงรีบร้อนกลับมาที่เมืองหลวง ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เขาบอกว่า…เขาจะมาสั่งเสียท่าน เสด็จพี่หากท่านอยากให้ม่อซิวเหยาไปจากเมืองหลวงเร็วๆ ก็รีบๆ…ตายไปเสียเถิด”

“เจ้า…”

ม่อจิ่งหลีมองเขาด้วยสายตานิ่งเย็น เอ่ยต่อว่า “ใช่สิ ยังมีอีกข่าวหนึ่งที่ลืมทูลให้เสด็จพี่รู้ สนมรักของเสด็จพี่ พระมารดาขององค์ชายรัชทายาทแห่งต้าฉู่ของพวกเรา เมื่อครู่เพิ่งไปหาม่อซิวเหยามา ท่านรู้หรือไม่ว่านางพูดอันใดกับม่อซิวเหยา”

ม่อจิ่งฉีหลับตาลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากได้ยินเขาเอ่ยต่อแล้ว เขารู้ถึงเจตนาของม่อจิ่งหลี เขาไม่อยากให้ตนมีความสุข

ม่อจิ่งหลีก็หาได้สนใจว่าเขาจะกำลังฟังอยู่หรือไม่ “หลิ่วกุ้ยเฟยพูดว่า ขอเพียงม่อซิวเหยาสามารถช่วยนางต่อกรกับข้าได้ นางยินดีร่วมเสพสุขบนแผ่นดินนี้ไปพร้อมกับเขา ดูท่า…ต่อให้ไม่มีข้า รัชทายาทที่เสด็จพี่ทรงเลือกจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อจิ่งฉีก็หน้าถอดสีทันที ร่างกายชักกระตุกไม่หยุด เบิกตาโพลงถลึกตาจ้องม่อจิ่งหลี “เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล!”

“เหลวไหล?” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยพึงใจในตัวม่อซิวเหยาตั้งแต่ก่อนเข้าวัง ทั่วทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้าง หากเสด็จพี่ไม่ทรงเชื่อ ยามนี้จะส่งคนไปดูก็ได้ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยยังอยู่ในวังหรือไม่ ออกไปตั้งแต่เมื่อใด เพียงแต่เสด็จพี่วางใจได้เลย ม่อซิวเหยาไม่สนใจสนมรักของท่าน และได้ปฏิเสธนางไปแล้ว เมื่อตอนกลางวันวันนี้ มีตั้งหลายคนที่เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยเดินออกมาจาโรงน้ำชาประหนึ่งคนไร้วิญญาณ”

“เจ้าพูดเหลวไหล…เหลวไหล!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด

ม่อจิ่งหลีคร้านที่จะสนใจเขาอีก หมุนตัวเดินออกไปทันที

เมื่อออกมาจากห้องบรรทม ยังไม่ทันเดินไปถึงอุทยาน ก็พบเข้ากับหลิ่วกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาพอดี

เขามองหลิ่วกุ้ยเฟยที่งดงามประหนึ่งน้ำค้างแข็ง แต่นัยน์ตาม่อจิ่งหลีกลับไม่มีแวววูบไหวหรือชื่นชมเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เล็กจนโตเขารังเกียจคนที่ทระนงตนและถือว่าตนสูงส่งมาตลอด ไม่ว่านางจะงดงามล้มบ้านล้มเมืองได้เพียงใดก็ตาม

หลิ่วกุ้ยเฟยเองก็ย่อมมิได้รู้สึกดีอันใดกับม่อจิ่งหลี เอ่ยเสียงเย็นว่า “นี่หลีอ๋องกำลังจะไปที่ใด”

ม่อจิ่งหลีฉีกยิ้มที่ยิ้มแต่เพียงริมฝีปากออกมา เอ่ยเรียบๆ ว่า “กำลังจะกลับตำหนัก พระสนมกุ้ยเฟยเล่ากำลังจะไปที่ใด”

หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยว่า “เดินเล่นไปเรื่อยๆ”

ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้ว “อ้อ? พระสนมกุ้ยเฟยไม่ไปเยี่ยมฮ่องเต้หน่อยหรือ”

เดิมทีหลิ่วกุ้ยเฟยก็คิดจะไปเยี่ยมม่อจิ่งฉีอยู่แล้ว จะลองไปดูว่าจะแอบถามเรื่องที่ใช้ควบคุมม่อจิ่งหลีอันใดออกมาได้บ้างหรือไม่ แต่แน่นอนว่า นางไม่อาจพูดเช่นนี้ต่อหน้าม่อจิ่งหลีได้ จึงเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “ฝ่าบาทมิได้ทรงมีรับสั่งเรียกข้าไปคอยดูแลเสียหน่อย ข้าเข้าไปโดยพลการจะไม่เป็นการรบกวนฝ่าบาทหรอกหรือ”

“เช่นนั้นหรือ หลิ่วกุ้ยเฟยช่างรอบคอบนัก เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน” ม่อจิ่งหลีมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งทีหนึ่ง ท่านโชคร้ายเสียแล้ว

หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องมองแผ่นหลังม่อจิ่งหลีที่สะบัดแขนเสื้อเดินไป บนใบหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยปรากฏแววโกรธเคือง หลีอ๋องกล้าไร้มารยาทกับนางเช่นนี้เชียวหรือ!

“พระสนม?” ขันทีที่อยู่ข้างกายเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ไปสืบดูทีว่าเมื่อครู่หลีอ๋องได้ไปเฝ้าฝ่าบาทมาหรือไม่”

ขันทีรับคำสั่ง รีบเดินออกไปทันที ไม่นานก็กระหืดกระหอบกลับมา เอ่ยเสียงเบาว่า “พระสนมช่างหลักแหลมนัก เมื่อครู่หลีอ๋องเพิ่งออกมาจากการไปเฝ้าฝ่าบาทที่ตำหนักบรรทมพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ดูเหมือนจะกำลังตรงไปที่ตำหนักจางเต๋อ”

เมื่อคิดถึงไทเฮาที่ไม่เคยมองหน้านางดีๆ แล้ว สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยิ่งเย็นขึ้นไปอีก ส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “นังแก่ไม่ยอมตายนั่นยังคิดอยากสู้กับข้าอีกหรือ! นางคงอยากโชคร้ายสินะ!”

ขันทีเผยยิ้มอันชั่วร้าย “พระสนมกล่าวถูกต้องแล้ว พระสนมต่างหากที่เป็นมารดาผู้ใด้กำเนิดองค์ชายรัชทายาท ไว้รอองค์รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์ พระสนมก็จะกลายเป็นฮองไทเฮาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ใช่สิพระสนม…เมื่อครู่ข้าน้อยสืบข่าวมาได้อีกข่าวหนึ่ง เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งยกเลิกคำสั่งกักบริเวณฮองเฮา ทั้งยังได้เลื่อนตำแหน่งสนมโจวผิน เป็นเต๋อเฟย เจิ้งเจาย่วนเป็นเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

“อันใดนะ! นี่มันเกิดขึ้นเมื่อใดกัน!” หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าถอดสีทันที เอ่ยถามเสียงขรึม

ขันทีผู้นั้นก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “เพิ่งเมื่อครู่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ข้าน้อยไป คนที่จะไปถ่ายทอดราชโองการเพิ่งเดินไปทางตำหนักฮองเฮาเองพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร รีบไปตอนนี้…ไม่ได้ ไม่ทันการณ์แล้ว! เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงได้มีราชโองการเช่นนี้ หรือว่า…หลีอ๋อง?” ในใจหลิ่วกุ้ยเฟยกระตุกวาบขึ้นทันที รีบสาวเท้าออกเดินไปยังตำหนักบรรทมของม่อจิ่งฉี

ฮองเฮากับสนมที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเหล่านั้น ถึงแม้นางจะไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่เจิ้งเจาย่วนผู้นี้มีบุตรชายอยู่หนึ่งคน ปีนี้อายุได้แปดปีแล้ว เป็นเด็กเฉลียวฉลาดเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทยิ่งนัก และด้วยเพราะเหตุนี้ ถึงแม้เจิ้งเจาย่วนจะไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแต่ก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นเจาย่วน มาวันนี้ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสนมระดับเฟยทั้งสี่อย่างเสียนเฟย สนมสามสี่คนนี้หากร่วมมือกับฮองเฮาด้วยแล้ว ไม่ส่งผลดีอย่างมากต่อตัวนางเองและตระกูลหลิ่ว

เมื่อรีบร้อนเดินไปถึงหน้าประตูตำหนักบรรทม กลับถูกคนเข้าขวางไว้

หลิ่วกุ้ยเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “นี่พวกเจ้าหมายความเช่นไร ข้าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้!”

องครักษ์กลุ่มนั้นที่เฝ้าประตูอยู่ล้วนเป็นคนของม่อจิ่งหลี ที่ม่อจิ่งหลีส่งคนมาไว้ที่นี่ ก็เพื่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยทำอันใดได้ไม่สะดวก

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ องครักษ์ที่ขวางหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยอยู่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พระสนมโปรดอภัยด้วย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้รอองค์ฮองเฮาพาพระสนมเต๋อเฟยกับพระสนมเสียนเฟยมาเข้าเฝ้าขอบพระทัยในพระกรุณา นอกเหนือจากนี้ จะไม่พบหน้าผู้ใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“หากข้าจะต้องเข้าไปให้ได้เล่า” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็มข่มขู่

องครักษ์ผู้นั้นหาได้เกรงกลัวไม่ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ผู้ใดที่บุกรุกเข้าตำหนักบรรทมจะต้องรับโทษสถานหนัก”

หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟัน ในขณะที่กำลังจะโวยวายนั้น ก็ได้ยินเสียงรายงานของขันทีดังลอยมาไกลๆ ว่า “ฮองเฮาเสด็จ!”

เมื่อเห็นฮองเฮาอยู่ในชุดสีเหลืองอร่ามลายหงส์ค่อยๆ ก้าวลงมาจากเกี้ยวประดับลวดลายหงส์ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากคราก่อนที่จู่ๆ ม่อจิ่งฉีเกิดล้มป่วย อันที่จริง นางก็ไม่ได้พบหน้าฮองเฮามานานแล้ว หลายปีนี้ที่ฮองเฮาถูกกักบริเวณ นางก็เกือบลืมสตรีนางนี้ไปแล้วเช่นกัน แต่วันนี้เมื่อนางมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และยังคงมีรัศมีเปล่งประกาย ดูสูงสง่ามีราศี จนทำให้นางรู้สึกว่าต้องก้มหัวให้

“นี่กำลังทำอันใดกัน” ฮองเฮาก้าวลงมาจากเกี้ยวหงส์ มองกลุ่มคนที่กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ พลางขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น