ตอนที่ 271-1 ปฏิเสธ ตัดสัมพันธ์แม่ลูก

ชายาเคียงหทัย

“นี่กำลังทำอันใดกัน” ฮว่าฮองเฮามองหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่หน้าตำหนักด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบเอ่ยรายงานว่า “ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า นอกจากฮองเฮาแล้ว จะไม่พบผู้ใดอีกพ่ะย่ะค่ะ พอพระสนมกุ้ยเฟยเสด็จมา เหล่าข้าน้อยจึงจำต้องรั้งเสด็จเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาก็ดูจะประหลาดใจไม่น้อย ม่อจิ่งฉีโปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยเพียงใดนางย่อมรู้ดี ก่อนหน้านี้เขาเคยงัดข้อกับไทเฮาด้วยเรื่องของหลิ่วกุ้ยเฟยมาก็มิใช่น้อย นี่ไม่ได้พบหน้าเพียงไม่กี่ปี หรือจะไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วอย่างนั้นหรือ

แต่ฮองเฮาหาได้สนใจเรื่องเหล่านี้ไม่ เพียงพยักหน้าก่อนหันไปเอ่ยกับเสียนเฟย เต๋อเฟยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งว่า “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกก่อน ข้าจะเข้าไปดูก่อน”

เดิมทีเสียนเฟยและเต๋อเฟยต่างก็เป็นสตรีที่มาจากตระกูลที่มีเกียรติ แต่ด้วยเพราะมีนิสัยเรียบเรื่อย ไม่สันทัดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของม่อจิ่งฉี มาวันนี้เมื่อจู่ๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเฟย ก็มิได้ถือดีจากการได้รับความโปรดปราน จึงย่อมปฏิบัติตามรับสั่งของฮองเฮา

“หม่อมฉันจะเชื่อฟังคำสั่งของฮองเฮาเพคะ” เสียนเฟยเต๋อเฟยเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

ฮว่าฮองเฮาพยักหน้า มิได้สนใจหลิ่วกุ้ยเฟยอีก ออกเดินเข้าไปในห้องบรรทมทันที

เมื่อเข้าไปด้านในห้องบรรทม บรรยากาศภายในเย็นเยียบ ไม่มีบ่าวไพร่สักคนคอยอยู่รับใช้ ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ตนก็พอรู้ว่ายามนี้ไทเฮาไม่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องต่างๆ แล้ว ตนเองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายเช่นกัน ม่อจิ่งฉีป่วยหนักเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้ก็คงมิได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขนัก นิสัยของหลิ่วกุ้ยเฟยนางนั้นเป็นอย่างไร ฮองเฮาย่อมรู้แจ้งแก่ใจเป็นอย่างดี หากไม่มีธุระอันใดนางไม่มีทางคิดจะมาดูมาแลม่อจิ่งฉีอย่างแน่นอน

แต่กระนั้นฮองเฮาก็มิได้รู้สึกโกรธ ผ่านมาก็หลายปี เรื่องราวใดๆ ก็ล้วนผ่านมาหมดแล้ว ความผูกพันธ์ฉันสามีภรรยาที่ก็มิได้ลึกซึ้งมาตั้งแต่แรก จะยังเหลืออยู่สักกี่ส่วนกัน แค่เพียงนึกถึงบุตรสาวที่ยังมิได้พบหน้า และต้องใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง ต่อให้เป็นฮองเฮาที่ได้รับการอบรบสั่งสอนว่าสามีคือพระเจ้ามาตั้งแต่เล็กๆ ในใจก็ไม่มีทางที่จะไม่มีความโกรธแค้นอยู่

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ม่อจิ่งฉีก็หันหน้ามามองด้วยความลำบาก เมื่อเห็นสตรีท่วงท่าสง่างามที่อยู่ในชุดสีเหลืองอร่ามตรงหน้า สีหน้าม่อจิ่งฉีก็ดูมีความเหม่อลอยขึ้นมาชั่วครู่โดยไม่รู้ตัว

ฮองเฮาเป็นสตรีที่งดงาม เขารู้มาตลอด ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยเคยได้ชื่อว่าเป็นยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง ที่ม่อจิ่งฉีทั้งรักและโปรดปรานแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะงดงามไปกว่าฮองเฮา เพียงแต่ในสายตาของเขา ฮองเฮาถือเป็นภรรยาของเขา เขาเพียงให้ความเคารพนางก็เพียงพอแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ภรรยาของเขาผู้นี้มาจากตระกูลฮว่า ซึ่งเป็นแรงหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเขาก่อนที่เขาจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว ตระกูลฮว่ากลับเป็นคนที่เขาต้องคอยขัดขวาง ดังนั้นน้อยครั้งนักที่เขาจะนึกสนใจในรูปลักษณ์ของฮองเฮา เขาเพียงต้องรู้ไว้ว่านางเป็นฮองเฮาก็พอแล้ว

“เจ้ามาแล้ว…ดูท่าช่วงที่ผ่านมาคงจะสุขสบายไม่น้อย” ม่อจิ่งฉีเอ่ย แต่ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกเศร้าเสียใจ

เขานอนอยู่บนเตียง ใกล้จะตายเต็มทีแล้ว แต่เสด็จแม่เขากลับไม่มาดูดำดูดี น้องชายของเขา ขุนนางของเขา สนมรักของเขามีแต่จะรอคอยวันที่เขาตาย แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งเขาจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางกระนั้น

จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็รู้สึกอิจฉาม่อซิวเหยาขึ้นมา เขาทั้งป่วยหนักทั้งเสียโฉมเช่นนั้น แต่เยี่ยหลีก็ยังไม่ละทิ้งเขาไปไหน ครานั้นเยี่ยหลีถูกคนบีบจนต้องกระโดดลงหน้าผาไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ก็เพื่อไม่ให้ตนถูกจับตัวไปใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยา ส่วนม่อซิวเหยาก็ผมขาวทั้งศีรษะเพียงชั่วข้ามคืนด้วยเพราะเรื่องของภรรยา ม่อจิ่งฉีรู้ดีว่า เขาไม่มีทางได้รับเรื่องเช่นนี้ไปชั่วชีวิต

“ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกหม่อมฉันมาด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ” ฮว่าฮองเฮาเอ่ยถามเสียงเรียบ

ม่อจิ่งฉีเอ่ยกับนางยิ้มๆ ว่า “ข้าใกล้จะตายเต็มทีแล้ว หรือว่าไม่ควรจะพบหน้าเจ้าสักหน่อยหรือ”

ฮองเฮาขมวดคิ้ว มองม่อจิ่งฉีด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนฝ่าบาทจะมีอันใดเปลี่ยนไป พระองค์ไม่กลัวการสิ้นพระชนย์แล้วหรือ”

ม่อจิ่งฉีเป็นคนที่กลัวตายมาก เรื่องนี้ฮองเฮารู้ดีกว่าผู้ใดมาโดยตลอด

ม่อจิ่งฉียิ้มอย่างจนใจ “แน่นอนว่าข้ากลัว หากยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ผู้ใดเลยจะอยากตาย แต่เมื่อถึงยามที่เจ้ารู้แน่แล้วว่าตนกำลังจะตาย เอาเข้าจริงก็มิได้ดูน่ากลัวถึงเพียงนั้นแล้ว ทุกวันนี้ ทุกครายามที่ข้ากำลังจะหลับ มักรู้สึกประหนึ่งว่าข้าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว หากข้านอนหลับแล้วตายไปเช่นนี้ ข้าจะทำเช่นไรได้”

ฮองเฮานิ่งเงียบไม่ตอบ เมื่อได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยกับปากว่าเขากำลังจะตาย ในใจนางกลับมิได้รู้สึกวูบไหวสักเท่าไร

นางเอ่ยกับเขาเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาททรงปล่อยหม่อมฉันออกมาในยามนี้ ทั้งยังแต่งตั้งน้องโจวกับน้องเจิ้งขึ้นเป็นเฟยอีก เกรงว่าเหตุผลคงมิได้เรียบง่ายเช่นนั้นกระมัง ฝ่าบาทมีเรื่องอันใด พูดออกมาได้เลยเพคะ”

ม่อจิ่งฉียิ้มอย่างจนใจ “หลายปีมานี้…มีเพียงเจ้าที่สามารถพูดกับข้าได้ตรงๆ เช่นนี้”

“หลิ่วกุ้ยเฟยก็เป็นคนพูดตรงมากเช่นกันเพคะ” ฮองเฮากล่าว

เมื่อเอ่ยถึงหลิ่วกุ้ยเฟย สีหน้าม่อจิ่งฉีดูขรึมลงไปเล็กน้อย ถอนใจพลางเอ่ยกับฮองเฮาว่า “ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้ตอนนี้ ฮองเฮา…เมื่อข้าตายไป หากคนที่ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นจิ่งหลี บางทีเขาอาจจะยังดีต่อพี่สะใภ้อย่างเจ้า แต่หากรัชทายาทขึ้นครองราชย์ หลิ่วกุ้ยเฟยก็จะกลายเป็นไทเฮา ฮองเฮาเคยคิดหรือไม่ว่าถึงยามนั้น ตัวเจ้ากับตระกูลฮว่าจะวางตัวเช่นไร ความไม่ลงรอยกันของตระกูลหลิ่วกับตระกูลฮว่า ฮองเฮาเจ้า กับหลิ่วกุ้ยเฟย…อือ  พวกเจ้าไม่ถึงขั้นไม่ลงรอยกัน แค่เพียงหลิ่วกุ้ยเฟยฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบหน้าเจ้า ถึงยามนั้น เจ้าจะทำเช่นไร”

“ฝ่าบาทคิดอยากตรัสอันใดกันแน่เพคะ” ฮว่าฮองเฮาเอ่ยถามเสียงขรึม

เมื่อต้องเอ่ยประโยคยาวๆ เช่นนี้ ม่อจิ่งฉีก็เริ่มเหนื่อย เขาพักหายใจเขาเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า “พระโอรสที่เจิ้งเจาย่วนให้กำเนิด ปีนี้ก็อายุได้เก้าปีแล้ว เจิ้งเจาย่วนมีชาติกำเนิดต่ำต้อยไปเล็กน้อย ข้าได้ให้องค์ชายหกไปเป็นลูกของเจ้าแล้ว พอข้าตายไปแล้ว เจ้านำราชโองการของข้าไป…แต่งตั้งองค์ชายหกขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ถึงยามนั้นเมื่อเจ้ามีตระกูลฮว่ากับองค์หญิงฝูซีรวมถึงเสด็จป้าเจาหยางคอยสนับสนุน ต่อให้จิ่งหลีกับตระกูลหลิ่วไม่ยินยอมก็คงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอันใดแน่ ตระกูลเหลิ่งกับตระกูลมู่จงรักภักดีต่อข้า ขอเพียงมีราชโองการของข้า พวกเขาจะต้องสนับสนุนเจ้าแน่นอน ส่วนหลังจากนั้น…ต่อไปหลังจากนั้นคงจะขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” พูดจบ ม่อจิ่งฉีก็หลับตาลงพักผ่อน

คิ้วเรียวของฮองเฮาขมวดเข้าหากัน เอ่ยเรียบๆ ว่า “สิ่งที่พระองค์ตรัส หม่อมฉันมิอาจปฏิบัติตามได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อจิ่งฉีก็ลืมตาโพลงขึ้นมองฮองเฮาที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย กัดฟันเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใด”

ฮว่าฮองเฮาหรุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทมัวแต่พูดถึงเรื่องในราชสำนัก แต่กลับลืมที่จะเอ่ยถึงเรื่องนอกราชสำนัก ถึงแม้หม่อมฉันจะเป็นสตรีที่อยู่แต่ในวัง แต่ก็ยังพอรู้อันใดอยู่บ้าง เป่ยจิ้งบุกรุกดินแดนเราเข้ามา ซีหลิงกับเป่ยหรงก็จับจ้องเราอยู่ตาเป็นมัน เมื่อใดก็ตามที่องค์ชายหกขึ้นครองราชย์ หลีอ๋องกับตระกูลหลิ่วจะต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นตระกูลฮว่าคงถูกกดงลงไปร่วมอยู่ในการต่อสู้ของราชสำนักด้วยอีกคน ถึงยามนั้น…จะจัดการเรื่องเหล่านั้นให้เรียบร้อยได้อย่างไร ในเมื่อหม่อมฉันมีฐานะเป็นฮองเฮา เดิมทีการคอยประคับประคองสนับสนุนประมุขที่ยังเยาว์ถือเป็นเรื่องสมควร แต่หากฝ่าบาทต้องการลากตระกูลฮว่าให้ตกน้ำลงไปด้วยแล้ว ขอฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วยที่หม่อมฉันจะต้องขัดราชโองการ”

“ตระกูลฮว่าก็เป็นขุนนางของต้าฉู่!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงเข้ม

ฮองเฮาเอ่ยว่า “ฝ่าบาทรับสั่งได้ถูกต้อง บรรพบุรุษตระกูลฮว่าออกศึกเพื่อต้าฉู่ ลงไปกรำศึกในสนามรบมาก็ไม่น้อย ตระกูลฮว่ามิกล้านึกไม่พอใจแม้เพียงครึ่งส่วน แต่สิ่งที่ตระกูลฮว่าได้รับคืออันใด อันที่จริง…ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์หรือเป็นองค์ชายหกที่ขึ้นครองราชย์ ผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร จะมีอันใดต่างกัน ประมุขที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเยาว์ อำนาจโดยส่วนใหญ่ไปตกอยู่ในมือผู้อื่น การแก่งแย่งชิงดีกันในราชสำนัก จะยังมีผู้ใดมีกระจิตกระใจไปสนใจว่าแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของต้าฉู่จะเป็นเช่นไร เดิมที…เรื่องตำหนักติ้งอ๋อง เป็นฝ่าบาทที่ทรงกระทำผิดไปแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าควรทำเช่นไร” ม่อจิ่งฉีจ้องหน้านางพร้อมเอ่ยเสียงเย็น

ฮองเฮาหาได้สนใจไม่ เอ่ยด้วยท่าทีสงบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในเมื่อฝ่าบาทไม่ยินดีที่จะยกบัลลังก์ให้กับองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ยกบัลลังก์ให้หลีอ๋องเถิด องค์ชายหกไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดด้วย ฝ่าบาทได้โปรดทรงปล่อยเขาไปเถิดเพคะ”

หลายปีนี้ถึงแม้นางจะถูกกักบริเวรอยู่เป็นนาน แต่ก็ยังพอได้ยินข่าวคราวอันใดอยู่บ้าง องค์ชายหกเฉลียวฉลาดหลักแหลม เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทยิ่งนัก แต่ความโปรดปรายของม่อจิ่งฉีผู้นี้ หาใช่ทุกคนที่จะสามารถรับมือได้ หากมีหลิ่วกุ้ยเฟยกับตระกูลหลิ่วคอยจุดไฟและพัดโบกให้ไปลุกโชนแล้ว สิ่งที่องค์ชายหกจะได้รับการสั่งสอน คงมีแต่การเล่นสนุกไปวันๆ เท่านั้น สิ่งที่ควรเรียนกลับไม่ได้เรียน หากให้รัชทายาทเช่นนี้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ มีแต่จะเป็นการทำร้ายเขา

“บังอาจ!” ม่อจิ่งฉีโกรธจัด ตามมาด้วยเสียงไอหนักๆ ใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งจะมีเลือดไหลออกมา “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าตระกูลฮว่าไปเข้าเป็นพวกกับหลีอ๋องเสียแล้ว”

ฮองเฮาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตระกูลฮว่าไม่ได้เป็นพรรคพวกเดียวกับฝ่ายใดทั้งสิ้น ไม่ว่าฝ่าบาทจะมอบบัลลังก์ให้กับโอรสพระองค์ใด สิ่งที่ตามมามีแต่จะเป็นการแก่งแย่งอำนาจที่ไม่มีวันสิ้นสุด หากฝ่าบาทคิดถึงแผ่นดินของต้าฉู่จริงๆ ย่อมรู้ดีว่าทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด อีกอย่าง…ฝ่าบาทแต่งตั้งหลีอ๋องขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ทุกวันนี้หลีอ๋องมีอำนาจมากล้น ตระกูลฮว่าจะต่อสู้กับหลีอ๋องได้อย่างไร พูดไปแล้ว…ก็เท่ากับฝ่าบาทคิดอยากให้ตระกูลฮว่าตายตกไปพร้อมกับพระองค์”

ม่อจิ่งฉีพยายามข่มใจไว้ ให้ความโกรธในใจลดลงเล็กน้อยแล้วถึงได้เอ่ยว่า “เจ้ากับม่อซิวเหยามีมิตรภาพที่ดีต่อกันอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่ยังเล็ก ขอเพียงเจ้าที่เป็นฮองเฮาไปขอร้องให้ม่อซิวเหยาช่วยเหลือ เขาไม่มีทางนิ่งเฉยไม่ทำอันใดอย่างแน่นอน เขาจะต้องช่วยเจ้าจัดการม่อจิ่งหลีแน่ เจ้าเพียงต้องอบรมสั่งสอนองค์ชายหกให้ดี ต่อไปเมื่อเขาโตขึ้น ย่อมต้องเชื่อฟังและกตัญญูต่อเจ้า และจะต้องดีกับตระกูลฮว่าแน่”

ฮองเฮาอดยิ้มขื่นๆ ขึ้นไม่ได้ ส่ายหน้าถอนใจก่อนเอ่ยว่า “พูดมาตั้งนมนาน ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ ฝ่าบาท ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้…เกรงว่าเป็นเพราะท่านไม่เคยรู้จักติ้งอ๋องเลยกระมัง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยบอกกับพระองค์ว่า ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางคิดวางแผนร้าย ท่านก็ทรงไม่เชื่อ มาวันนี้หม่อมฉันขอบอกพระองค์ว่า ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางไม่คิดแก้แค้น เชื่อว่าท่านก็คงไม่เชื่อเช่นกัน ฝ่าบาททรงคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่ว่า ที่ตลอดหลายปีนี้ติ้งอ๋องไม่มีท่าทีอันใด เพราะเขามิได้ยึดติดอยู่กับความโกรธแค้น แค้นที่ท่านสังหารบิดาของเขา…เพียงไม่ต้องการอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันเท่านั้น เกรงว่าต่อให้อดีตท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ก็คงห้ามปรามติ้งอ๋องไม่ได้เช่นกัน ที่หลายปีนี้เขาไม่ลงมือทำอันใด นั่นแค่เพียงบอกว่าเขารู้จักอดทน ยิ่งเขารู้จักอดทนมากเท่าไร ก็หมายความว่า…เขาแค้นท่านมากเท่านั้น”

สุดท้ายนางหันกลับไปมองม่อจิ่งฉี ก่อนฮองเฮาจะเอ่ยว่า “หากฝ่าบาทไม่มีอันใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวทูลลาก่อน ใช่สิ หลิ่วกุ้ยเฟยมาขอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเพคะ”

พูดจบ นางก็ไม่สนใจว่าม่อจิ่งฉีคิดอยากพูดอันใดอีก หมุนตัวเดินออกไปทันที ในแววตาที่เรียบเฉยไม่มีความเศร้าโศกเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความผิดหวัง ผิดหวังที่เป็นสามีภรรยากันมาสิบปี แต่สุดท้ายแล้วเขากลับคิดแต่จะใช้ประโยชน์จากนาง