ตอนที่ 271-2 ปฏิเสธ ตัดสัมพันธ์แม่ลูก

ชายาเคียงหทัย

ด้านหลังนาง หางตาม่อจิ่งฉีมองแผ่นหลังในชุดสีเหลืองอร่มที่เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย นัยน์ตาเกิดความสับสนยากจะคาดเดา ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็อดทนไว้อีกไม่ไหว กระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด

ทางด้านนอก เมื่อเห็นฮองเฮาเดินออกมา ทุกคนต่างก็รีบก้าวเข้าไปหา

ฮองเฮาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทพระวรกายไม่ค่อยแข็งแรง เต๋อเฟย เสียนเฟย พวกเจ้าขอบพระทัยอยู่ที่หน้าประตูแล้วก็กลับไปเถิด”

เต๋อเฟยกับเสียนเฟย ปีๆ หนึ่งได้พบหน้าฝ่าบาทเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น หลายปีผ่านมาก็เริ่มเคยชินเสียแล้ว จึงมิได้รู้สึกผิดหวังอันใดนัก พวกนางทำตามรับสั่งของฮองเฮา เพียงคุกเข่าโขกศีรษะคารวะขอบพระทัย แล้วก็ตามกลับไปพร้อมกับฮองเฮา

ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟย นางจ้องประตูตำหนักที่ปิดสนิทอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถึงได้สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอีกคน

ข่าวในวังหลวงถูกส่งออกไปนอกวังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีกำลังหารือกันว่าควรไปคารวะเข้าเยี่ยมองค์หญิงเจาหยางหรือไม่นั้น จั๋วจิ้งก็ก้าวเข้ามารายงานแล้ว

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม

จั๋วจิ้งเอ่ยด้วยความเคารพว่า “เพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ ม่อจิ่งฉียกเลิกการกักบริเวณฮองเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังได้แต่ตั้งโจวผินขึ้นเป็นเต๋อเฟย เจิ้งเจาย่วนขึ้นเป็นเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็เลิกคิ้ว เอนตัวพิงเก้าอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ดูท่าม่อจิ่งฉีคงใกล้จะไม่ไหวเต็มทนแล้ว”

เยี่ยหลีกับจั๋วจิ้งหันมองไปทางเขาโดยไม่รู้ตัว

เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”

ม่อซิวเหยายิ้ม “ม่อจิ่งฉีเตรียมจัดการเรื่องหลังตนตายแล้ว ย่อมใกล้จะไม่ไหวเต็มทีแล้ว”

จั๋วจิ้งไม่เข้าใจ “แต่ม่อจิ่งฉีมิได้แต่งตั้งบุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นรัชทายาทแล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ จะจัดการเรื่องหลังที่ตนเองตายแล้วเกี่ยวอันใดกับฮองเฮากับสนมโจวกับสนมเจิ้งสองนางนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาปรบมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ม่อจิ่งฉีผู้นี้เป็นโรคขี้ระแวงอย่างหนัก อีกทั้งมีแค้นก็ต้องชำระ ช่วงนี้ที่ม่อจิ่งหลีกับตระกูลหลิ่วแก่งแย่งชิงดีกัน เขาจะไม่สนใจได้อย่างไร ยิ่งวันนี้หลิ่วกุ้ยเฟยประพฤติตัวเช่นนี้อีก…ม่อจิ่งฉีไม่มีทางยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับองค์รัชทายาทอีกแน่ ในเมื่อไม่อยากส่งต่อให้องค์รัชทายาท และไม่อยากยกให้ม่อจิ่งหลี เขาย่อมต้องหาคนที่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งคนใหม่”

จั๋วจิ้งเข้าใจในบัดดล เอ่ยว่า “องค์ชายหกที่เป็นบุตรชายของเจิ้งเจาย่วน”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ม่อจิ่งฉีน่าจะรู้ว่ายามนี้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว เขาก็รู้ว่าข้ากับฮองเฮาและฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ามีมิตรสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อเห็นแก่หน้าของฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ากับฮองเฮา ไม่แน่ว่าข้าอาจปล่อยวางเรื่องก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งช่วยนางจัดการกับปัญหาตรงหน้า”

เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นท่านจะทำหรือไม่”

“เขาวาดฝันจนเกินไป หรือว่าเขาคิดว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่กินอาหารคนแล้วอย่างนั้นหรือ”

ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ควรเข้าวังไปพบหน้าเขาสักหน่อยแล้ว หากช้าไปอีกนิด อาจจะไม่ทัน”

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นตามเขา “ข้าไปด้วย”

ที่ตำหนักของม่อจิ่งหลีก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน เมื่อได้ยินข่าวที่บ่าวไพร่เข้ามารายงาน ม่อจิ่งหลีก็หัวเราะเสียงเย็น “เสด็จพี่ฮ่องเต้ของข้าผู้นี้จะไม่รามือเลยจริงๆ สินะ เวลาผ่านไปเพียงเท่านี้แล้ว เขายังจะหาเรื่องให้ข้าจัดการได้มากเพียงนี้เชียว”

องค์หญิงซีสยาที่เอนซบอยู่กับม่อจิ่งหลี เอ่ยถามเสียงหวานว่า “ท่านอ๋องมีแผนเช่นไรหรือเพคะ”

ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเย็นว่า “เข้าวัง ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่”

ด้านนอกตำหนักบรรทม ไทเฮาเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าหนักใจ องครักษ์ที่ด้านหน้าตำหนักย่อมไม่กล้าขวางไว้ รีบหลีกไปทางหนึ่งพร้อมเชิญไทเฮาให้เสด็จเข้าด้านในด้วยความเคารพ

ไทเฮาเดินเข้าไปก็เห็นว่าม่อจิ่งฉีกำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ผ้าห่มบริเวณหน้าอกมีรอยเลือดเลอะอยู่ดวงใหญ่ จึงรีบเข้าไปเอ่ยเรียกว่า “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่อจิ่งฉีถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเป็นไทเฮาก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เสด็จแม่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจไทเฮาถึงเกิดรู้สึกผิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางเบนหน้าหลบไม่กล้าสบตากับเขา

ม่อจิ่งฉีก็มิได้สนใจ ยิ้มเรียบๆ เป็นความอบอุ่นและสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นในอก มองรอยเลือดที่อยู่บนตัวม่อจิ่งฉี แล้วไทเฮาก็ลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าสุนัขรับใช้พวกนี้หนีไปอยู่ไหนกันหมด! ผ้าห่มบนตัวของฝ่าบาทเหตุใดถึงไม่มาเปลี่ยน!”

“ช่างเถิด เสด็จแม่ ข้าอย่างอยู่สงบๆ สักครู่ ถึงได้ให้พวกเขาถอยไปก่อน” ม่อจิ่งฉีเอ่ยขัดรับสั่งไทเฮาเรียบๆ

ไทเฮารู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาชั่วขณะ กลับนั่งลงอีกครั้ง มองม่อจิ่งฉีด้วยความสงสาร “ฝ่าบาท เจ็บตรงใดหรือเปล่า รีบบอกข้ามา…”

ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “ไม่มีอันใด ลูกรอเสด็จแม่มาตลอด ลูกมีเรื่องบางอย่างอยากรบกวนเสด็จแม่ ขอให้เสด็จแม่เห็นแก่ที่เป็นความตั้งใจสุดท้ายของลูกด้วย ช่วยทำให้ลูกสมประสงค์ด้วยเถิด”

ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ลูกกัน เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ มีหรือไทเฮาจะอดทนอยู่ได้ น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าเสียนานแล้ว นางจับมือม่อจิ่งฉีไว้ รีบเอ่ยว่า “ลูก เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดกับแม่ก็พูดมาเถิด แม่จะต้องทำให้ได้ ลูกที่น่าสงสารของแม่…”

ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “หลังจากลูกตายไปแล้ว ฮ่องเต้ที่ยังเยาว์ขึ้นนั่งบัลลังก์ คงมีเรื่องที่ไม่ราบรื่นบ้างเป็นธรรมดา จิ่งหลียามนี้มีตำแหน่งสูง อำนาจล้มมือ คำพูดของเสด็จพี่อย่างข้าก็คงไม่ฟังอีกแล้ว ต่อให้ฟังแต่หากข้าตายไปแล้ว ก็คงไม่มีประโยชน์ เพียงขอร้องให้เสด็จแม่เห็นแก่ที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นหลานของท่าน ช่วยดูแล…”

ยังไม่ทันพูดจบ ไทเฮาก็หยุดร้องไห้ เอ่ยขัดม่อจิ่งฉีว่า “เหลวไหล? ! เจ้าจะยกบัลลังก์ให้บุตรของนังแพศยาแซ่หลิ่วนั่นจริงๆ หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปก่อเรื่องอันใดมา ม่อซิวเหยาเพิ่งกลับมาเมืองหลวง นางก็รีบแจ้นไปกราบไหว้บรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋อง เรื่องการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเช่นนี้ ใช่เรื่องที่สนมในวังหลังอย่างนางจะตัดสินใจเองได้หรือ แล้วนางไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษของผู้ใดกัน แล้วยังเชิญติ้งอ๋องให้ไปดื่มชาพูดคุยเรื่องเก่ากันกลางถนนอีก ทำลายเกียรติของราชวงศ์เราเสียจนสิ้น สตรีเช่นนี้ สตรีเช่นนี้หากฝ่าบาทยกบัลลังก์ให้กับบุตรชายของนางจริงๆ เคยคิดหรือไม่ว่าต่อไปนางจะทำอันใด นางจะคอยช่วยเหลือดูแลฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้อย่างไร เกรงว่าคงได้พลีกลายถวายชีวิตให้ม่อซิวเหยาแทน ฝ่าบาท…เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว…”

“เสด็จแม่…” ม่อจิ่งฉีหัวเราะเยาะตนเอง สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วถึงเอ่ยขัดไทเฮา ถามว่า “เช่นนั้นเสด็จแม่ตั้งพระทัยไว้เช่นไร”

ไทเฮาลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท นี่ล้วนเป็นเรื่องโชคชะตา…จิ่งหลีก็เป็เด็กดี ยามนี้เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าก็รู้ดีถึงสถานการณ์ทางฝั่งซีหลิง หากเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนั้น จะไม่ยิ่งเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอาหลานหรือ สุดท้ายคงมีสักวันที่จะเกิดเรื่องขึ้นภายในกำแพงบ้าน หากเป็นเช่นนั้น สู้…สู้ยกบัลลังก์ให้จิ่งหลีไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ต่อไปเขาจะต้องปฏิบัติต่อหลานๆ ด้วยดีอย่างแน่นอน ต่อให้ข้าตายก็จะต้องปกป้องบรรดาหลานๆ ไว้ให้จงได้”

“เสด็จแม่!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงเข้ม ถลึงตามองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมดุ “เสด็จแม่! ท่านไม่รู้หรือว่าที่ข้าต้องอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะม่อจิ่งหลี!”

“ฝ่าบาท…” ไทเฮาขมวดคิ้วมองม่อจิ่งฉี นางย่อมรู้ดี นางก็โกรธที่บุตรชายคนเล็กลงมือทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร้ความปราณีเช่นนี้ แต่ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว นางเสียบุตรชายไปคนหนึ่งแล้ว นางยังจะต้องเสียอีกคนไปอีกหรือ ที่นางเลือกทำเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่ายมิใช่หรือ หากบีบบังคับจนจิ่งหลียกทัพฮือขึ้นมา ถึงยามนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของราชสำนักที่ยังทรงพระเยาว์จะต่อต้านเขาไว้ได้อย่างไร

“หึหึ…” เมื่อเห็นไทเฮาขมวดคิ้วมองมาที่ตน จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา แต่หลังจากนั้นเสียงหัวเราะนั้นก็ฟังดูเจ็บปวดและเย็นเยียบประหนึ่งเสียงร้องไห้ฮือๆ

เมื่อหัวเราะจนหนำใจแล้ว ม่อจิ่งฉีถึงได้เงยหน้าขึ้น ชี้หน้าไทเฮาพลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่…ท่านช่างเป็นเสด็จแม่ที่ดีของข้านัก…หึหึ…”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของบุตรชาย ไทเฮาเองก็ได้แต่กรีดน้ำตาตาม “ฝ่าบาท เจ้าอย่าได้โทษแม่เลย แม่ต้องทำก็เพราะความจนใจ”

“มันให้ประโยชน์อันใดกับท่าน” จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็เอ่ยถามขึ้น

ไทเฮาอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที แววตาที่มองสบกับม่อจิ่งฉีมีแวววูบไหวประหนึ่งเปลวเทียน เสมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น

ม่อจิ่งฉีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว หึหึ…สิ่งที่ข้าไม่ได้ พวกท่านก็อย่าคิดว่าจะมีใครได้ไปเลย! ไสหัวไป!”

“ฝ่าบาท เจ้า…”

“ไป!”