ตอนที่ 236 ทำให้ศัตรูกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 236 ทำให้ศัตรูกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์

“คุณหนูใหญ่ เหตุใดเจ้าถึงต้องตื่นตระหนกร้อนรนถึงเพียงนี้” ซูหวานหว่านกระตุกยิ้ม และรู้สึกว่าคงจะถึงเวลาให้ตัวเองได้มีวันหยุดพักเสียแล้ว นางจึงพูดออกมาว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ให้เงินข้าเล่า ข้าจะได้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างมีความสุข”

ถ้าหากซูหวานหว่านเข้าใจความหมายนี้ นางจะยังทำเช่นนี้อีกหรือไม่ เฉียวหน่วนอวี้ขมวดคิ้ว และรู้สึกเกลียดซูหวานหว่านมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ครู่หนึ่งนางก็รู้สึกว่าใบหน้าของซูหวานหว่านดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก นางมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายกับฮูหยินเฉียว!

“ใบหน้าที่แสนธรรมดานั้นน่าเกลียดเสียจริงเชียว!” เฉียวหน่วนอวี้พึมพำออกมา นางจ้องไปที่คนใช้และเอ่ยว่า “รีบพาตัวนางออกไปเดี๋ยวนี้!”

เหล่าคนรับใช้ลากตัวซูหวานหว่านออกไป และนางก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อหญิงสาวกำลึงจะออกไป นางก็พูดออกมาว่า “เจ้าต้องการเงินหลายพันตำลึงหรือไม่?”

เงินหลายพันตำลึง! คนใช้คนนั้นรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่เมื่อสำรวจการแต่งกายของซูหวานหว่านก็พบว่านางแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้น ดูท่าทางจนมาก จึงจ้องมองซูหวานหว่านและพูดออกมาอย่างชั่วร้าย “เจ้าหุบปากแล้วรีบเดินซะ!”

“เจ้าไม่เชื่ออย่างงั้นเหรอ หากเจ้าไม่เชื่อให้ข้ารออยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม แล้วจะมีคนมาส่งเงินให้กับเจ้าหนึ่งพันตำลึง!” ซูหวานหว่านเห็นว่าแววตาของคนใช้คนนั้นเปล่งประกายขึ้น นางก็รู้ว่าตัวเองทำสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว จึงพูดออกมาอย่างช้า ๆ อีกครั้งว่า “แต่ก็นะ ถ้าเจ้าลากข้าออกไปแล้วจับไปโยนทิ้งหรือฆ่าแล้วล่ะก็ มันก็ไม่เป็นอะไร”

แน่นอนว่าเขาต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน จึงได้พาตัวซูหวานหว่านไปซ่อนในกระท่อมที่เขาอาศัยอยู่และขังเอาไว้ ซูหวานหว่านถอนจิตเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อหาของออกมากิน แต่บังเอิญพบว่าที่ดินที่นางได้มาเพราะแต้มคะแนนฉีเฉิงเฟิงมีต้นไม้งอกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เหมือนอย่างที่หลิงเชอเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย ฉีเฉิงเฟิงมีความคิดที่ลึกซึ้งต่อนางรึ?

ซูหวานหว่านเริ่มสนใจว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ แต่พอพบว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องของฉีเฉิงเฟิงขึ้นมา นางก็อยากที่จะตบตัวเอง ก่อนย้ำเตือนตัวเองว่าฉีเฉิงเฟิงเป็นคนขี้โกหก เขาไม่มีคุณสมบัติให้นางต้องนึกถึงอีกต่อไป!

ซูหวานหว่านตำหนิตัวเองอยู่ภายในใจพร้อมกับเคี้ยวขนมในปากอย่างหงุดหงิด และทันใดนั้นประตูของกระท่อมก็เปิดออก คนใช้คนนั้นจ้องมองไปที่ซูหวานหว่าน “นี่มันก็หนึ่งชั่วยามแล้ว! ทำไมถึงยังไม่มีใครมาส่งเงิน เจ้ารีบลุกขึ้นออกไปกับข้าเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าจะฆ่าข้าจริง ๆ อย่างงั้นเหรอ ข้าอยากจะถามว่าใครกันที่เป็นคนสั่งให้เจ้ามาฆ่าข้ากัน” ซูหวานหว่านถามออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าก็แค่อยากจะช่วยฮูหยินเฉียว และหาคนที่อยู่เบื้องหลังในการฆ่าข้าด้วย! ข้าอยากที่จะช่วยฮูหยินเฉียวเท่านั้น ข้าผิดมากเลยเหรอ?”

ทำไมจู่ ๆ ซูหวานหว่านถึงกลายเป็นคนแบบนี้ได้ คนใช้คนนั้นชะงักไปครู่หนึ่งและรู้สึกสับสน เขาจ้องมองไปซูหวานหว่าน แต่เหลือบไปมองเงาสูงที่อยู่ด้านหน้าจึงหันกลับทันที คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขานั้นคือผู้ดูแลฮูหยินเฉียว พ่อบ้านหวัง!

แผ่นหลังของเขาเย็บวาบ และเมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของซูหวานหว่านอีกครั้ง เขาก็รู้ทันทีว่าทำไมซูหวานหว่านถึงพูดออกมาแบบนั้น เพราะนางรู้อยู่แล้วว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังของเขา นอกจากนี้ยังดูเหมือนนางจะรู้ว่าถ้านางหายตัวไปจะต้องมีคนออกมาตามหา! แล้วเงินพันตำลึงก็เป็นเพียงกลอุบายหลอกเขาเท่านั้น!

ยิ่งคนใช้คนนั้นคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ทำให้มีเหงื่อไหลซึมออกมาตามหน้าผาก และพูดออกมาอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า “พ่อบ้านหวัง บังเอิญจัง ท่าน…ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย!”

“บอกข้ามาว่าใครเป็นคนสั่งให้เจ้าฆ่าแม่นางซู!” พ่อบ้านหวังถามออกมาตรง ๆ พร้อมกับดึงมีดที่เอวออกมาจี้ไปที่คอของชายคนนั้นทันที “บอกมาข้ามาเดี๋ยวนี้! ว่าใครเป็นคนสั่งให้มาลักพาตัวแม่นางซู อีกทั้งยังหมายเอาชีวิตฮูหยินอีก!”

“คือ…” ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว ขาแข้งก็พลันไร้เรี่ยวแรงจนอยากจะคุกเข่าลง แต่เขาลืมนึกถึงคมมีดที่จี้คอของตนเอาไว้ ทำให้พลาดท่าถูดมีดแทงคอจนตาย!

“น่าเสียดาย ข้ายังไม่ได้รู้เลยว่าตกลงเป็นใครกัน!” พ่อบ้านหวังส่ายหัวไปมา โค้งคำนับให้ซูหวานหว่าน “แม่นางซูคงจะตกใจมากสินะ ตอนนี้ฮูหยินเฉียวแน่นหน้าอก ข้าเลยอยากจะรบกวนให้แม่นางซู่รีบกลับไปต้มยาให้กับฮูหยินขอรับ”

“ตกลง” ซูหวานหว่านพยักหน้าตอบรับโดยนางจะไปที่ห้องครัวเพื่อต้มยาให้ แต่เมื่อนางกลับมาถึงก็พบว่าห้องครัวถูกปิดเอาไว้ นางเลยต้องเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อต้มยา เมื่อต้มยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นำมันออกมา

หลังจากที่ฮูหยินเฉียวได้ดื่มยาเข้าไป นางก็รู้สึกดีขึ้นมากและให้เงินรางวัลตอบแทนซูหวานหว่าน นางรับเงินนั้นมาโดยดี แต่ดูเหมือนว่าซูหวานหว่านจะคิดอะไรบางอย่างออกและพูดออกมาว่า “ฮูหยิน ถ้าท่านนอนที่นี่มันจะอันตรายมาก แล้วในพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแต่งงานของคุณหนูใหญ่ ตอนนี้ภายในเรือนถูกประดับด้วยโคมแดง คืนนี้ท่านไปค้างกับคุณหนูใหญ่ก่อนดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ?”

สิ่งที่ซูหวานหว่านคิดก็คือหากฮูหยินเฉียวไปนอนกับเฉียวหน่วนอวี้ เฉียวหน่วนอวี้คงจะไม่โง่ที่จะลงมือฆ่าฮูหยินเฉียวแน่ และนางก็จะได้นอนหลับได้อย่างสนิทใจสักคืน

แต่ว่าฮูหยินเฉียวกลับพูดออกมาว่า “ไม่จำเป็น ข้ามีเวลาคุยกับนางอีกมาก”

“ทำไมเล่า?” ไม่ใช่เหลือแค่วันเดียวหรอกหรือ ซูหวานหว่านกำลังจะถามออกมา แต่ฮูหยินเฉียวกลับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย มองออกไปไกลด้วยใจที่หนักอึ้ง ซูหวานหว่านจึงไม่เอ่ยถามอะไรออกมา

ซูหวานหว่านกำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงร้องอันโกรธเกรี้ยวของเฉียวหน่วนอวี้ดังออกมาจากนอกประตูห้อง “ท่านแม่! ท่านต้องไปพูดกับองค์ชายสามนะท่านแม่! ข้าไม่ต้องการให้แม่นมมาตรวจสอบร่างกายของข้า! ข้าเป็นขององค์ชายสามนานแล้ว แล้วเหตุใดพวกเขาต้องเลื่อนงานแต่งออกไปอีกตั้งครึ่งเดือน แล้วยังบอกให้ข้าพักผ่อนอีก ถ้าให้แม่นมมาตรวจร่างกายของข้าแล้วจะทำอะไรหลังจากนั้น เขาจะไม่ปัดความรับผิดชอบใช่หรือไม่?”

อะไรนะ? วันแต่งงานถูกเลื่อนออกไป? ซูหวานหว่านรู้สึกดีใจมาก ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้ เฉียวหน่วนอวี้มองไปที่ซูหวานหว่านพร้อมกับตกใจขึ้นมาทันที “เจ้า ทำไมเจ้าถึง…”

นางเกือบจะพูดเรื่องสกปรกที่นางได้สั่งให้คนใช้ของนางไปทำ เฉียวหน่วนอวี้รีบปิดปากทันที ซูหวานหว่านมองไปที่นางและเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านคงจะอยู่แต่ในเรือนนานเกินไปนะเจ้าคะ ถึงไม่รู้เรื่องข่าวลือภายนอก มีข่าวลือว่าท่านตกเป็นขององค์ชายสามแล้ว แต่ก็มีข่าวลืออีกอย่างว่าองค์ชายสามไปนอนที่โรงเตี๊ยมที่อื่นในคืนนั้น เพราะว่ามันเป็นแผนการที่โรงเตี๊ยมใช้องค์ชายสามดึงดูดลูกค้าให้มาเข้าพักแต่เพียงเท่านั้น ข่าวลือหนาหูมาก และองค์ชายสามก็ออกไปนอนที่โรงเตี๊ยมอื่นตั้งนานแล้ว ขอถามท่านหน่อย… ว่าคืนนั้นท่านตกเป็นของใครกันแน่?”

ซูหวานหว่านยิ้มเยาะเย้ยออกมา แต่เฉียวหน่วนอวี้กลับรู้สึกโกรธเกรี้ยว ร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน ‘คืนนั้น…’ ยิ่งนางคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ความหวังที่จะพึ่งพาซูหวานหว่านก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน นางจึงเอ่ยถามออกมา “จริงหรือที่เรื่องที่เจ้าพูดก่อนหน้านั้นมันสามารถทำได้”

“แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง” ซูหวานหว่านเหลือบไปมองเฉียวหน่วนอวี้และหัวเราะประชดประชัน “แต่ว่ามันไม่ใช่ในราคาหนึ่งหมื่นตำลึงแล้วนะเจ้าคะ!”

หนึ่งหมื่นตำลึงเป็นราคาที่สูงมาก แต่ซูหวานหว่านยังคงจะเพิ่มราคาที่สูงขึ้น มันจะมากเกินไปเแล้ว! และ…นางไม่ต้องการเสียเงินให้กับซูหวานหว่านแม้แต่หนึ่งพันตำลึงด้วยซ้ำ!

เฉียวหน่วนอวี้พูดออกมาอย่างเย็นชา “ข้าสามารถให้เงินเจ้าได้มากสุดเพียงร้อยตำลึงเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่เอาข้าก็ไม่ทำ!”

เฉียวหน่วนอวี้คิดว่าซูหวานหว่านคงไม่เคยถือเงินร้อยตำลึงมาก่อน ตอนนี้ซูหวานหว่านควรที่จะขอบคุณนางเสียด้วยซ้ำ แต่ซูหวานหว่านกลับพูดว่าออกมาว่า “หนึ่งแสนตำลึง ไม่ต้องต่อรอง! หากเจ้ายังต่อรองอีก ข้าจะเอาจะสักหนึ่งล้านตำลึงเลยเป็นไง!”

ซูหวานหว่านขอมากเกินไปแล้ว! นางจะไปหาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาจากที่ไหน เฉียวหน่วนอวี้ จ้องมองซูหวานหว่าน แล้วคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้นางก็กัดฟันพูดออกมา “ก็ได้ ข้ารับปากกับเจ้า! ในตอนนี้เจ้าก็รีบทำให้ข้ากลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์อีกครั้งสิ!”

ด้วยนิสัยของนางที่เป็นแบบนี้ นางกลับตอบตกลงออกมา ซูหวานหว่านจึงเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หากว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำให้เยื่อพรหมจรรย์ของเจ้านั้นกลับมา เจ้าจะต้องนั่งคุกเข่าขอร้องข้า!”