บทที่ 483 หวีหยก

บทที่ 483 หวีหยก

หลังจากซูหว่านเอ๋อโทรมาชวน อวี้ฮ่าวหรานก็จำได้ว่าตัวเองยุ่งกับงานที่บริษัทจนไม่มีเวลาว่างไปที่งานประมูลวัตถุโบราณหลายวันแล้ว

เมื่อวางสาย เขาก็ลุกยืนขึ้นทันที

“แค่นี้แหละ วันนี้พวกคุณกลับไปก่อน แล้วอย่าลืมทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดล่ะ”

ด้วยความเชื่อใจที่มีต่อลูกน้อง เขาจึงสามารถออกไปทำธุระที่อื่นได้ทุกเมื่อ

ธุระสำคัญที่ต้องจัดการถูกส่งต่อให้หวังจุนแล้ว

แน่นอนว่าเงินเดือนอีกฝ่ายก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเช่นกัน

หลังจากลงมาถึงชั้นล่าง อวี้ฮ่าวหรานก็โทรหาซูหว่านเอ๋ออีกครั้ง

“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวผมไปรับ”

“เอ่อ…คุณว่างแล้วเหรอคะ?”

ซูหว่านเอ๋อประหลาดใจเล็กน้อย

“งานเริ่มสิบโมงใช่ไหม? ผมใกล้ถึงแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองนาฬิกาข้อมือและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงแล้ว

“ค่ะ ฉันกำลังเตรียมตัวอยู่ที่บ้านค่ะ”

“ครับ ผมจะไปบ้านคุณเดี๋ยวนี้แหละ”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

คฤหาสน์ตระกูลซู

“ว่าไงหลานชาย! เจอกันอีกแล้ว!”

ซูกว่างไห่ที่อยู่ข้างนอกคฤหาสน์ทักทายเขา ทันทีที่รถสปอร์ตหยุดลง อีกฝ่ายก็ทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ากระอักกระอ่วนมากกว่าตอนเจอกันครั้งแรกซะอีก

เขารู้สึกไม่สบายใจกับการกระทำอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ซูหว่านเอ๋อล่ะครับ? ผมมารับเธอ”

อวี้ฮ่าวหรานคร้านเดินกว่าจะพูดคุยกับอีกฝ่ายจึงถามตรงประเด็น

“ฉันอยู่นี่ค่ะ”

ซูหว่านเอ๋อเดินออกมาจากสวนด้านหลังคฤหาสน์ เธอสวมชุดสีขาว ซึ่งดูสง่างามราวกับหงส์

เธอถือดอกกุหลาบสีแดงในมือ ขณะที่หน้าผากมีเม็ดเหงื่อสองสามเม็ด

“ฮ่า ๆ ยัยหนูร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กน่ะ เธอเลยต้องเรียนการทำสวนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน”

ซูกว่างไห่ที่อยู่ข้าง ๆ อธิบาย

“ครับ ไปกันเถอะ”

อวี้ฮ่าวหรานชำเลืองมองอีกฝ่ายและพบว่าใบหน้าเธอยังมีร่องรอยความอ่อนเพลียอยู่ ดูเหมือนว่าร่างกายเธอยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์

นั่นเป็นเพราะร่างกายเธออ่อนแอยังไงล่ะ ถ้าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง คนเหล่านั้นคงหายป่วยภายในสองวันโดยไม่ต้องกินยามากมายด้วยซ้ำ

ทั้งสองขึ้นไปบนรถ…

ซูกว่างไห่มองรถสปอร์ตเคลื่อนตัวออกไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“ถ้ายัยหนูได้แต่งงานคนผู้ชายแบบนี้ก็ดีน่ะสิ เธอจะได้ไม่เกิดมาไร้ค่า”

เวลาเก้านาฬิกาสี่สิบนาที ณ ทางเข้างานประมูล

“โอ้! ประธานอวี้มาถึงแล้วเหรอครับ! พวกเรารอคุณที่นี่นานแล้ว”

เมื่อมาถึงหน้างานประมูล ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้จัดงานทักทายพวกเขา

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกโจวเฟยหู่ให้มาด้วย

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก

ไม่นานทั้งสองคนก็ถูกพาไปที่ห้องวีไอพีหมายเลขสี่

“ผมเก็บของเก่าชิ้นนี้ไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลยครับ”

ผู้บริหารคนนั้นประจบประแจง

“อืม คุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะครับ”

งานประมูลใกล้เริ่มขึ้นแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงโบกมือให้อีกฝ่ายกลับไป

หลังจากคนนอกออกไปจนหมดแล้ว ดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“คุณมาที่ห้องวีไอพีทุกครั้งเลยเหรอคะ?”

“ใช่ครับ”

“ฉันเพิ่งมีโอกาสเข้ามาในห้องวีไอพีครั้งแรกเลยค่ะ”

ซูหว่านเอ๋อถอนหายใจพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย

“ฮ่า ๆ ผมจะสั่งพวกเขาเอาไว้แล้วกัน ถ้าคุณมาเมื่อไหร่ พวกเขาจะได้พาคุณมาห้องวีไอพีทุกครั้ง”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ

“ย…อย่ารบกวนเลยค่ะ นั่งข้างนอก…ก็ดีเหมือนกัน”

ซูหว่านเอ๋อรู้สึกปลาบปลื้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ไม่ว่าจะนั่งข้างนอกหรือข้างในก็ไม่มีผลต่อการประมูลอยู่ดี”

“ไม่ได้หรอก คุณเป็นผู้หญิงบอบบางจะเสนอราคาสู้ตาอ้วนพุงพลุ้ยได้เหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลก

“จริงสิ…บางครั้งพวกเขาชอบมากวนใจฉัน แต่ว่าฉันพาบอดี้การ์ดมาด้วยทุกครั้งเหมือนกัน”

ซูหว่านเอ๋อพยักหน้า

เธอเข้าร่วมการประมูลบ่อยครั้ง และมักเจอเรื่องกวนใจเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดร่างกำยำ เธอก็ไม่รู้จะจัดการกับคนพวกนั้นยังไง

“ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถมาที่ห้องนี้ได้ทุกครั้ง ความจริงแล้วผมไม่ได้มาที่นี่บ่อยเท่าไหร่หรอก”

พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานจึงนั่งลงบนเก้าอี้

ซูหว่านเอ๋อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดริมฝีเบา ๆ พร้อมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

การประมูลกำลังจะเริ่มในไม่ช้า

“หยกทองคำ! เครื่องรางนำโชค! รายการประมูลแรกของวันนี้คือหยกฝังทองคำ…”

หลังจากพิธีกรแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว ผู้คนในห้องก็เริ่มการประชุมทันที

ไม่มีการเคลื่อนไหวในห้องวีไอพีหมายเลขสี่

“หือ? ยังไม่ถูกใจเหรอครับ?”

อวี้ฮ่าวหรานมองหยกทองคำในมือของพิธีกรขณะถามหญิงสาวข้าง ๆ

“ฉันมีอยู่แล้ว เอ่อ…ความจริงวันนี้ฉันเอาเงินติดตัวมาไม่มากเลยต้องเก็บไว้ซื้อของอย่างอื่นน่ะค่ะ”

ซูหว่านเอ๋อพยักหน้าพลางพลิกดูหนังสือเล่มเล็กในมือ ก่อนมองหวีหยกเล่มเล็ก

“มันสวยมาก ฉันเคยเห็นมันในหนังสือเล่มหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์โจว”

“คุณตั้งใจมาประมูลสิ่งนี้เหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้าขึ้นแล้วมองหวีหยกอันประณีตสวยงาม บนด้ามหวีสลักลายมังกรและนกเฟิ่งหวง ซึ่งดูละเอียดอ่อนมากทีเดียว

“ค่ะ ฉันเคยมีหวีหยกแบบนี้หนึ่งอัน แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นทำมันพัง”

ซูหว่านเอ๋อพยักหน้าก่อนหันมองชายหนุ่มข้าง ๆ ด้วยดวงตากลมโตราวกับไข่มุกสีดำ

“แล้วคุณล่ะ? มาที่นี่เพราะอยากได้อะไรเหรอคะ?”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบขึ้นมองหยกมองคำที่ปราศจากพลังวิญญาณบนเวทีพร้อมส่ายศีรษะเบา ๆ

“ผมไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่ถูกใจอันไหนก็ซื้ออันนั้น”

“คุณแปลกจริง ๆ”

ซูหว่านเอ๋ออุทานด้วยความสงสัยเล็กน้อย

สิ่งของที่ถูกนำออกมาประมูลเป็นลำดับที่สามคือหวีหยก เนื่องจากรูปลักษณ์ที่สวยงาม แถมยังได้รับการดูแลรักษาอย่างดี การประมูลจึงดุเดือดอย่างมาก

“ห้องวีไอพีหมายเลขสี่เสนอราคาสิบเอ็ดล้านหยวน!”

ซูหว่านเอ๋อเสนอราคาจากเก้าล้านหยวนเป็นสิบเอ็ดล้านหยวน

ตอนนั้นเองผู้คนมากมายในห้องประมูลต่างเงียบลง

อวี้ฮ่าวหรานอดชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้

“เป็นข้อเสนอที่ฉลาดจริง ๆ”

ปกติแล้วผู้คนส่วนใหญ่มักไม่เสนอราคาสูงขนาดนี้ ยกเว้นพวกเขาจะถูกใจของสิ่งนั้นจริง ๆ

แต่น่าเสียดาย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนเสนอราคาอีกครั้ง

“หมายเลขสิบแปดเสนอราคาสิบสองล้าน!”

“ห้องวีไอพีหมายเลขสามเสนอราคาสิบสี่ล้าน!”

ราคาประมูลเพิ่มเป็นสิบสี่ล้านอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นอย่างนั้น คิ้วของซูหว่านเอ๋อจึงขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้

“เฮ้อ…เกินงบแล้วสินะ”

แต่ครู่ต่อมา เธอยังคงเสนอราคาด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม

“ห้องวีไอพีหมายเลขสี่เสนอราคาสิบเจ็ดล้าน!”

ทันทีที่ได้ยินราคานี้ ผู้คนในห้องประมูลก็เงียบลงอีกครั้ง

เนื่องจากราคาประมูลหวีชิ้นนี้สูงจนเกือบเต็มเพดานราคาแล้ว ถ้าเสนอราคามากกว่านี้แม้แต่นิดเดียว ผู้ประมูลอาจขาดทุนได้

แต่ห้องวีไอพีหมายเลขสามก็เสนอราคาอีกเช่นกัน!

“ห้องวีไอพีหมายเลขสามเสนอราคาสิบเก้าล้านหยวน!”

คนคนนั้นเสนอราคาเพิ่มอีกสองล้าน!

ผู้ชมในห้อง รวมไปถึงห้องวีไอพีหมายเลขสี่ต่างไม่ตอบโต้

“หึ อยากสู้กับนายน้อยเหรอ? ไม่มีทาง!”

ชายหนุ่มผมมันแปล้ที่นั่งอยู่ในห้องวีไอพีหมายเลขสามแค่นเสียงอย่างเย็นชา

ขณะที่ซูหว่านเอ๋อนั่งก้มหน้าด้วยความผิดหวังอยู่ในห้องวีไอพีหมายเลขสี่

“ฉันมีเงินเท่านี้…”

เธอต้องยอมรับให้ได้ว่าตัวเองไม่มีเงินมากพอ…

ถึงอย่างนั้นขณะที่พิธีกรกำลังจะประกาศสิ้นสุดการประมูล อวี้ฮ่าวหรานก็ยกป้ายขึ้นและเสนอราคา!