บทที่ 261 ผู้เข้ารอบสิบคนสุดท้าย
ในที่สุด การแข่งขันรอบประลองยุทธ์ก็จบลง
แต่การแข่งขันคู่สุดท้ายทุกคนกลับต้องประหลาดใจไม่น้อย
เมื่อหลิงเซวียนซึ่งทำผลงานได้แข็งแกร่งมาตลอด กลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่เด็กสาวที่มีนามว่าจุนเมิงฮั่น ส่งผลให้เขาไม่มีรายชื่อติดอยู่ในกลุ่มผู้เข้ารอบสิบคนสุดท้าย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ จุนเมิงฮั่นจะไม่ได้ติดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 20 อันดับแรก แต่ระดับฝีมือของนางก็ไม่ต่ำต้อย อย่างไรเสียการตกรอบของหลิงเซวียน ก็ดูสมเหตุสมผลมากกว่าการตกรอบของหลิงเฉินไม่รู้กี่เท่า
เมื่อจบการแข่งขันประลองยุทธ์ ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้ายก็ประกอบไปด้วย หลินเป่ยเฉิน เฉาพั่วเถียน คังซานเสว่ ซูเสี่ยวหยาน โจวเค่อ จุนเมิงฮั่น หวังซินอวี่ โจวฉุยหวูซวง เซียวซางและเซียวปิง
ผู้เข้าแข่งขัน 8 คนแรกแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่นสะดุดตา
มีแต่เพียงเซียวซางและเซียวปิง สองอัจฉริยะจากตระกูลเซียวเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด พวกเขาคือม้ามืดอย่างแท้จริง เมื่อถึงรอบการประลองยุทธ์ เซียวซางกับเซียวปิงก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างขาดลอย ทำให้พวกเขาได้เข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน
ผู้อาวุโสจากตระกูลเซียวกำลังนั่งยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหูอยู่บนเก้าอี้ที่นั่งของแขกระดับสูง
“ข้ามีหลานฝีมือดีถึง 2 คน นับว่าไม่ต้องอับอายขายหน้าหลิงไท่ซวีอีกต่อไปแล้ว” ชายชรากล่าว
ขณะนี้ หลี่สงฟู่ผู้เป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองกำลังเดินขึ้นมาบนเวที เพื่อทำพิธีปิดการแข่งขันรอบประลองยุทธ์อย่างเป็นทางการ
“ก่อนอื่น ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้าย พวกเจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นมือกระบี่รุ่นเยาว์ที่ดีที่สุดของเมืองหยุนเมิ่ง การแข่งขันในรอบถัดไปจะเป็นการแบ่งกลุ่มชิงธง นับจากนี้ พวกเจ้าทั้ง 10 คนต้องสร้างกลุ่มของตนเองขึ้นมา โดยต้องมีสมาชิกไม่เกิน 5 คน และสมาชิกแต่ละคนนั้น จะเป็นใครก็ได้ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไปแล้ว”
“การแข่งขันแบ่งกลุ่มชิงธง จะเป็นตัวตัดสินว่าใครกันแน่ที่จะเป็นผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำปีนี้ ขอให้ทุกคนจดจำให้ดีว่า กลุ่มที่สามารถชิงธงกระทรวงศึกษาได้สำเร็จ จะได้รับเหรียญตรายอดมือกระบี่รุ่นเยาว์จากทางวังหลวงและหัวหน้ากลุ่มก็จะเป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้”
เสียงพูดของหลี่สงฟู่ดังกังวานทั่วหอประชุมใหญ่
ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนดูทั้งหกพันชีวิตหรือผู้รับชมการถ่ายทอดสดทั่วทั้งเมือง ต่างก็จับจ้องมองมายังเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสิบคนบนเวทีประลองเป็นตาเดียว
บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์และเคร่งเครียด ดูไม่เหมาะสมกับผู้เข้าแข่งขันที่เป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเหล่านั้นเลย
นับตั้งแต่เกิดการก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่เป็นต้นมา บรรดาค่ายพรรคสำนักใหญ่ก็ถูกยุบลงไป และเปลี่ยนแปลงใหม่กลายเป็นสถานศึกษาและสำนักกระบี่ โดยที่มีคนของทางการคอยควบคุมอย่างเข้มงวด
องค์จักรพรรดิจะเป็นผู้ดูแลงานทั้งหมดของกระทรวงศึกษาด้วยตนเอง
สำนักศึกษากระบี่จะแบ่งแยกออกเป็น 4 ระดับ ไล่จากบนลงล่าง คือสำนักศึกษาสำหรับมือกระบี่ขั้นพิเศษ สำนักศึกษาสำหรับมือกระบี่ระดับสูง สำนักศึกษาสำหรับมือกระบี่ระดับสามัญ และสำนักศึกษาระดับมือกระบี่รุ่นเยาว์ นี่คือรูปแบบการศึกษาที่องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาด้วยตนเอง
หลังผ่านการสถาปนามาได้ 500 ปี ไม่มีใครรู้เลยว่าสำนักศึกษาเหล่านี้ ผลิตมือกระบี่ยอดฝีมือออกมามากมายขนาดไหน
จักรวรรดิเป่ยไห่ตั้งอยู่บนแผ่นดินตงเต้า มีทั้งหมด 9 มณฑล และพวกเขาต้องทำสงครามกับจักรวรรดิจี้กวงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น สำหรับกับเด็กหนุ่มเด็กสาวรุ่นใหม่ การศึกษาของพวกเขาจึงมีความสำคัญไม่แพ้วิชากระบี่ที่ติดตัว
และมือกระบี่อัจฉริยะในทุกระดับชั้น จะต้องมีความจงรักภักดีต่อวังหลวง มากกว่าภักดีต่อสำนักศึกษาของตนเอง
นี่คือระบบที่ช่วยคัดกรองเมล็ดพันธุ์ขั้นสุดยอด และสามารถเฟ้นหาเซียนกระบี่ตัวจริง เพื่อมารับใช้จักรวรรดิได้ไม่เคยขาดแคลน
จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ สามารถกล่าวได้ว่าจักรวรรดิเป่ยไห่มีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ การดำรงชีวิตของชาวเมือง หรือองค์ประกอบในด้านอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ดีขึ้นมากกว่าจักรวรรดิเก่าที่เคยครอบครองดินแดนนี้อย่างจักรวรรดิซือเฉินหลายร้อยเท่า…
สรุปได้ว่าการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ก็คือหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยคัดกรองยอดฝีมือรุ่นเยาวชน ให้มารับใช้วังหลวงในอนาคตนั่นเอง
นี่คือกิจกรรมที่ช่วยยกระดับชีวิตของผู้เข้าแข่งขันได้ในชั่วข้ามคืน
ไม่ว่าจะมาจากเมืองไหน ไม่ว่าจะมาจากสำนักศึกษาใด แต่ถ้าสามารถเข้าสู่การแข่งขันรอบสิบคนสุดท้ายได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นเสาหลักค้ำจุนจักรวรรดิในอนาคตอย่างแน่นอน
“ในฐานะที่เป็นลูกหลานของจักรวรรดิเป่ยไห่ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทุกคนมีอนาคตที่สดใส” หลี่สงฟู่พูดปิดท้าย แล้วการประลองยุทธ์ก็จบลงอย่างเป็นทางการ
กลุ่มคนดูเริ่มทยอยเดินออกไปจากหอประชุม
ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 72 คนที่มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา เริ่มแยกย้ายไปคนละทิศละทาง
ผู้เข้ารอบทั้ง 10 คนจะคัดเลือกสมาชิกกลุ่มอย่างไร คือสิ่งที่พวกเขาต้องจัดการกันเองหลังจากนี้ ทางกระทรวงศึกษาจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
เพราะสำหรับพวกเขาทั้ง 10 คน นี่ก็คือบททดสอบ
และสำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไปแล้ว การโน้มน้าวให้หัวหน้ากลุ่มรับตนเองเข้าเป็นผู้ติดตามได้สำเร็จ ก็นับเป็นบททดสอบชนิดหนึ่งเช่นเดียวกัน
แต่ละกลุ่มมีที่ว่างอยู่ห้าตำแหน่ง
ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด
หลังจากแยกย้ายสลายตัว ผู้เข้าแข่งขันบางคนก็แทบรอไม่ไหวที่จะเดินเข้ามาประจบประแจงผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม พวกเขายินดีคุกเข่าอ้อนวอนปราศจากศักดิ์ศรี ต่อให้มีหน้าที่เป็นเบี้ยบนกระดานที่ถูกส่งออกไปให้ศัตรูสังหารเล่นๆ พวกเขาก็จะไม่ปริปากบ่น
มีคนจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉิน
แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“คืนนี้ข้าอยากกลับไปดื่มให้เต็มที่ ส่วนเรื่องคัดเลือกสมาชิก วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
นี่คือคำตอบของเขาก่อนที่เด็กหนุ่มจะกระโดดขึ้นรถม้าไปพร้อมกับไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่และคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม
เมื่อรถม้าแล่นออกมาจากสถานศึกษากระบี่หลวง ทุกคนก็ระเบิดเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่ฮันปู้ฟู่ที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บไปทั้งตัว เมื่อเขาได้รับการรักษาจากวงแหวนวารีของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมก็มีแรงมากพอที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
ถึงฮันปู้ฟู่จะไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายได้ก็ตาม แต่การที่เขามาไกลได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว
“พวกเราไปฉลองกันที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งดีกว่า เดี๋ยวคืนนี้ข้าเลี้ยงเอง ถ้าไม่เมา พวกเราไม่เลิก” ไป๋ชินหยุนยกมือตบหน้าอก พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ฮ่าฮ่า อาจารย์กำลังรอคำพูดนี้จากเจ้าอยู่พอดี” ฉู่เหินหัวเราะด้วยความชอบใจและกล่าวว่า “อาจารย์ได้แอบจองห้องอาหารในโรงเตี๊ยมไว้เรียบร้อยแล้ว ขาดก็แต่ผู้ที่ต้องรับหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น”
ทุกคนไม่พูดอะไรอีก รถม้าแล่นตรงไปที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง
2 เค่อต่อมา
ห้องอาหารห้องเดิม บรรยากาศที่แสนคึกคักดังเดิม
พานเว่ยหมินผู้มีความชำนาญเรื่องอาหารมากที่สุด รับหน้าที่สั่งอาหารและเครื่องดื่มมาเต็มโต๊ะ
“พวกเราดื่ม!”
บรรดาลูกศิษย์ฉีกยิ้มเริงร่า
ในระหว่างการกินเลี้ยง ไม่มีใครเอ่ยถึงการคัดเลือกสมาชิกในกลุ่มของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาสักคนเดียว
แม้แต่ไป๋ชินหยุนก็ยังไม่กล้าถามออกมาเมื่อเห็นสายตาของเยว่หงเซียง
สำหรับหลินเป่ยเฉิน การแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มชิงธง คือการตัดสินว่าเขาจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปหรือจะต้องตายเพียงเท่านี้
เขาเปรียบเสมือนนักกายกรรมที่ไต่อยู่บนเส้นลวดระหว่างเหวลึก หากผิดพลาดเพียงก้าวเดียว ก็สามารถเสียชีวิตได้ทันที
การจัดทัพต่อสู้กับเฉาพั่วเถียนไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มของหลินเป่ยเฉิน จะต้องไม่มีผู้อ่อนแอเด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินต้องการเพื่อนร่วมกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งมากพอจะรับประกันชัยชนะให้เขาได้
เยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุนหรือแม้แต่ฮันปู้ฟู่ ต่างก็รู้ดีว่าตนเองมีคุณสมบัติไม่ดีพอ
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มของพวกเขา มีแต่ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ออกมาเช่นกัน
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงมิตรภาพ
ถ้าเขาแพ้ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มชิงธง ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลินเป่ยเฉินทำมาอย่างยากลำบากก็จะพังทลาย แน่นอนว่าเขาคงไม่โง่พอที่จะยอมตายอยู่ใต้กระบี่ของเฉาพั่วเถียน แต่นั่นก็หมายความว่าหลินเป่ยเฉินคงไม่สามารถอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งได้อีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องวางแผนให้รัดกุม
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังดื่มกินอย่างสนุกสนานอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งกล่าวว่า “คุณชายหลินเป่ยเฉิน ไม่ทราบว่าข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”