บทที่ 260 โดดเด่นสะดุดตา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 260 โดดเด่นสะดุดตา

เมื่อรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันปู้ฟู่ เฉาพั่วเถียนก็รู้ทันทีว่าตนเองพลาดท่าเสียทีเข้าให้แล้ว

ความจริง ตั้งแต่ตอนที่ฮันปู้ฟู่คำรามออกมาว่า ‘ชื่อของข้าคือฮันปู้ฟู่’ เขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง

นี่คือการบุกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว

แต่สุดท้าย ฮันปู้ฟู่สามารถตีโต้กลับ ทำให้เฉาพั่วเถียนถึงกับลอยกระเด็นกลิ้งไปหลายตลบอย่างน่าอับอายขายหน้า

เฉาพั่วเถียนรู้สึกไม่ต่างจากถูกตบหน้าท่ามกลางสายตาคนดูจำนวนมาก

แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเข้าไปแก้แค้นและทำให้ฮันปู้ฟู่ได้รับรู้รสชาติของความเจ็บปวดที่แท้จริง ฮันปู้ฟู่กลับชิงยอมแพ้ไปก่อนเสียอย่างนั้น ส่งผลให้เฉาพั่วเถียนไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

เดิมที เด็กหนุ่มผมทองจากเมืองไป๋หยุนเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามติดกับดักของเขา ฮันปู้ฟู่อับอายที่โดนดูถูกเป็นเหมือนเครื่องมือตัดกำลังให้หลินเป่ยเฉิน

แต่ที่ไหนได้ เป็นเฉาพั่วเถียนเองที่ติดกับดักฮันปู้ฟู่ …อย่างโง่เขลาชนิดไม่น่าให้อภัย

ฮันปู้ฟู่แสดงให้คนดูจำนวนมากได้เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้จะเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าตนเองหลายเท่า แต่เขาก็ไม่เคยแสดงความหวาดกลัว

กวาดตามองกลุ่มคนดูในขณะนี้ ทุกคนกำลังลุกขึ้นยืนปรบมือชื่นชมฮันปู้ฟู่

ไม่ต่างจากเสียงปรบมือที่มอบให้แก่ผู้ชนะ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถึงฮันปู้ฟู่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการแข่งขัน แต่เขาก็เป็นผู้ชนะในใจคนดู

ไม่มีใครสนใจเฉาพั่วเถียนอีกแล้ว

ก่อนเริ่มการประลอง เฉาพั่วเถียนมั่นใจว่าจะสามารถบดขยี้ฮันปู้ฟู่ได้ไม่มีปัญหา เพราะระดับพลังของเขาเหนือล้ำมากกว่าเด็กหนุ่มชั้นปีที่สามจากสถานศึกษากระบี่ที่สามหลายเท่า

แต่เมื่อจบการต่อสู้ ฮันปู้ฟู่มีความโดดเด่นสะดุดตาคนดู เสมือนเพชรเม็ดงามที่ผ่านการเจียระไนเป็นอย่างดี

ในเวลานี้ เฉาพั่วเถียนปรารถนาที่จะฉีกร่างฮันปู้ฟู่ออกเป็นชิ้นๆ

ฮันปู้ฟู่เฝ้าอดทนมาตลอดก็เพื่อเหตุนี้ ยิ่งเขามีสภาพย่ำแย่มากเท่าไหร่ เฉาพั่วเถียนก็ยิ่งน่าอับอายมากเท่านั้น

แต่เฉาพั่วเถียนก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

เพราะกรรมการประกาศยุติการแข่งขันไปเรียบร้อยแล้ว

หากเฉาพั่วเถียนลงมือโจมตี คู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องพบเจอก็ไม่ใช่ฮันปู้ฟู่อีกต่อไป แต่เป็นเหล่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาที่ยืนอยู่โดยรอบ

“เจ้าชนะ”

หลี่ชิงสวนผู้เป็นกรรมการประกาศผลการประลอง สายตาแห่งความสมเพชเวทนาที่มองมายังเฉาพั่วเถียนนั้น ทำให้เด็กหนุ่มใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความฉุนเฉียวขึ้นมาทันที

ปรากฏเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินขึ้นมาเชิญตัวเฉาพั่วเถียนลงไปจากเวที

เฉาพั่วเถียนหันไปโบกไม้โบกมือให้กับกลุ่มคนดู

คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแต่เสียงโห่ดังตอบกลับมา

ไม่มีใครชื่นชอบผู้ที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า

การแข่งขันในวันนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเฉาพั่วเถียนย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

ขณะที่เดินผ่านอุโมงค์กลับเข้าไปในห้องแต่งตัว เฉาพั่วเถียนได้แต่กัดฟันกรอด สีหน้าเคร่งเครียดคับแค้นใจ

ในเวลาเดียวกันนี้ หัวหน้าผู้ตัดสินหลี่ชิงสวนได้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของฮันปู้ฟู่อย่างเร่งด่วน เมื่อตรวจสอบความบอบช้ำในร่างกายของเด็กหนุ่มแล้ว ชายชราก็อดแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้

ฮันปู้ฟู่ได้รับบาดเจ็บภายในรุนแรงมากกว่าที่เห็นจากภายนอก ไม่รู้เลยว่ามีกระดูกแตกหักกี่ส่วน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือฮันปู้ฟู่เสียเลือดมากเกินไป

ถ้าเป็นคนอื่นได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ คงสลบหมดสติไปหลายรอบแล้ว

แต่ฮันปู้ฟู่ยังฝืนยืนหยัดอยู่จนจบการแข่งขัน และยังสามารถโต้กลับการโจมตีของเฉาพั่วเถียนได้อย่างน่าประทับใจ

นี่แหละการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองที่แท้จริง

ในการแข่งขันครั้งที่ผ่านๆ มา จะมีผู้เข้าแข่งขันที่โดดเด่นสะดุดสายตาผู้อื่นเสมอ และสิ่งที่ทำให้คนดูประทับใจก็คือความกล้าหาญและจิตใจอันเด็ดเดี่ยว โดยไม่หวั่นเกรงว่าคู่ต่อสู้ของตนเองจะเป็นใคร…

สำหรับกับบุคคลเช่นนั้น ต่อให้ช่องว่างของระดับพลังระหว่างคู่ต่อสู้จะสูงล้ำ แต่เขาก็ยังยินดีที่จะสู้สุดหัวใจ

“ฮันปู้ฟู่! ฮันปู้ฟู่! ฮันปู้ฟู่!”

คนดูจำนวน 6,000 คนพร้อมใจกันส่งเสียงตะโกนเรียกชื่อฮันปู้ฟู่

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาและคลี่ยิ้มมีความสุข

ฮันปู้ฟู่อยากให้ทุกคนจำชื่อของเขาได้

บัดนี้ เขาทำสำเร็จแล้ว

ตอนแรก ฮันปู้ฟู่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่แล้วเขาก็เริ่มเห็นแพทย์สนามปรากฏตัวขึ้นมาบนเวที ตามด้วยนักบวชจากวิหารเทพกระบี่ และพวกเขาก็ช่วยกันรักษาฮันปู้ฟู่ด้วยความรวดเร็วว่องไว

“ฮันปู้ฟู่! ฮันปู้ฟู่!”

คนดูยังคงตะโกนเรียกชื่อเขาดังสนั่น

เพียงไม่นาน อาการบาดเจ็บของฮันปู้ฟู่ก็ทุเลาขึ้นมาก

หลังจากนั้น หลี่ชิงสวนก็ลุกขึ้นยืน ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง การตะโกนเรียกชื่อฮันปู้ฟู่จึงหยุดชะงัก

เด็กหนุ่มถูกยกตัวขึ้นเปลหามและได้รับการเคลื่อนย้ายลงจากเวทีเพื่อไปทำการรักษาต่อไป

การประลองยังคงดำเนินต่อ

แต่มันก็เป็นการต่อสู้ที่ปราศจากรสชาติความน่าตื่นเต้น

ทุกคนยังติดตาติดใจอยู่กับการต่อสู้ระหว่างเฉาพั่วเถียนกับฮันปู้ฟู่

ณ ที่นั่งของแขกระดับสูง

“เด็กหนุ่มที่ชื่อฮันปู้ฟู่มาจากสถานศึกษาใดหรือ?” หวังหรู่อี้จากสำนักกระบี่หลวงหันหน้ามาถามด้วยความใคร่รู้

หลี่สงฟู่ตอบว่า “เขาเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามขอรับ เด็กคนนี้เป็นคนดี มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ปกติเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีฝีมือถึงเพียงนี้”

หวังหรู่อี้ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย พยักหน้าด้วยความชื่นชม “มิผิด แม้ว่าระดับพลังของเขาจะไม่ได้จัดอยู่ในขั้นยอดอัจฉริยะ แต่ในความเห็นของข้า เขามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรงที่จิตใจห้าวหาญ คนแบบนี้จะต้องเติบใหญ่กลายเป็นวีรบุรุษได้แน่นอน ข้าอยากได้ตัวเขามาศึกษาต่อที่สำนักกระบี่หลวง”

หลี่สงฟู่ได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโตด้วยความดีใจ

นี่คือเรื่องราวที่ควรค่าต่อการเฉลิมฉลอง

ระบบการศึกษาในจักรวรรดิเป่ยไห่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก

สำนักกระบี่จะแบ่งแยกออกเป็นสี่ระดับ คือระดับมือกระบี่รุ่นเยาว์ มือกระบี่ระดับสามัญ มือกระบี่ระดับสูง และมือกระบี่ขั้นพิเศษ และภายในเมืองหยุนเมิ่ง พวกเขามีแต่สถานศึกษากระบี่รุ่นเยาว์ทั้งนั้น การที่จะมีคนจากเมืองริมทะเลแห่งนี้สามารถเข้าศึกษาต่อได้ในสำนักกระบี่หลวงซึ่งเป็นสำนักมือกระบี่ระดับสามัญ นับดูร้อยปีถึงจะมีสักครั้ง

และถ้าฮันปู้ฟู่ถูกดึงตัวเข้าไปศึกษาต่อที่สำนักกระบี่หลวงจริงๆ นี่ก็จะเป็นเกียรติยศของกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งอย่างยิ่ง

“ฮ่าฮ่า อาจารย์หวังจะรีบร้อนไปไหน?”

เหวินโต้วหลิน รองอาจารย์ใหญ่จากสำนักกระบี่ระดับสามัญประจำแคว้นไห่อันแทรกขึ้นมากลางปล้อง “เด็กหนุ่มคนนี้มีพลังปราณธาตุดิน เขาเหมาะกับสำนักของพวกเรามากกว่า ถ้าเขาเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อกับสำนักกระบี่แคว้นไห่อัน เราจะไม่เพียงมอบโอกาสในการร่ำเรียนให้แก่เขาเท่านั้น แต่เรายังจะช่วยยกระดับชีวิตของเขาอีกด้วย”

หลี่สงฟู่คิดว่าตนเองหูฝาด

นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?

รองอาจารย์ใหญ่จากสำนักกระบี่ชื่อดังสองแห่งพยายามแย่งตัวฮันปู้ฟู่?

สำนักกระบี่ระดับสามัญไห่อัน ถูกยกให้เป็นหนึ่งในหกสำนักกระบี่ที่ดีที่สุดประจำมณฑล

หลี่สงฟู่ในฐานะเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมือง ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าฮันปู้ฟู่จะกลายเป็นคนที่สะดุดตาผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญถึงขนาดนี้

และการแย่งตัวคงไม่จบลงง่ายๆ

“แหม แหม อาจารย์เหวินคิดจะแย่งชิงผู้คน รอถามเด็กหนุ่มผู้นั้นเองไม่ดีกว่าหรือ ว่าเขาอยากศึกษาต่อที่ไหนกันแน่?”

หวังหรู่อี้ยิ้มมุมปากเล็กน้อย

สำหรับในแวดวงสำนักกระบี่ ขอเพียงมีคำว่า ‘สำนักกระบี่หลวง’ แขวนอยู่หน้าสำนัก มันก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะใจมือกระบี่รุ่นเยาว์ได้ไม่ยาก

เหวินโต้วหลินเผยยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนใคร ข้าเชื่อว่าเขาจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง”

ในเวลาเดียวกันนั้น

ในห้องพักของแขกคนสำคัญที่ไม่มีใครมองเห็น

คนผู้หนึ่งนั่งนิ่งบนเก้าอี้เหมือนเป็นรูปปั้น ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม

“เด็กคนนี้มีความน่าสนใจ ถ้าได้ตัวมาคงดีไม่ใช่น้อย”

เขาพูดกับตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น