บทที่ 259 การต่อสู้ของศิษย์พี่ฮัน
นี่คือการต่อสู้ที่น่าเศร้าที่สุดนับตั้งแต่เริ่มการประลองมา
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
ฮันปู้ฟู่ใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผาพยายามป้องกันตัวเอง
แต่ภายใต้การจู่โจมของเฉาพั่วเถียน เด็กหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่ของหลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย เขาถูกต่อยกระเด็นล้มลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เลือดไหลทะลักออกมาจากปาก
บนพื้นเวทีรอบตัวฮันปู้ฟู่มีแต่กองเลือดสีแดงสด
คนดูจำนวนมากต้องยกมือขึ้นปิดตา
แต่ในขณะนี้หลายคนก็เริ่มเอาใจช่วยฮันปู้ฟู่ขึ้นมาบ้าง เพราะนึกชื่นชมในความใจสู้ไม่ยอมแพ้ของเขา
เนื่องจากนี่คือการต่อสู้ที่ฮันปู้ฟู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเองไม่มีทางชนะ มิหนำซ้ำ เขายังอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส เพียงฮันปู้ฟู่บอกมาคำเดียวว่าขอยอมแพ้ เขาก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป แต่มันก็แลกมาด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมือกระบี่ที่แท้จริง และนั่นทำให้ฮันปู้ฟู่ไม่มีทางพูดมันออกมาง่ายๆ เด็ดขาด
สถานการณ์ยิ่งแย่ พลังลมปราณในร่างกายของฮันปู้ฟู่เหือดหายไปหลายส่วน เขาเปรียบเสมือนคบไฟที่ใกล้จะดับมอดลงทุกที และที่ยังสามารถยืนอยู่ได้นั้น ก็เป็นเพราะจิตใจอันมุ่งมั่นแนวแน่เพียงอย่างเดียว
“กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาดูหมิ่นได้ง่ายๆ หรอกนะ…”
ฮันปู้ฟู่กัดฟันกรอดและลุกขึ้นยืนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
เขาไม่รู้เลยว่าในร่างกายตนเองบัดนี้มีกระดูกแตกหักไปกี่ส่วนแล้ว
ที่แน่ๆ ก็คือกระดูกชายโครงแทงทะลุผิวหนังออกมา สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
ฮันปู้ฟู่ยังคงใช้กระบี่ที่แตกหักเล่มเดิม ยังคงจู่โจมออกไปด้วยกระบวนท่าเดิม น่าแปลกที่ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเคลื่อนไหวร่างกายได้ยากลำบาก แต่พลังโจมตีจากกระบี่ของเขา ยังคงรุนแรงไม่เปลี่ยนแปลง
เปลวไฟลุกโชนในดวงตาของฮันปู้ฟู่
“ชักกระบี่ออกมา” ฮันปู้ฟู่พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
เฉาพั่วเถียนใบหน้าเย็นชา ไม่มีความสงสารในแววตาของเขาแม้แต่น้อย
เพราะเขารู้ดีว่าบัดนี้หลินเป่ยเฉินกำลังรับชมการถ่ายทอดสดอยู่ในห้องแต่งตัว เจ้านั่นคงทั้งโกรธแค้นและวิตกกังวล แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนของตนเองได้เลย
เฉาพั่วเถียนจำได้ดีว่าความแค้นที่ตนเองมีต่อหลินเป่ยเฉินนั้นมากมายมหาศาลเพียงใด นับตั้งแต่ที่เขาเดินทางไปศึกษาต่อในเมืองไป๋หยุนและมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชิน เฉาพั่วเถียนก็ไม่เคยลิ้มรสความพ่ายแพ้มายาวนาน และเรียกได้ว่าไม่เคยมีใครกล้าเดินออกมาท้าทายเขาด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน ชีวิตที่ราบรื่นสงบสุขของเฉาพั่วเถียนก็เหมือนเกิดฝันร้ายขึ้นทันที นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันมาจนถึงครั้งนี้ เฉาพั่วเถียนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลินเป่ยเฉินมาตลอด
น่าเสียดายที่แผนสังหารหลินเป่ยเฉินในหุบเขาชายแดนเหนือกลับล้มเหลว
นอกจากไม่สามารถทำให้เจ้านั่นตายได้แล้ว กลับยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
ความรู้สึกของการตกเป็นรองคอยทิ่มแทงจิตใจเฉาพั่วเถียนอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เขาแทบบ้าตาย
โดยเฉพาะก่อนแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มชิงธง เขาควรทำให้หลินเป่ยเฉินมีสภาพจิตใจสั่นคลอน ไม่ว่าจะด้วยความโกรธแค้นหรือความสะเทือนใจ สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นปัจจัยที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้ได้ทั้งสิ้น
สำหรับเฉาพั่วเถียน การบดขยี้ฮันปู้ฟู่ให้แหลกเละคือหน้าที่ที่เขาต้องทำ
แม้ว่าบัดนี้ เฉาพั่วเถียนจะรู้สึกได้ว่าผู้ชมทั้งหกพันคนในหอประชุม เริ่มเอนเอียงไปเอาใจช่วยฮันปู้ฟู่กันทั้งหมด แต่เขาก็ไม่สนใจ
คนพวกนี้ก็แค่ชาวบ้านในเมืองบ้านนอกริมทะเล
ไม่ได้อยู่ในสายตาเฉาพั่วเถียนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“เจ้าจะไม่ยอมแพ้ใช่ไหม?”
เฉาพั่วเถียนเดินแช่มช้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าฮันปู้ฟู่ โดยเว้นระยะห่างไว้ประมาณวาเศษ
เขามองรอยเลือดที่ไหลเป็นทางอยู่บนพื้นเวที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กน้อยให้กับร่างที่มีเลือดท่วมตัวของคู่ต่อสู้ “ร่างกายเจ้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เจ้ายอมแพ้บัดนี้ หลินเป่ยเฉินยังจะว่าอะไรเจ้าได้อีก?”
ฮันปู้ฟู่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกมาอีกแล้ว
ขาของเขาสั่นระริก ลำตัวสั่นเทา สองแขนปราศจากเรี่ยวแรง ฮันปู้ฟู่เสียเลือดมากเกินไป เขาอ่อนล้า แต่ไม่หวาดกลัว
เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ฮันปู้ฟู่ยังสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้มลง
แต่เขายังคงยืนอยู่
ในมือของเขายังมีกระบี่
ฮันปู้ฟู่ยังคงอยากที่จะต่อสู้
เฉาพั่วเถียนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าการทำตัวเป็นหมาจนตรอกมันน่าชื่นชมนักหรือไง นอกจากแสดงความน่าสมเพชเวทนาออกมาแล้ว เจ้ายังทำให้ทุกคนรู้ว่าตนเองโง่เขลามากเพียงใด ข้าจะไม่ใจดีกับเจ้าอีกต่อไป…”
พูดจบ เฉาพั่วเถียนก็กระแทกหมัดออกมาข้างหน้า
แสงสีทองห่อหุ้มกำปั้นของเด็กหนุ่มผมทองอีกครั้ง
หมัดของเขาเชื่องช้ายิ่ง
แต่กลับมีพลังโจมตีหนักหน่วงมากกว่าเดิม
แววตาของเฉาพั่วเถียนเต็มไปด้วยประกายอำมหิต
เขาหวังที่จะได้เห็นความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนสีหน้าของฮันปู้ฟู่
แต่สิ่งที่เฉาพั่วเถียนมองเห็น กลับเป็นแววตาที่มุ่งมั่นดั่งเปลวไฟร้อนแรง
จังหวะนั้น ลำแสงสว่างจ้าก็ระเบิดออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน
“ข้าไม่ได้มีหน้าที่ตัดกำลังเจ้าให้กับศิษย์น้องหลิน”
พลัน ฮันปู้ฟู่คำรามออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย รสชาติขมปร่าของเลือดพุ่งขึ้นมาในลำคอ “เจ้าคงยังไม่รู้ตัวและไม่มีทางเข้าใจ ว่าเจ้านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์น้องหลินเลยแม้แต่น้อย เขาไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตา มีแต่เจ้าฝ่ายเดียวเท่านั้นแหละที่คอยอิจฉาริษยาเขาตลอดเวลา…”
ฮันปู้ฟู่ไม่เคยพูดประโยคยาวๆ เช่นนี้มาก่อน เสียงของเขาเยือกเย็นในขณะที่คำรามต่อไปว่า “ข้าต่อสู้เพื่อตัวข้าเอง ข้าต่อสู้เพื่อให้เจ้าได้จดจำ ว่าข้าคือมือกระบี่ที่ชื่อฮันปู้ฟู่ และข้าคือมือกระบี่ตัวจริง…ข้าไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆ!”
แล้วร่างกายของฮันปู้ฟู่ก็ห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจากพลังปราณธาตุ
“ภูผาอาจถล่ม แต่ตัวข้าไม่มีวันทลาย ชื่อของข้าคือ…ฮัน…ปู้…ฟู่!”
เด็กหนุ่มตวัดกระบี่แนวขวาง ม่านพลังธาตุดินคอยคุ้มครองสองฝั่งข้างกาย พลังลมปราณของเขาคุกคามออกไปข้างหน้า เป็นกระแสกดดันหนักหน่วงรุนแรง
“นั่นมันท่าไม้ตายนี่นา!”
หลิวฉีไห่ลุกขึ้นยืน พูดด้วยความเหลือเชื่อ “นี่คือกระบวนท่าสูงสุดของวิชากระบี่ตัดภูผา…ฮันปู้ฟู่สามารถบรรลุวิชากระบี่ระดับ 2 ดาวได้แล้วหรือนี่!”
ไม่กี่สัปดาห์ก่อน ฮันปู้ฟู่ยังไม่สามารถใช้วิชากระบี่ตัดภูผาได้ดีเยี่ยมเพียงนี้ แต่บัดนี้ ฉู่เหิน ไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียงต่างก็ตกตะลึงขนลุกเกรียวกันไปหมดแล้ว
เสียงคำรามเพื่อรวบรวมพลังของฮันปู้ฟู่ ทำให้กลุ่มคนดูหลายพันชีวิตลุกขึ้นยืนเพื่อเอาใจช่วย
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เฉาพั่วเถียนเร่งความเร็วกำปั้นของตนเอง กลายเป็นต่อยหมัดรัวๆ ใส่ม่านพลังของฝ่ายตรงข้าม
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบบริเวณเหมือนระลอกคลื่น
คลื่นพลังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนยืนอยู่กลางพายุหมุน พลังลมปราณสีทองคำและสีส้มพุ่งเข้าปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง
แล้วเงาร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็ลอยกระเด็นกลับออกมาจากพายุหมุน ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าไปบนพื้นเวทีหลายตลบ
คนผู้นั้นกลับไม่ใช่ฮันปู้ฟู่
แต่เป็นเฉาพั่วเถียน
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมทองกำลังแสดงออกถึงความตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
เขาไม่อยากเชื่อว่าการกระแทกหมัดของตนเอง จะถูกฮันปู้ฟู่ยกกระบี่ขึ้นมาดีดพลังสะท้อนกลับ จนเขาต้องลอยกระเด็นออกมาอย่างนี้
ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าหมอนั่นมันมีสภาพปางตายขนาดไหน
แล้วฮันปู้ฟู่ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันนะ?
เฉาพั่วเถียนไม่เข้าใจเลยจริงๆ
กลุ่มคนดูในหอประชุมระเบิดเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความสะใจ
แล้วม่านพลังก็สลายหายไป
พายุหมุนสลายหายไป
ฮันปู้ฟู่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที
ในมือของเขาถือกระบี่ ท่วงท่าองอาจสง่างามราวกับเทพแห่งสงคราม ชวนให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความมั่นคงปลอดภัยและพึ่งพาได้
“ข้าจะฆ่าเจ้า…”
เฉาพั่วเถียนคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
เขาลุกขึ้นยืนกระโดดเข้าไปหาฮันปู้ฟู่
แต่ในจังหวะนั้นเอง…
เคล้ง!
ได้ยินเสียงโลหะกระทบพื้น
เป็นเสียงกระบี่ในมือฮันปู้ฟู่ตกกระทบพื้น
แล้วกระบี่ที่หักครึ่ง ก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยไปทุกทิศทุกทาง มันกระจายไปทั่ว เสมือนเป็นผีเสื้อโลหะกำลังโบยบินในอากาศ…
ฮันปู้ฟู่ใช้แววตาเย็นชามองหน้าเด็กหนุ่มผมทองที่วิ่งเข้ามาด้วยความเคียดแค้น แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“ข้าแพ้แล้ว” ฮันปู้ฟู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาเงยหน้ามองด้านบน ก่อนจะล้มพับลงไปบนพื้นเวที มีเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลบนร่างกายจำนวนมาก
ทันใดนั้น ร่างของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาหลายคนก็ปรากฏขึ้นข้างกายฮันปู้ฟู่ และช่วยดูแลอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้กับเขา
“การประลองจบลงแล้ว”
หัวหน้ากรรมการส่งเสียงตะโกน
เฉาพั่วเถียนได้แต่หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
เขารั้งหมัดกลับคืนมา ร่างกายสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยความโกรธแค้นสุดขีด