ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะพูดอีกครั้ง เฒ่าซุนก็ลุกขึ้นยืน เขาเดินไปทางประตูคุกหลวง และเปิดประตูบานเขื่อง
“เชิญท่านมาทางนี้! ” เฒ่าซุนเพิ่งเอ่ยปากพูด
ซูจิ่นซีเก็บป้ายคำสั่งประจำราชวงศ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเดินตามเฒ่าซุนเข้าไป
“ลุกขึ้น! ลุกขึ้น! ” แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งที่กำลังนอนหลับ ถูกองครักษ์ในคุกหลวงเรียกให้ตื่น
“ท่านผู้คุม มีเรื่องอันใดหรือ? ” แม่นมจูค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เรื่องดี! ”
“เรื่อง… เรื่องดีอันใด? ”
แม่นมเจิ้งลืมตาทั้งสองขึ้น ในคุกหลวงมีเรื่องอันใดที่น่ายินดีกัน? หรือเวลาตายของพวกนางมาถึงแล้ว?
ซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ด้านข้างยกป้ายคำสั่งประจำราชวงศ์ออกมา “ยังไม่ออกมาอีก”
แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งสะดุ้งตกใจพร้อมกัน “เจ้า… เจ้าเป็นคนของผู้ใด? ”
“พูดจาเพ้อเจ้อไปเพื่ออันใด เบื้องบนต้องการพบพวกเจ้า นับว่าเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว” องครักษ์พาตัวแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งออกมา
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด นางเดินนำหน้า โดยมีแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งเดินตามหลัง
เมื่อเดินถึงประตูคุกหลวง ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเรียกของเฒ่าซุนดังขึ้น “ฮูหยิน โปรดหยุดก่อน”
ฮูหยิน?
แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งต่างตกตะลึง ซูจิ่นซีก็ตกใจเช่นกัน
หรือว่า… แผนแตกแล้ว?
ซูจิ่นซีที่อยู่ในอาการตกใจ ไม่รู้ว่าเฒ่าซุนเดินมาที่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใด เขาบีบข้อมือนาง
“อย่าขยับ! ”
ซูจิ่นซีคิดจะดิ้นรน ทว่าเฒ่าซุนกลับกระซิบที่ข้างหูของนาง
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอันใด จึงทำได้เพียงยืนนิ่ง
เฒ่าซุนตรวจชีพจรของซูจิ่นซี เขาพูดขึ้นด้วยใบหน้าแปลกประหลาด “ดวงจิตไม่สมบูรณ์ คนที่ตายไปแล้ว เหตุใดยังยึดติดอยู่กับคนบนโลก”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น “เจ้า… เป็นใครกันแน่? ”
หรือว่า… ชายชราผู้นี้จะมองออกว่า นางคือดวงวิญญาณที่ข้ามมิติมายังโลกนี้
ซูจิ่นซีมองเข้าไปในดวงตาของเฒ่าซุนอย่างละเอียด ดวงตาของเขาไร้แววแห่งชีวิต ไม่เหมือนคนปกติ การจับจ้องโดยไม่ละสายตานั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดว่า ต้องเรียกองครักษ์สองนายที่ซูอวี้ให้มาช่วยเหลือหรือไม่ เฒ่าซุนก็ปล่อยมือของนาง ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางห้องคุมขัง
เสียงของเขาฟังดูวังเวง ทำให้ผู้ที่ได้ยินหนาวสะท้าน “ดวงชะตาของท่านต้องผ่านด่านเคราะห์ จะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่ข้าขอเตือนท่านว่า มาจากที่ใดก็ควรกลับไปที่นั่น สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรอยู่ ยิ่งยึดติดลุ่มหลงมากเท่าใด บุญกุศลที่สั่งสมมายิ่งลดน้อยลงเท่านั้น”
“แหะๆ ท่านขอรับ สมองของเฒ่าซุนค่อนข้างเลอะเลือน ปกติก็ชอบพูดจาเหลวไหลเรื่องเทพเจ้า สวรรค์นรก ทำนองนี้เป็นประจำ ท่านอย่าได้ถือสาคำพูดของเขาเลยขอรับ” องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรีบพูดแทนเฒ่าซุน
บางทีผู้อื่นอาจฟังไม่เข้าใจ ทว่าในฐานะที่ซูจิ่นซีเป็นผู้ประสบกับเรื่องดังกล่าว นางจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ซูจิ่นซีพาแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งออกมา ระหว่างทางนางรู้สึกจิตใจไม่สงบ
หลังจากที่ซูจิ่นซีนำตัวแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งออกมาจากห้องคุมขังแล้ว องครักษ์สองนายที่ซูอวี้ส่งมาคอยคุ้มครองก็ปรากฏตัวออกมาจากความมืด
“นายท่าน! ”
“นำตัวคนมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถิด! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น
นางยังมีความรู้สึกสับสนในจิตใจ เฒ่าซุนดูไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาพูดว่านางไม่ควรมาในมิติเวลานี้ ทั้งยังต้องผ่านด่านเคราะห์
ประโยคหน้าฟังแล้วพอเข้าใจ ทว่าประโยคหลังนี่สิ หมายความว่าอย่างไรกันแน่
‘ยิ่งยึดติดลุ่มหลงมากเท่าใด บุญกุศลที่สั่งสมมายิ่งลดน้อยลงเท่านั้น’
ภายในใจของนาง มีอันใดที่ต้องยึดติดลุ่มหลง? แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจ
โชคชะตา บางครั้งไม่ประสบพบเจอก็คงดี แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งได้พบเจอแล้ว มักจะทำให้จิตใจว้าวุ่น
ทว่าตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่ซูจิ่นซีจะมาครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้
ณ เรือนแห่งหนึ่งภายในเมืองหลวง ซูอวี้กับฮูหยินปี้ได้เดินทางมารอซูจิ่นซีอยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนักซูจิ่นซีและองครักษ์ทั้งสองก็พาแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งมาถึงเรือนแห่งนั้น
“พี่จิ่นซี ราบรื่นดีหรือไม่? ” เมื่อซูอวี้เห็นซูจิ่นซีก็รีบถามไถ่
ซูจิ่นซีถอดหมวกฟางออก พลางพูดว่า “ราบรื่นดี”
เมื่อแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งเห็นใบหน้าของซูจิ่นซี ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“พระชายาโยวอ๋อง… ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองพวกเขาทั้งสอง ทว่าไม่ได้พูดอันใด นางเอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในห้อง
เดิมทีรูปร่างของซูจิ่นซีก็งดงามอยู่แล้ว ทว่าในเวลานี้นางสวมชุดรัดกุมสีดำ ทั้งยังจัดแต่งทรงผมแบบยกมวยสูง ทำให้ดูสง่างามและดูมากความสามารถไปอีกแบบ
องครักษ์สองนายที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซี ผลักตัวแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งให้เข้ามาข้างใน ฮูหยินปี้กับซูอวี้ก็เดินตามมาด้านหลัง
“พระชายา บ่าวขอร้อง ได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวทั้งสองด้วยเถิด? พวกเราทำตามคำสั่งขององค์ไทเฮาเท่านั้น เรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไทเฮาเป็นผู้รับสั่งให้พวกบ่าวไปทำทั้งสิ้น เรื่องทั้งหมดเป็นแผนขององค์ไทเฮา พระชายาทรงทราบดีว่า พวกเราทั้งสองเป็นข้ารับใช้ในวังมาทั้งชีวิต หากไม่ทำตามพระบัญชาของไทเฮา ย่อมมีโทษตายสถานเดียว” แม่นมเจิ้งพูดขอความเห็นใจ
ฮูหยินปี้นำน้ำชามาให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีดื่มน้ำชาอย่างสบายใจโดยไม่ได้พูดอันใด
“พระชายา บ่าวขอร้อง ขอเพียงท่านไว้ชีวิตพวกเรา แต่นี้ต่อไปพวกเราจะติดตามท่านด้วยความซื่อสัตย์ เป็นทาสรับใช้ของท่าน บุกน้ำลุยไฟ อย่างไม่คิดลังเล” แม่นมเจิ้งพูดต่อ
“ใช่เพคะ พระชายา โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด!”
แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งร่ำไห้ คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นอย่างหนัก
ซูจิ่นซีดื่มชาหมดไปครึ่งหนึ่งด้วยท่าทางสบายอารมณ์ยิ่งนัก แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งโขกศีรษะตลอดเวลาที่นางดื่มชา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีเพิ่งจะเอ่ยปากพูดว่า “ใช่ว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งสองไม่ได้ แต่… ”
“พระชายาจะให้พวกบ่าวทำอันใด พวกเราไม่มีทางบิดพลิ้ว พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่ง แม้จะต้องบุกป่าฝ่าดง ขึ้นภูเขามีด บุกทะเลเพลิง [1] พวกเราล้วนยินดีทำตามพระบัญชาของพระชายาเพคะ” แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งโขกศีรษะอีกครั้ง
“หลังจากขึ้นภูเขามีด บุกทะเลเพลิงแล้ว พวกเจ้าจะยังมีชีวิตกลับมาอีกหรือ? ” ซูจิ่นซีถาม
ทันใดนั้น แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งก็ตกตะลึง พวกนางเพิ่งตระหนักได้ว่า คำพูดของตนนั้นดูเกินเลยไปเสียหน่อย
แม่นมเจิ้งรีบคลานเข้ามากอดขาทั้งสองของซูจิ่นซี “พระชายา สิ่งที่บ่าวพูดทั้งหมดล้วนมาจากใจจริง พวกเราทั้งสองไม่อยากตาย คนที่ใกล้ตายมักจะพูดเรื่องจริง”
มนุษย์เราเพื่อให้ตนเองชีวิตรอด ไม่ว่าเรื่องอันใดก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
“แม่นมเจิ้ง แม่นมจู จะให้ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ย่อมได้ ทว่าพวกเจ้าต้องช่วยข้าทำเรื่องบางอย่างเสียก่อน”
แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งไม่กล้าละเลยสักคำ พวกนางเบิกตาทั้งสองและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ด้วยกลัวว่าตนเองจะขาดสมาธิ จนทำให้คำพูดส่วนที่สำคัญตกหล่น
เมื่อซูจิ่นซีพูดสิ่งที่นางต้องการให้แม่นมทั้งสองทำเรียบร้อยแล้ว แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งก็เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงในทันที
ใบหน้าของพวกนางแทบจะฟุบลงไปกับพื้น กลางฝ่ามือเปียกชุ่ม “พระ… พระชายา ท่าน… ท่านจะให้พวกเราไปขโมยพระศพของฮองเฮาหรือเพคะ? ”
“จะทำหรือไม่ทำ พวกเจ้าทั้งสองลองตรึกตรองดู ข้าไม่ได้บีบบังคับพวกเจ้า” ซูจิ่นซีพูด “สาเหตุที่ข้าเลือกพวกเจ้าเพราะว่า พวกเจ้าทั้งสองอยู่ในวังมาเกือบทั้งชีวิต ย่อมเข้าใจสภาพภายในพระราชวังเป็นอย่างดี อีกอย่าง ข้ามอบโอกาสและหนทางรอดให้กับพวกเจ้า จะทำหรือไม่ทำ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
แม่นมจูแสดงท่าทีเป็นกังวล “ทว่าพระชายา ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเพคะ การขโมยพระศพของฮองเฮา ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน เกรงว่า… เกรงว่า พวกเราคงตายในพระราชวังก่อนที่จะทำเรื่องนี้สำเร็จนะเพคะพระชายา”
……
เชิงอรรถ
[1] ขึ้นภูเขามีด บุกทะเลเพลิง เป็นสุภาษิตของจีน คล้ายสุภาษิตของไทยคือ บุกป่าฝ่าดง มีความหมายว่า เอาชนะความยากลำบากเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ โดยไม่กลัวความยากลำบากและอันตราย