ตอนที่329 หน่วยปักษาทมิฬ

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่329 หน่วยปักษาทมิฬ

ภายใต้คำสั่งของจ้าวเฉียน หยวนมี่ได้จัดเตรียมแผนการขั้นต่อไปเพื่อจุดกระแสเพิ่มอีกระลอก เธอทุ่มเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อบัญชีในTiktokหลายพันบัญชี เพื่อแชร์คลิปสั้นที่หลิวเสี่ยวปิงไปสัมภาษณ์ให้ทั่วทั้งสื่อโซเซียล

ในตอนนี้ทุกคนที่เปิดดูTiktokจะเห็นคลิปวีดีโอแรกคือ คลิปการสัมภาษณ์ของหลิวเสี่ยวเฟย และถ้าลองรีเฟรชอีกครั้งก็จะเห็นกลุ่มคนมีชื่อเสียงมากมาย พยายามที่จะตามหาฟิตเนสดังกล่าวเพื่ออยากปพบเจอเธอตัวจริง

อย่างไรก็ตามคนในหยานจิ้งย่อมสะดวกกว่าคนนอกเมืองหลายสิบเท่า พอเห็นแค่หน้าฟิตเนสก็รู้ได้ทันทีว่าอยู่ตรงไหน ดังนั้นพวกนั้นจึงแห่กันไปยังฟิตเนสดังกล่าวทันทีเพื่อตามหาหลิวเสี่ยวเฟย ส่งผลให้ฟิตเนสแห่งนี้กลายเป็นสถานที่คึกคักอย่างมาก มีผู้ชายจำนวนมากที่มาขอสมัครสมาชิก และต้องการให้หลิวเสี่ยวเฟยมาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว

ผู้จัดการฟิตเนสหัวไวไม่น้อยเช่นกัน หลังจากตกลงกับพวกผู้ชายเหล่านั้นเสร็จ เขาก็รีบเรียกหลิวเสี่ยวเฟยไปคุยในห้องทำงานของเขาทันที

“เสี่ยวเฟย ตอนนี้เธอกำลังดังใหญ่แล้ว ต้องขอบคุณจริงๆที่ทำงานอย่างหนักเพื่อพวกเราทุกคน ถ้างั้นฉันขอเพิ่มเงินเดือนเธอเป็นสองหมื่นหยวนแล้วกันนะ”

ผู้จัดการฟิตเนสกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หลิวเสี่ยวเฟยหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“ผู้จัดหาร ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ พอดีฉันเพิ่งเซ็นสัญญากับค่ายๆหนึ่งเอาไว้ หลังจากนี้ฉันคงต้องไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทดังกล่าว ยังไงก็ต้องขอโทษผู้จัดการจริงๆนะคะ…”

“ห่ะ? เร็วมาก!”

“ใช่ค่ะ หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ได้ไม่นาน ก็มีคนมาติดต่อฉันขอให้เซ็นสัญญาและฉันไม่มีอำนาจในการตัดสินใจอะไรได้เลย ทั้งหมดขึ้นตรงกับบริษัทที่เซ็นด้วย ผู้จัดการเองก็น่าจะเข้าใจนะคะ ช่วงน้ำขึ้นต้องรีบเก็บเกี่ยว ดังนั้นพอมีโอกาสผ่านมาในชีวิตฉันก็ต้องคว้าเอาไว้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…เธออาจจะไม่สามารถทำงานที่นี่ต่อได้แล้ว?”

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ทราบจริงๆ ยังไงผู้จัดการก็ลองติดต่อบริษัทที่ฉันเซ็นดู เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เซ็นสัญญาจ้างกับทางฟิตเนสแห่งนี้อยู่แล้วแต่แรก ลองโทรไปคุยดูก่อนค่ะ แต่ฉันเดาว่าพวกเขาคงไม่อนุญาตให้ฉันทำที่นี่แล้ว”

ผู้จัดการฟิตเนสกังวลอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ถ้าหลิวเสี่ยวเฟยจากออกไปทั้งแบบนั้น แล้วบรรดาผู้ชายที่อยู่ข้างนอกล่ะ? เขาเพิ่งรับปากไปเองว่าจะให้หลิวเสี่ยวเฟยมาเป็นเทรนเนอร์ให้ แถมยังรับเงินมาแล้วด้วย ทีนี้จะทำยังไง?

คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบขอเบอร์โทรติดต่อกับทางบริษัทที่เซ็นสัญญาไปทันทีกับหลิวเสี่ยวเฟย

หยวนมี่ได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว หลิวเสี่ยวเฟยสามารถทำงานเป็นเทรเนอร์ต่อที่นี่ได้ แต่ทางผู้จัดการฟิตเนสจะต้องเพิ่มเงินเดือนของเธอ โดยมีเงื่อนไขที่ว่า เงินเดือนต้องไม่ต่ำกว่า50,000หยวน บวกกับค่าคอมมิชชั่น40%

ผู้จัดการฟิตเนสที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับจุกและรีบตอบกลับไปทันที

“ผู้จัดการหยวนครับ ผมคิดว่าค่าคอมมิชชั่น40%มันไม่ใช่ปัญหาเลย ต่อให้เพิ่มเป็น50%ก็ยังได้ แต่เงินเดือนขั้นต่ำห้าหมื่น มันเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงเลยนะครับ”

หยวนมี่ยิ้มตอบกลับไปว่า

“คุณหลัว ถ้าฉันเป็นคุณ มีคนดังอยู่ในมือทั้งทีควรใช้ให้เป็นประโยชน์นะคะ ถ้าสถานที่ฟิตเนสในปัจจุบันไม่สามารถรองรับคนได้ ส่งผลให้ไม่สามารถขยายขอบเขตการทำกำไรได้อีกแล้ว ทำไมถึงไม่เปิดสาขาเพิ่มล่ะค่ะ? แลกกับกำไรหลายล้านหยวน กับเงินแค่ห้าหมื่นไม่ถือว่าเสียหายตรงไหนเลยนะคะ ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ฉันก็เชื่อว่ามีฟิตเนสแห่งอื่นก็ยังยินดีรับเธอเข้าทำงานพร้อมกับเงินเดือนห้าหมื่นอีกมากมายเลยนะคะ”

ผู้จัดการฟิตเนสรีบคำนวนทุกอย่างภายในหัวทันที แม้ว่าเขาจะต้องง่ายเงินเดือนพื้นฐานให้หลิวเสี่ยวเฟย50,000หยวน ผนวกกับค่าคอมมิชั่นอีก40% แต่ยังไงเขาก็ยังสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลจากเธอ เขาไม่ต้องเหนื่อยสอนใครเทรนเลยเวยซ้ำก็ได้เงินมาใช้แบบสบายๆ แล้วมีเหตุผลอะไรจะต้องปฏิเสธ?

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ผมจะรีบดำเนินการทันที”

ผู้จัดการฟิตเนสเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้

หยวนมี่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนอยู่ในที่คำนวณไว้หมดแล้ว เธอกล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า

“ถ้าอย่างนั้นทางคุณก็เตรียมร่างสัญญาได้เลยค่ะ ตอนนี้คุณหลิวถือเป็นศิลปินของทางค่ายเรา ดังนั้นทุกอย่างที่ตกลงกันต้องมีลายลักษณ์อักษร แล้วฉันจะส่งคนไปเจรจารายละเอียดกับทางคุณอีกที ถ้ามีอะไรสงสัยโทรหาฉันได้ตลอดนะคะ”

“ตกลงครับ แล้วผมจะรอ”

ผู้จัดการฟิตเนสวางสายไปพร้อมถอนหายใจเสียงยาว

หลิวเสี่ยวเฟยเอ่ยถามดูท่าทีไม่ค่อยแน่ใจว่า

“ผู้จัดการ เป็นยังไงบ้างค่ะ?”

“ตกลงกันเรียบร้อย ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้เธอเป็นห้าหมื่นหยวน บวกกับค่าคอมอีก40% หวังว่าหลังจากนี้เธอจะตั้งใจทำงานที่นี่ในอนาคต”

หลิวเสี่ยวเฟยพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“ได้เลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวออกไปทำงานก่อนนะคะ”

“ตั้งใจเข้าล่ะ แล้วอย่าลืม ดูแลพวกเขาทุกคนอย่างเท่าเทียม และพยายามเกลี้ยกล่อมให้คนพวกนั้นซื้อคอร์สพิเศษเพิ่มเยอะ ถ้าดึงให้สมัครแบบVIPได้เลยก็ยิ่งดี เพราะยิ่งพวกเขาจ่ายมาก เธอก็จะได้รับค่าคอมมากขึ้นตามไปด้วย เข้าใจไหม?”

“ได้เลยค่ะผู้จัดการ”

หลิวเสี่ยวเฟยเดินออกไปทันที และไม่นานบรรดากลุ่มผู้ชายเหล่านั้นก็ติดตามเธอเข้ามาหาทันที

ตอนนี้หลิวเสี่ยวเฟยแทนจะไม่ได้เป็นเทรนเนอร์แล้ว เธอเป็นเหมือนกับพี่เลี้ยงเด็กเล็กมากกว่า เธอจำเป็นต้องหาวิธีที่จะคุมกลุ่มคนเหล่านี้ได้ครั้งละมากๆ

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเทรนมาตลอดทั้งวัน ร่างกายของหลิวเสี่ยวเฟยเรียกได้ว่าแทบพังทลาย ด้วยภาระงานที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เธอไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อย่างไรก็ตามแต่ ไม่ว่าเธอจะเหนื่อยแค่ไหน ก็จำเป็นต้องนัดพบกับจ้าวเฉียนให้ได้ หลังจากนอนพักร่างอยู่สักครู่เธอก็ส่งข้อความไปหาจ้าวเฉียน บอกไปว่าอยากไปนั่งเล่นที่วิลล่าของเขา

จ้าวเฉียนที่บังเอิญว่างพอดีไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยขับรถไปรับเธอที่ฟิตเนสและพาไปยังวิลล่าต่อ หลังจากนั่งเล่นกันที่ห้องรับแขกกันสักพัก จ้าวเฉียนก็โน้มตัวเข้าไปกอดหลิวเสี่ยวเฟยและเริ่มสนทนาขึ้นว่า

“จู่ๆก็กลายมาเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ชินกับมันรึยัง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“ยังไม่ชินเลย ตอนนี้นักเรียนของฉันมันเยอะมาก ไม่รู้สิฉันรู้สึกอย่างกับว่า ตัวเองเป็นคุณครูอนุบาล ต้องพยายามเอาใจดูและให้คนพวกนั้นเชื่อฟัง”

หลิวเสี่ยวเฟยถอนหายใจด้วยอารมร์ที่หลากหลาย

“เดี๋ยวก็ชินไปเองแหละ ช่วงนี้ก็พยายามรักษาภาพพจน์ตัวเองให้ดี ผู้จัดการหยวนจะจัดอีเว้นท์ให้เธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันได้ซื้อห้องโรงแรมให้แล้วที่ตงไห่แบบสามห้องนอน ย้ายจากหยานจิ้งไปตงไห่ก่อนสิ้นปีล่ะ”

“เหอะ เหอะ บ้านที่ตงไห่แพงเกินไปจริงๆนั้นแหละ ฉันจะพยายามเก็บเงินซื้อบ้านเป็นหลักเป็นแหล่งจะดีกว่า”

“อ้าว? อยากได้บ้านเหรอ? ถ้างั้นฉันจะซื้อวิลล่าให้สักแห่งชดเชยให้แล้วกัน บินไปที่ตงไห่ก่อนสิ้นปี ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองตงไห่”

หลิวเสี่ยวเฟยโน้มตัวประกบจูบกับจ้าวเฉียนอย่างมีความสุขและกล่าวว่า

“อิอิ…ขอบคุณค่ะ!”

ในขณะเดียวกับมือถือของหลิวเสี่ยวเฟยก็ดังขึ้น พอเธอเอื้อมมือไปหยิบมาดูปรากฏว่าเป็นจางเห่อที่โทรมาหาเธออีกแล้ว เธอรีบส่งมือถือไปให้จ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนกดรับสายและเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณจางมีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เป็นมึงอีกแล้วเหรอ! มึงรับสายแทนเธอได้ยังไง?”

จางเห่อเอ่ยถามด้วยความโกรธจัด แต่อีกด้านพลันเจือน้ำเสียงฉงนสงสัยเช่นกัน

“คำถามของคุณจางน่าสนใจนะครับ เอาเป็นว่าทุกคนโตกันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งดีกว่านะครับ”

“มึงด่ากูเสือกงั้นเหรอ!? หรือว่าพวกมึงสองตัวคบกันนานแล้ว เพราะแบบนี้ใช่ไม่เธอถึงปฏิเสธกู! แต่เสียใจด้วยนะ พ่อแม่ของฉันอยากจะเจอหน้าลูกสะใภ้ใจจะขาดแล้ว ก็อย่างว่านะ…ทั้งพ่อและแม่กูล้วนแต่เป็นบุคคลทรงอำนาจ ใครๆก็ต้องให้ความเคารพทั้งนั้น แล้วพ่อแม่ของมึงมีดีอะไรเหรอ? ฮ่าฮ่า…สุดท้ายนี้เธอต้องเลือกฉันแน่นอน!”

“อ่า…คนเราเลือกเกินไม่ได้น่ะครับ แล้วนัดเจอที่ไหนเหรอ? ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับว่า สุดท้ายเธอจะเลือกคุณหรือผม!”

“ภัตตาคารชูซวน ข้างโรงพยาบาลเขตหยานจิ้ง หรือถ้ากลัวแพ้ก็พาพ่อแม่แกมาด้วยก็ได้นะ! กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าครอบครัวมึงมีดีแค่ไหน! ฮ่าฮ่า…”

“อย่าเลยครับ ผมคงสู้คุณไม่ได้หรอก แล้วเจอกัน…”

จ้าวเฉียนกดวางสายอย่างสบายอารณ์ หลอกควายให้คายพิกัดที่อยู่มันช่างง่ายดายจริงๆ

หลิวเสี่ยวเฟยรีบเอ่ยถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จางเห่อโทรมามีเรื่องอะไร?

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“จางเห่อแค่เสนอที่ตายเฉยๆน่ะ คุณนอนพักเถอะวันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ผมขอตัวไปโทรหาเพื่อนสักแปปนึง”

จ้าวเฉียนคืนมือถือให้หลิวเสี่ยวเฟย ส่วนเธอก็เดินกลับเข้าไปห้องนอนของจ้าวเฉียนอย่างเชื่อฟัง

จ้าวเฉียนสวมชุดนอนเดินออกไปพร้อมกับมือถือของเขา จากนั้นก็โทรหาหวังเจ๋อทันทีและกล่าวว่า

“พ่อบ้านหวัง ครอบครัวของจางเห่อน่าจะอยู่ในภัตตาคารชูซวน ข้างๆโรงพยาบาลเขตหยานจิ้งเลย แจ้งข่าวนี้ให้กับพวกเขาทั้งหก ฉันจะโทรไปหาจางเห่ออีกทีหลังจากพวกนั้นไปถึง ฉันจะล่อมันออกมาเอง แล้วเตรียมฆ่าตรงถนนได้เลย”

หวังเจ๋อรีบตอบกลับทันที

“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงคุณชาย ไอ้หมอนั่นเตรียมตัวไปเกิดใหม่ได้เลย”

จ้าวเฉียนตอบตกลงและวางสายไป กลับไปนอนบนเตียงพร้อมกับหลิวเสี่ยวเฟยในอ้อมแขน และรอสัญญาณจากหวังเจ๋ออีกที

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังเจ๋อส่งข้อความมาหาว่า ทั้งหกคนดักรออยู่หน้าภัตตาคารแล้ว

จ้าวเฉียนเห็นดังนั้นจึงโทรหาจางเห่ออีกครั้งและกล่าวว่า

“คุณจาง ผมว่าเรื่องนี้พวกเราควนเปิดอกคุยกันสองต่อสองนะ ถ้ายังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้างก็อย่าปฏิเสธเลย”

จางเห่อครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนตอบกลับไปว่า

“ตกลง แล้วแกอยู่ไหนแล้ว?”

จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นกำลังเดินทางมาและกล่าวว่า

“กำลังไป แล้วเจอกัน”

พอวางสายไป จ้าวเฉียนก็วางมือถือไว้ข้างๆคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ข่าวเช้ารับอรุณในวันพรุ่งนี้คงเป็นข่าว จางเห่อโดนลอบแทงตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าสิบนาทีต่อมา จู่ๆหวังเจ๋อก็รีบโทรมาหาจ้าวเฉียนพร้อมแจ้งข่าวว่า จางเห่อถูกแทงตายคาที่แล้วบริเวณหน้าภัตตาคาร แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันคือ พ่อแม่ของจางเห่อได้สั่งนักฆ่าจำนวนมากใหดักซุ่มโจมตีอยู่ก่อนแล้วรอบบริเวณภัตตาคาร ทั้งหกรีบวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว ทว่าท้ายที่สุดก็โดนฆ่าทิ้งไม่เหลือ

จ้าวเฉียนที่ได้ทราบดังนั้นก็พลันนึกถึงคำพูดของจางเห่อก่อนหน้าที่ว่า ให้พาพ่อแม่ของจ้าวเฉียนมาด้วยก็ดี นี่เห็นได้ชัดว่าทั้งพ่อแม่และลูกตระกูลจางคิดจะลอบสังหารเขากับพ่อแม่ของเขาในคราเดียว ไอ้ครอบครัวบัดซบนี่มันคิดจะฆ่าล้างตระกูลจ้าวเลยรึไง? แต่โชคดีที่เขาไม่ได้บ้าจี้ตอบตกลงตามมันไปด้วย

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นด้วยความโกรธจัดว่า

“ได้! ถ้าพวกแกอยากฆ่าฉันนัก ก็คงปล่อยให้พวกแกอยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้แล้ว! พ่อบ้านหวัง ส่งหน่วยปักษาทมิฬไปฆ่าล้างตระกูลจางซะ!”

เมื่อหวังเจ๋อได้ยินแบบนั้น ก็รีบวิ่งแจ่นไปหาจ้าวฝู่ที่กำลังทำงานอยู่ทันที และยื่นมือถือให้อีกฝ่ายคุยแทนโดยตรง

“เกิดอะไรขึ้นลูกพ่อ? ทำไมจู่ๆถึงต้องให้หน่วยปักษาทมิฬออกโรง?”

“จางเห่อมันนัดให้ผมไปเจอที่ภัตตาคารชูซวน แถมยังบอกอีกว่าให้เอาพ่อกับแม่ไปด้วย แต่สุดท้ายพวกมันกลับสั่งนักฆ่าจำนวนมากให้ดักซุ่มโจมตีอยู่แล้วจากด้านนอก พวกมันคิดจะฆ่าพวกเราสามคนทั้งหมดในคราเดียว แล้วพ่อคิดว่ายังจะปล่อยพวกคนแบบนี้ให้ลอยนวลได้อีกเหรอ?”

จ้าวฝู่โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากลูกชาย ตัวเขากับอวี้กุยเฟิงยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้คนพวกนี้คิดจะฆ่าลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจริงๆด้วยเรื่องแค่นี้ แน่นอนเขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกชายของตัวเองโดยเด็ดขาด

“เข้าใจแล้ว พ่อบ้านหวัง แจ้งไปทางหน่วยปักษาทมิฬให้กำจัดสมาชิกทุกคนในตระกูลจาง จำไว้ว่าสถานที่เกิดเหตุห้ามทิ้งร่องรอยเด็ดขาด”

จ้าวฝู่ตะโกนสั่งพ่อบ้านหวังที่ยืนอยู่ข้างๆโดยตรง

“เข้าใจแล้วครับนายท่าน ผมจะรีบติดต่อไปหาทันที”

หน่วยปักษาทมิฬเป็นทีมนักฆ่าที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลจ้าวตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้า ถ้าหากเกิดเสียชีวิตลงในระหว่างภารกิจจะไม่มีใครสามารถสืบสาวเอาประวัติจากคนพวกนี้ได้

ซึ่งหน่วยปักษาทมิฬไม่ได้ถูกเรียกใช้มาเป็นเวลานานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกครอบครัวของจางเห่อต้องการจะฆ่าจ้าวเฉียน จ้าวฝู่คงไม่เรียกพวกเขาออกมาโดยง่ายแน่นอน