ตอนที่ 314 ณ พระราชวังจวี้หัว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 314 ณ พระราชวังจวี้หัว

ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด

นี่คือเสียงของกวนถง !

เมื่อองค์จักรพรรดิเหวินได้ยินดังนั้น เขาเองก็ขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน ในขณะที่กำลังฟังถังจู้กั๋วกล่าวอย่างสำราญใจ และกำลังจะตรัสถามว่าไทเก็กคือวรยุทธ์แบบใด กำลังจะให้บรรดาขุนนางทั้งหลายแนะนำฟู่เสี่ยวกวน แต่คาดมิถึงว่าจะมีใครบางคนมาตีกลองร้องทุกข์ !

และผู้ที่ถูกฟ้องร้องก็ยังเป็นฟู่เสี่ยวกวน !

กวนถงยังมิหายดี เขาพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฝานหนิงเพียงมิกี่วัน ก็ได้รีบเดินทางกลับมายังเมืองกวนหยุน อีกทั้งยังเร่งรีบเดินทางมาก่อนที่ประชุมใหญ่ราชวงศ์จะสิ้นสุดลง

ในความคิดของเขา การที่เขาถูกฟู่เสี่ยวกวนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ จะต้องป่าวประกาศให้เสนาบดีทุกคนรับทราบ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋ เขาเชื่อมั่นว่าเมื่อฝ่าบาททรงได้ฟังเรื่องราวที่เขาพบเจอมานั้น พระองค์จะทรงมิพึงพอใจฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ หากสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวกวนออกไปจากราชวงศ์อู๋ได้ เรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะเรียกได้ว่ามิเสียแรงเปล่า

จักรพรรดิเหวินทรงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตรัสว่า “เบิกตัวได้ ! ”

กวนถงเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเล จากนั้นเขาก็ได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่หน้าประตู เนื่องจากหันไปพบกับฟู่เสี่ยวกวน !

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ หันหน้ามาทางเขาแล้วยิ้มขึ้น ทำให้เขาตกตะลึงขนลุกขนพอง

เขามิเข้าใจเสียจริงว่า ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงขุนนางในราชวงศ์หยู เหตุใดจึงมานั่งอยู่ในพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ได้ เขารู้สึกได้ถึงลางร้าย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเตรียมตัวมา เขาก็มองค้อนฟู่เสี่ยวกวนกลับไป จากนั้นจึงเดินเข้าสู่พระราชวังจวี้หัวอย่างสง่าผ่าเผย

กวนถงคุกเข่าลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาร้องไห้แล้วกล่าวออกมาทั้งน้ำตาว่า “กระหม่อมกวนถง ชื่อหลางฝ่ายซ้ายแห่งกรมพิธีการ มิกี่วันที่ผ่านมาฝ่าบาทได้ทรงรับสั่งให้กระหม่อมเดินทางไปต้อนรับขบวนจากแคว้นต่าง ๆ ที่เมืองฝานหนิง แคว้นอี๋และแคว้นฮวงได้เดินทางมาถึงล่วงหน้า ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี เพียงแต่…”

กวนถงเงยหน้าขึ้น จากนั้นโอดครวญออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “แต่เมื่อขบวนของฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นกระหม่อมกำลังเจรจากับบัณฑิตอีกสามแคว้นเกี่ยวกับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จึงทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนกลับสั่งให้สร้างที่พักแรมด้านนอกเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นกระหม่อมคิดว่าในเมื่อเขาได้ตั้งที่พักแรมแล้ว อีกอย่างธุระที่กระหม่อมจัดการก็ยังมิเรียบร้อย ดังนั้นจึงตั้งใจจะเดินทางไปต้อนรับในวันรุ่งขึ้น”

กวนถงกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นเอ่ยต่อไปว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าในวันที่สอง ฟู่เสี่ยวกวนได้เก็บที่พักแรมแล้วหันขบวนกลับ…เมื่อตอนที่กระหม่อมรับรู้เรื่องนี้ก็ได้รีบตามไปทันที และตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนทันในระยะทางห่างจากกำแพงเมืองฝานหนิงห้าสิบลี้ กระหม่อมร้องขอให้ฟู่เสี่ยวกวนติดตามกระหม่อมมายังเมืองหลวง คาดมิถึงว่าเขากลับมิสนใจในคำรับสั่งของฝ่าบาท กลับหยิ่งผยองในตนเอง อ้างใช้เหตุผลว่ากำลังฝึกสมาธิมิประสงค์ให้กระหม่อมเข้าพบ อีกทั้งสั่งให้กระหม่อมยืนตากฝนอยู่นานสองนาน หากว่ากระหม่อมกล้าเดินจากไปแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะยกขบวนกลับทันที กระหม่อมทราบว่าเขาคือผู้ที่ฝ่าบาททรงเจาะจงเชิญเขามาเพียงผู้เดียว จึงมิกล้าขัดคำสั่ง กระหม่อม…กระหม่อมยืนตากฝนอยู่เยี่ยงนั้นครึ่งค่อนวัน กระทั่งองค์หญิงไท่ผิงเสด็จมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ออกมาพบ”

เขาเล่าเรื่องราวเกือบทั้งหมดออกมา เสียงกระซิบกระซาบจากเสนาบดีทั้งหลายดังไปทั่วท้องพระโรง ส่วนจักรพรรดิเหวินทรงขมวดคิ้วแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนอีกคราหนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ทีเดิมราวมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น คำกล่าวที่กวนถงเอ่ยมาเมื่อสักครู่ เขาก็มิได้มีท่าทีทุกข์ร้อนเช่นไร กลับดูสงบเสียด้วยซ้ำ

กวนถงกล่าวออกมาด้วยน้ำตานองหน้าอีกคราว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถูกฟู่เสี่ยวกวนกลั่นแกล้งนั้นหาได้เป็นไรไม่ แต่กระหม่อมเป็นกังวลเหลือเกินว่า เหตุใดกันฟู่เสี่ยวกวนถึงใจกล้าเพียงนี้ ? เขาเป็นตัวแทนของราชวงศ์หยูเดินทางมาในครานี้ กระหม่อมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการประกาศตนเป็นใหญ่ ! ฟู่เสี่ยวกวนเขามิเห็นราชวงศ์หยูในสายตา อีกทั้ง…มิเห็นฝ่าบาทในสายตา ! ”

ประโยคสุดท้ายนี้เขาเน้นย้ำเสียงดัง กระทั่งทำให้เสนาบดีบางคนถึงกับขุ่นเคือง

เสนาบดีวัยกลางคนผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วคารวะองค์จักรพรรดิเหวิน “กระหม่อมมีความเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นไปตามชื่อเสียงที่เลื่องลือ ! ราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับวรรณกรรมยิ่ง และปกครองแคว้นด้วยตำราอันศักดิ์สิทธิ์ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์เลื่องชื่อแห่งใต้หล้า เขาต้องเข้าใจในตำราศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และเขาจะมิรู้ถึงมารยาทเบื้องต้นได้เยี่ยงไร จากคำกล่าวของท่านกวนเมื่อครู่ กระหม่อมเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแต่ไม่เข้าใจมารยาท ทั้งยังแสดงความไม่เคารพต่อฝ่าบาทอีกด้วย บุคคลเช่นนี้มิคู่ควรที่จะเป็นแบบอย่างให้กับบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ของพวกเรา กระหม่อมขอร้องให้ฝ่าบาทขับไล่เขาผู้นี้ออกจากราชวงศ์อู๋เสียพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เสนาบดีทั้งหลายพากันลุกขึ้นยืน จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วเข้ามาเล็กน้อย กวนถงที่คุกเข่าอยู่นั้นยิ่งได้ใจ เขาจึงเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ฟู่เสี่ยวกวนยังเคยกล่าวบางประโยคกับกระหม่อมอีก แต่กระหม่อมมิกล้าเอ่ยออกมา”

จักรพรรดิเหวินยิ้มแล้วตรัสว่า “เจ้าจงเอ่ยมาให้ข้าฟัง”

กวนถงชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นกล่าวว่า “เขากล่าวว่า…ผู้คนในราชวงศ์อู๋ยังมิรู้จักอารยธรรม กลับจัดงานวรรณกรรมขึ้น มันช่าง…มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง ! ”

ประโยคนี้ทำให้ทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงฮือฮาขึ้นทันใด

เหล่าเสนาบดีพากันลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคือง พวกเขาทุกคนร้องขอให้องค์จักรพรรดิทรงขับไล่คณะของราชวงศ์หยูออกไปจากเมือง

หนานกงอี้หยู่ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมิได้ขยับเขยื้อน กลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าแปลก

เมื่อวานตอนเช้าเขาได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่กวนหยุนถาย พวกเขาทั้งสองได้สนทนากันอย่างถูกคอ มิเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีทีท่าบ้าคลั่งดั่งที่กล่าวมาแม้แต่น้อย

เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดเห็นตรงกันกับเขา ในเรื่องความคิดเห็นของเหวินสิงโจว ทำให้เขานับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสหายด้วยซ้ำ

แต่จากคำกล่าวของกวนถงเมื่อครู่ ฟู่เสี่ยวกวนเสมือนกับพวกบ้าคลั่งในอำนาจ คิดว่าตนเป็นใหญ่ แต่เมื่อวานนี้เขาช่างอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง เช่นนั้นกวนถงกำลังกล่าวความเท็จ ? หรือว่าสายตาของเขาคู่นี้มองคนผิดไปกัน ?

เขาตัดสินใจรอดูต่อไป…

ส่วนจัวอี้สิง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็มิได้ขยับเขยื้อนเช่นกัน เขายืนอยู่กับที่ สายตามองไปยังพื้นด้วยสีหน้ามิใคร่ดีนัก มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่

จักรพรรดิเหวินมิอาจประทับนั่งอยู่ได้ พระองค์ทรงตรัสถามกวนถงว่า “เจ้ามีหลักฐาน พยานหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท มีเยียนหานยวี่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ และท่าป๋ายวนแห่งแคว้นฮวงเป็นพยานอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เหวินตี้ตกตะลึง กวนถงกล้าเข้าฟ้องร้องถึงท้องพระโรง อีกทั้งยังมีราชทูตของทั้งสองแคว้นเป็นพยาน คาดว่าเรื่องราวคงเป็นจริงดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนเช่นนั้นจริงหรือ ?

ในใจของพระองค์บัดนี้รู้สึกผิดหวังยิ่ง ทรงหันพระพักตร์ไปมองฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยิ้มตอบ หาได้มีความกังวลหรือประสงค์จะคัดค้านแต่อย่างใด

“ฟู่เสี่ยวกวนที่ข้าเจาะจงเชิญมา บัดนี้เขาเองก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เดิมทีข้าต้องการจะรอให้การประชุมใหญ่ราชวงศ์นี้จบลง แล้วจะสนทนาเป็นการส่วนตัวกับเขา ในเมื่อบัดนี้กวนถงได้เข้ามาร้องทุกข์ เช่นนั้น…ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวหรือไม่ ? ”

ประโยคเมื่อครู่ขององค์จักรพรรดิ ทำให้เสนาบดีทั้งหลายหันไปมองด้านหลัง และพบว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

สายตาของเสนาบดีทั้งหลายเต็มไปด้วยความมิพึงพอใจ ฟู่เสี่ยวกวนกลับเดินอย่างสง่า มิได้เหลือบไปมองผู้คนเหล่านี้แม้แต่น้อย

เจ้าหมอนี่…ช่างเย่อหยิ่งจองหอง ไร้ผู้ใดในสายตา !

ฟู่เสี่ยวกวนมาหยุดยืนอยู่ข้างกวนถง เขาโค้งกายคารวะจักรพรรดิเหวิน จากนั้นค่อย ๆ หันหน้ามายังบรรดาเสนาบดีทั้งหลาย

ใบหน้าของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของพวกเขาแล้ว บ่งบอกถึงความดูถูก เย่อหยิ่ง มองไปช่างรู้สึกอึดอัด พวกเขาแทบอดไม่ได้และอยากจะเข้าไปเตะสักสองสามทีให้หายหมั่นไส้ !