ตอนที่ 315 ชะตาขาด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 315 ชะตาขาด

เหล่าขุนนางบนพระราชวังจวี้หัวรู้สึกเดือดดาลยิ่ง

โทสะนี้มาจากความเป็นราษฎรแห่งแคว้นอู๋ของพวกเขา มาจากความภาคภูมิใจของพวกเขา และมาจากความมุ่งมั่นที่จะปกป้องศักดิ์ศรีราชวงศ์อู๋ของพวกเขา

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนของราชวงศ์หยูเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชวงศ์อู๋เบื้องหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย เขาเสมือนกับเรือหนึ่งลำกลางทะเลที่โหมกระหน่ำ มีความเป็นไปได้ที่จะถูกมรสุมลูกนี้ทำให้ดับสลายไปอย่างแน่นอน

แต่เขากลับมิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มขุนนาง หลังจากนั้นก็กล่าวว่า

“ ‘คัมภีร์บทกวี สุภาพ’ กล่าวไว้ว่า ‘มิใช่กล่าวมิได้ แล้วเหตุใดต้องหวาดระแวง’ กล่าวเพ้อเจ้อเพื่ออันใดกัน ข้อเท็จจริงจากนักปราชญ์ในเรื่องนี้ ต้องสามารถแบ่งแยกถูกผิดยามกราบทูลจักรพรรดิได้ ดังนั้นทุกท่าน หากพวกท่านอาศัยเพียงคำกล่าวนี้ของท่านขุนนางกวน แล้วเกิดความคิดอยากจะใช้อำนาจกลืนกินข้า คงต้องขอกล่าวอะไรที่มันทำให้พวกท่านอารมณ์มิดี…”

มือของเขาผายออกไปด้านหน้า “ทุกท่านที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ พวกท่าน ต่างก็เป็นบุคคลที่มีตาหามีแววไม่”

คำพูดก่อนหน้านั้นของฟู่เสี่ยวกวนยังทำให้จิตใจของขุนนางทั้งหลายเกิดความคิดพิจารณาตนเองบ้าง แต่ประโยคตอนท้ายของเขานั้นกลับทำให้ความเกลียดชังในใจขุนนางเหล่านั้นถูกเติมเต็มอีกครา

เจ้าฟู่เสี่ยวกวน คาดมิถึงว่าจะกล้ากล่าวว่าพวกข้านั้นเป็นผู้อาวุโสที่มีตาหามีแววไม่อย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้น่ะหรือ !

ความบ้าระห่ำของชายผู้นี้แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน !

หนานกงอี้หยู่ได้ยินดังนั้นก็อึดอัด แต่จัวอี้สิงกลับหัวเราะขึ้นมา และจิตใจของจักรพรรดิเหวินในยามนี้ก็ยากที่จะพรรณนาได้ คำพูดก่อนหน้านั้นของเด็กนี่ระงับความโกรธของพวกเขาลงก็ถูกแล้วมิใช่หรือ เหตุใดต้องกล่าวแบบวาดงูเติมขาในประโยคสุดท้ายนั่นด้วย

ในตอนนี้มรสุมลูกนี้กำลังพุ่งมาถึงตัวฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงยิ้มจนตาหยีก่อนจะเปิดปากว่า “แน่นอน ที่ทุกท่านสามารถมายืนอยู่บนราชสำนักนี้ได้ ย่อมมีดวงตาที่สว่างไสวอย่างไร้ที่เปรียบ แน่นอนว่าต้องมีความสามารถในการแยกแยะอีกด้วย…หากมิมีแม้แต่ความสามารถนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงมิมีทางจะมายืนอยู่ที่นี่ได้”

เมื่อพายุสงบ ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวออกมา เหล่าเสนาบดีต่างก็อับอายที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ฟู่เสี่ยวกวน

เหตุใดกัน ?

เพราะหากตนเองบันดาลโทสะใส่ฟู่เสี่ยวกวนในตอนก่อนที่จะเข้าใจเรื่องนี้แล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด จะกลายเป็นกล่าวว่าตนเองมีตาหามีแววไม่ หรือจะเป็นการแสดงความโง่เขลาต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไปว่าตนเองนั้นไร้ความสามารถ

ในตอนนั้นเอง หนานกงอี้หยู่หัวเราะขึ้นมาในขณะที่ลูบเครา แต่จัวอี้สิงกลับคิ้วขมวดนิ่ว ใจที่เป็นกังวลของจักรพรรดิเหวินจึงได้ผ่อนคลาย

ชายผู้นี้ช่างรู้จักการใช้วาจา เขานั้นเคยได้ยินมาก่อน

“ดังนั้นทุกท่าน ในตอนนี้ข้าได้อยู่ต่อหน้าพวกท่าน ข้าจะถอดหน้ากากที่ซีดเซียวของท่านขุนนางกวนผู้นี้ออกมา ให้พวกท่านได้เห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์ยิ่งของเขา”

กวนถงเดือดดาล ลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันพลัน เขายื่นมือชี้ฟู่เสี่ยวกวน “เด็กน้อยอย่างเจ้า ต้องการแสดงอำนาจของราชวงศ์หยูบนท้องพระโรงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เขาหันหน้าไปหาองค์จักรพรรดิ และยกมือคำนับอีกครา “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ผ่านเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาแล้ว…”

คำพูดของเขาได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนขัดขวางเอาไว้ ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของเขา และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านขุนนางกวน ข้าขอถามท่าน ในตอนที่พวกข้าราชวงศ์หยูเดินทางมาจนถึงด้านนอกเมืองฝานหนิง ท้ายที่สุดแล้วท่านอยู่ในรถม้าหรือว่ากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนอยู่กับเหล่าบัณฑิตต่างเมืองกันแน่ หากจะกล่าวความเท็จนั้นมีโทษประหารทั้งตระกูล”

กวนถงตื่นตระหนก หรือว่ามันจะรู้กัน ?

แต่ความเห็นนี้ก็โหดร้ายเกินไป แต่ในตอนนี้เขาจำต้องโกหก เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้กล่าวความเท็จกับฝ่าบาทไปแล้ว

“เหอะ ข้าในยามนั้นย่อมกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบัณฑิตแคว้นอื่นอยู่”

“เยี่ยงนั้นข้าขอถามท่านอีกครา ท่านและบัณฑิตเหล่านั้นพูดคุยแลกเปลี่ยนกันที่ใด ? ”

“นี่…”

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่ากวนถงอีกครา “มิต้องรีบร้อนไป ค่อย ๆ คิด คิดดี ๆแล้วก็ค่อยตอบออกมา อย่าได้ปล่อยขาม้าออกมา นอกจากนี้ ข้ายังอยากถามท่านขุนนางกวนเสียหน่อย สุราหอป้านเยวี่ยแห่งเมืองฝานหนิงเลิศรสหรือไม่ ? ”

“ท่านก็อย่าได้รีบร้อนตอบคำถามไป ข้าขอถามท่านอีกครา ท่านเคยเห็นจักรพรรดิเหวินในสายตาบ้างหรือไม่ ? ”

สามคำถามของฟู่เสี่ยวกวน สองคำถามก่อนหน้านั้นถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คำถามที่สามกลับเสียดแทงใจยิ่งนัก !

ดังนั้นเสนาบดีใหญ่ทั้งหลายจึงหันไปมองกวนถงอีกครา ครุ่นคิดว่าความตื่นเร้าของตนเองอย่าได้ถูกคนผู้นั้นขุดหลุมฝังเลย

กวนถงหน้าแดงทันพลัน “ฝ่าบาทสำหรับข้า…”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขัดคำพูดของเขา “ท่านขุนนางกวน อย่าตื่นเต้นไป ท่านตอบคำถามของข้าไปทีละข้อ ดีหรือไม่ มา ๆ ๆ เริ่มที่คำถามแรก”

“ข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกศิษย์อยู่ที่หอหยิงปิน”

“ดี ตอนนี้มาตอบคำถามที่สอง สิ่งที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันกับลูกศิษย์มีเรื่องใดบ้าง ? ”

“ย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยียนหานยวี่ ท่าป๋ายวน ฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามของแคว้นฝานและอื่น ๆ ”

“พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องอันใดกัน ? ”

“ข้อควรระวังสำหรับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้”

“เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อใด ? ”

“…ใกล้สิ้นเวลาพลบค่ำ”

“พูดคุยแลกเปลี่ยนจนถึงเวลาใด ? ”

“…ช่วงเวลายามซวีถึงยามห้าย”

“พูดคุยแลกเปลี่ยนกันนานเท่าใด ? ”

“ครึ่งชั่วยาม”

“ข้ามาถึงนอกเมืองฝานหนิงยามใดกัน ? ”

“ยามเย็น”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะขึ้นมา และเอ่ยถามอีกว่า “ได้ดื่มซีชานเทียนฉุนที่หอป้านเยวี่ยใช่หรือไม่ ? ”

“มิใช่”

กวนถงตกใจ และรีบเสริมเข้าไปอีกหนึ่งประโยค “คืนนั้นมิได้ดื่มสุรา”

แต่ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มองเขาอีก แต่กลับยกมือขึ้นมาคำนับจักรพรรดิเหวิน และกล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ขุนนางของพระองค์ผู้นี้กล่าวความเท็จพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อครู่ก่อนหน้านั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ถามสามคำถามเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ภายหลังกลับถามอย่างมากมาย ทั้งยังพูดเร็วอย่างมาก กวนถงก็ถูกทำให้ตอบคำถามเร็วไปด้วย

ได้มีพิรุธเผยออกมาแล้ว นั่นก็คือช่วงเวลา

ในเหล่าเสนาบดีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง มิทราบว่าแท้จริงแล้วกวนถงโกหกที่ตรงไหนกัน

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คณะตัวแทนของกระหม่อมมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงในยามเย็น แต่ตามคำพูดของท่านขุนนางกวน เขาแลกเปลี่ยนกับเหล่าบัณฑิตในช่วงเวลาใกล้สิ้นพลบค่ำ ขอถามว่า ยามเย็นจนถึงยามพลบค่ำในหนึ่งชั่วยามนั้น เหตุใดท่านขุนนางกวนจึงมิได้ออกจากเมืองไปต้อนรับคณะตัวแทนราชวงศ์อยู่ของกระหม่อมกัน ? ”

เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้กวนถงกล่าวว่าในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและคณะมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงเขากำลังแลกเปลี่ยนอยู่กับคณะตัวแทนแคว้นอื่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับเป็นว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงได้หนึ่งชั่วยาม เขาถึงได้แลกเปลี่ยนกับคณะตัวแทนแคว้นอื่น

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามมามากมาย แท้จริงแล้วมีเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้นที่ชี้ชะตา ส่วนคำถามอื่น ๆ ก็แค่เพียงใช้เป็นเกราะกำบังให้กับคำถามนี้เพื่อทำให้กวนถงเกิดความเลินเล่อ

เจ้าเด็กนี่…ร้ายกาจอย่างแท้จริง !

กวนถงผงะไปพลัน แต่ก็รู้สึกตัวได้ในไม่ช้า ในตอนที่เขาต้องการอธิบาย แต่กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอย่างขำ ๆ ขึ้นมาอีกว่า “ท่านขุนนางกวน ท่านต้องการให้ข้าพาพยานมาไต่ถามที่นี่หรือไม่ ? ”

“ต้องการ ข้าต้องการ ข้าต้องจดจำช่วงเวลาผิดไปแน่”

“ดีมาก เยี่ยงนั้นท่านขุนนางกวน ท่านกล่าวว่าคืนนั้นมิได้ออกไปดื่มสุรา เกรงว่าท่านจะมิได้ตกลงกับเยียนหานยวี่และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเดี๋ยวข้าคงต้องเอ่ยถามพวกเขาว่าเครื่องดื่มของหอป้านเยวี่ยคือซีชานเทียนฉุนใช่หรือไม่ ! ”

กวนถงได้ยินดังนั้น ก็เย็นวาบไปทั้งใจ

แท้จริงแล้วเขานั้นได้หารือกับเยียนหานยวี่และคนอื่น ๆ เช่นกันว่าจะใส่ร้ายฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร แต่เขามิได้กล่าวกับพวกเขาว่าห้ามบอกเล่าเรื่องราวคืนนั้นที่หอป้านเยวี่ยออกไป

และเมื่อเหล่าขุนนางได้กลับมามองในยามนี้อีกครา ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันพลัน ว่าตนนั้นได้ถูกกวนถงหลอกเข้าแล้ว !

จักรพรรดิเหวินเดือดดาล ในตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค

“ดังนั้นท่านขุนนางกวน ท่านยังมิได้ตอบคำถามสุดท้ายของข้าเลย ว่าท่านได้เห็นจักรพรรดิเหวินอยู่ในสายตาหรือไม่ ? ”

กวนถงทิ้งตัวคุกเข่าเสียงดัง จักรพรรดิเหวินสะบัดชายแขนเสื้อ “ถอดมันเสีย เสื้อคลุมราชสำนักที่ข้าเคยมอบให้เขา นำตัวไปขังคุกใหญ่ และรอ…การพิพากษาฤดูใบไม้ร่วง ! ”

กวนถงได้ยินดังนั้น อาการป่วยที่มีอยู่แต่เดิมก็เริ่มสาหัส ในยามนี้หมดสิ้นแล้วความหวัง ทันใดนั้นเขารู้สึกโลกกลับตาลปัตร สองตาพร่ามัว และล้มลงหัวกระแทกกับพื้น

คาดมิถึงว่าเขาจะชะตาขาดแล้ว !