ตอนที่ 243 รู้จักเป็นห่วงคนอื่นแล้ว

จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม “ไม่เป็นไร ภรรยา คุณก็พูดแล้วว่าสามีของคุณเป็นพวกแสวงหากำไร ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยเอาเงินกลับมาจากพวกแสวงหากำไรก็สิ้นเรื่อง!”

คำพูดนี้ของสามีเป็นการปลอบใจเย่ฉูฉู่อย่างมาก ภายในใจได้รับความมั่นใจในตนเองแล้ว เธอจึงพิงเข้ากับบ่าของสามีเพื่อนอนหลับ

ตอนนี้บ้านของพี่รองจ้าวกำลังต่อสู้อย่างหนัก

สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้เหมือนกับคู่ของเย่ฉูฉู่ที่ได้กะหนุงกะหนิงกัน ปีนี้การเก็บเกี่ยวไม่เลวเลย นอกจากนี้ยังมีเงินจากการขายกระต่ายด้วย ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าปีนี้จะฉลองปีใหม่อย่างดี พวกเขาซื้อกระดาษติดกำแพงพื้นหลังสีฟ้าลายดอกไม้มาจากจ้าวเหวินเทา

ช่วงเช้ายุ่งจนหัวหมุน มีแค่ช่วงค่ำที่ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ก็ระดมกำลังทั้งบ้านเพื่อเริ่มแปะ!

พี่สะใภ้รองจ้าวรับผิดชอบทากาว กาวนี้ทำมาจากแป้งบัควีท ลูก ๆ ทั้งสามคนรับผิดชอบส่งกระดาษ พี่รองจ้าวยืนอยู่ด้านบนเตียง มือข้างหนึ่งใช้ไม้กวาดเพื่อดันกระดาษติดฝาผนังแปะลงบนกาว หลังจากจัดตำแหน่งแล้วก็ใช้ไม้กวาดรูดจนเรียบ อย่างน้อย ๆ เมื่อมองดูแล้วก็เห็นได้ว่าเรียบสนิท

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพดานในบ้านพี่รองจ้าวใช้ก้านดอกทานตะวันยึดไว้ จากนั้นก็ใช้โคลนทาทับ จึงไม่ได้เรียบสนิทมากมายอะไร แตกต่างจากเพดานบ้านของจ้าวเหวินเทาที่ใช้แผ่นไม้กระดานสีขาว ไม่แปะด้วยกระดาษติดกำแพงก็ยังสวย

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ หลังจากติดเสร็จก็ยังสวยกว่ากำแพงโคลนสีเหลืองก่อนหน้านี้อย่างมากอยู่ดี

ทั้งครอบครัวพึงพอใจกับผลงานของตัวเองเป็นอย่างมาก หลังจากพวกเด็ก ๆ แสดงความคิดเห็นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแล้ว ก็หาวออกมาบอกว่าจะนอนแล้ว พี่สะใภ้รองจ้าวจึงเก็บกวาดแบบง่าย ๆ แล้วเรียกให้พวกเขาเข้านอน ส่วนหล่อนและพี่รองจ้าวยืนชื่นชมผลงานอยู่ที่พื้นอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการแปะกำแพงเป็นครั้งแรก ผลลัพธ์ดีกว่าที่จินตนาการไว้มากเลย

“ฉันว่าแบบนี้สวยกว่ากำแพงของบ้านน้องหกอีกนะ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “บ้านของพวกเขาเป็นสีขาวทั้งหลัง ไม่ได้มีความรื่นเริงแม้แต่น้อย จืดชืดเกินไปด้วย!”

พี่รองจ้าวก็รู้สึกแบบนี้ “มีลายดอกไม้ด้วยสวยดีนะ เอาล่ะ แค่นี้ก็ดูดีอีกปีหนึ่งแล้ว รีบนอนเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึก เตาก็มอดไปนานแล้ว ภายในเตายังหลงเหลือไฟอีกนิดหน่อย เมื่อสักครู่ตอนที่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ตอนนี้ได้พักแล้ว แม้จะสวมด้วยเสื้อกันหนาวบุนวมตัวใหญ่ก็ยังหนาวอยู่ดี

พี่สะใภ้รองจ้าวได้ฟังก็ตัวสั่น “ใช่ หนาวจริง ๆ นอนเถอะ!”

จากนั้นทั้งคู่ก็ขึ้นไปนอนบนเตียง เป็นเพราะแอบรู้สึกตื่นเต้นกับการแปะกำแพง จึงรู้สึกไม่ง่วงไปชั่วขณะหนึ่ง พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “แปะกำแพงเสร็จแล้ว พรุ่งนี้เก็บกวาดบ้านแล้วกัน วันมะรืนจะมีตลาดนัด อะไรที่ควรซื้อก็ต้องซื้อนะ อย่าให้ถึงวันที่ 29 ต้องไปตลาดนัดรวมตัวคนขี้เกียจอีกล่ะ คงดูไม่ดีแน่”

วันที่ 29 เดือนธันวาคมจะมีตลาดนัดครั้งสุดท้าย ซึ่งถูกผู้คนเรียกกันว่า ตลาดของคนขี้เกียจ ของไม่เพียงแค่มีไม่ครบ แต่ยังเป็นของที่ถูกเลือกและเหลือทิ้งไว้

“ยังจะซื้ออะไรอีก นี่ก็ซื้อจนครบแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่รองจ้าวแอบปวดใจ ปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีเงินเหลือ ผลลัพธ์ที่ได้ภรรยาของเขากลับอยากแปะกำแพง ทั้งยังไม่ได้อยู่ในงบประมาณด้วย เมื่อได้ยินความหมายของภรรยา ดูเหมือนว่าหล่อนยังมีของที่อยากซื้ออีกไม่น้อยเลย

พี่สะใภ้รองจ้าวพอจะเข้าใจความหมายของสามี อันที่จริงหล่อนก็เจ็บปวดหัวใจมากเหมือนกัน แต่ตอนที่ไปหาจ้าวเหวินเทาเพื่อซื้อกระดาษติดกำแพง หล่อนเห็นคนมีกินมีใช้ ทั้งยังได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าซื้ออะไรไปบ้าง จึงแอบกลั้นใจอยู่ภายในใจ ทุ่งนาเหมือนกันต่างก็ได้รับการเก็บเกี่ยวกันถ้วนหน้า มีสิทธิ์อะไรที่คนอื่นจะได้ข้ามปีใหม่แบบดี ๆ แต่หล่อนกลับทำไม่ได้ การมีชีวิตของคนอยู่ที่ลมหายใจ การมีอยู่ของพระพุทธเจ้าอยู่ที่หนึ่งก้านธูป หล่อนจะแย่กว่าคนอื่นไม่ได้!

“พวกเด็ก ๆ ไม่มีชุดใหม่ใส่มาหลายปีแล้วนะ ฉันคิดว่าจะดึงผ้าออกมาสักสามสี่ฟุตเอามาตัดชุดใหม่ให้พวกเขา”

พี่รองจ้าวเดิมทีก็คิดอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้วจึงพูดว่า “งั้นก็ทำเสื้อคลุมใหม่เถอะ ส่วนกางเกงเอาตัวเก่าจากปีที่แล้วมาแก้สักหน่อยก็ได้แล้ว”

“ปีที่แล้วก็แก้แล้ว ยังจะให้แก้อะไรอีก?” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่มีความสุข “ต้าหยายังได้อยู่ เด็กผู้หญิงไม่ต้องเลือกสรรอะไรขนาดนั้น เอามาใส่รวม ๆ กันได้อีกปี แต่ชุดของพวกเถี่ยต้านสองคนนั้นล่ะ ใส่ไม่ได้แล้วนะ”

“งั้นก็เอากางเกงของคุณไม่ก็ของผมมาปรับดู ดูว่าอันไหนพอจะเอามาแก้ได้ คุณก็ลองแก้ ๆ ดูสักหน่อย” พี่รองจ้าวเสนอวิธี

พี่สะใภ้รองจ้าวทำท่าจะระเบิดอารมณ์ พี่รองจ้าวก็พูดอีกว่า “พวกเด็ก ๆ ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ก็ดูไม่ออกหรอก มีแต่คุณนั่นแหละ ทำชุดใหม่สักตัวก็แล้วกัน คุณเองก็ไม่ได้เย็บเสื้อใหม่มาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ภายในใจของพี่สะใภ้รองจ้าวอุ่นขึ้นราวกับได้ดื่มน้ำร้อนในช่วงฤดูหนาว ร่างกายของเธอรู้สึกอุ่นไปทั้งตัว ความโกรธเมื่อครู่หายไปในทันที สามีของหล่อนก็นับว่ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง เขารู้ว่าหล่อนเหนื่อย น้ำเสียงจึงอ่อนลง “ฉันอยู่บ้านไม่เป็นไรหรอก คุณนั่นแหละที่ต้องเย็บชุดใหม่ ผู้ชายออกจากบ้านไปข้างนอกถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าดี ๆ คงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะได้”

“หัวเราะเยาะอะไรกัน มีอะไรให้น่าหัวเราะ” พี่รองจ้าวกลับไม่คิดเช่นนี้ “ผมก็ไม่ได้ออกไปไหน ก็อยู่บ้านเหมือนกัน ตอนนี้ยังต้องทำเต้าหู้อีก เสื้อใหม่แบบไหนใส่ไปก็ไม่ได้ดูดีอะไร แต่มีเงินทำอะไรก็ดีไปหมด พวกผู้หญิงแบบพวกคุณไม่เหมือนกัน ต้องออกไปนั่งคุยด้วยกัน ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่คงถูกคนหัวเราะเยาะ เชื่อผมเถอะ ทำชุดใหม่ของคุณนั่นแหละ ส่วนของผมกับลูกแค่เอาตัวเก่ามาปรับแก้แล้วก็ซักสักหน่อยก็ได้แล้ว”

พี่สะใภ้รองจ้าวรู้สึกหวานปานน้ำผึ้งอยู่ภายในใจ ปากก็พูดไปว่า “คุณไม่ต้องสนใจหรอก ถึงเวลานั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

พี่รองจ้าวพูดอีกว่า “ข้ามปีพวกเรากินเกี๊ยวแป้งขาว ตอนเช้าก็ห่อเกี๊ยวเนื้อหมูสักมื้อ หนึ่งปีได้กินสักครั้ง ก็ต้องกินดี ๆ หน่อย”

“ตกลง!” สามีแสดงออกดีขนาดนี้ พี่สะใภ้รองจ้าวย่อมไม่คัดค้าน

ทางฝั่งของพี่สามจ้าวยังคิดบัญชีอยู่ ช่วงข้ามปีคนที่มาซื้อเต้าหู้มีเยอะเป็นพิเศษ เยอะเสียจนพี่สามจ้าวอยากจะมีหัวสักสามหัวมือสักหกมือ แต่ผลข้างเคียงก็มากเช่นกัน พี่สามจ้าวเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เต้าหู้ทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ดูว่าสะอาดหรือยังมีถั่วเน่าหรือเปล่า น้ำเต้าหู้ที่ต้มออกมาก็ต้องมีความร้อนที่เหมาะสม ตอนที่ใส่น้ำดีเกลือและกดเต้าหู้ก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น เพราะกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดและทำให้เต้าหู้ที่ผลิตออกมารสชาติไม่อร่อย เขาจึงอดตาหลับขับตานอนจนตาแดงแจ๋

พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นแบบนี้ก็รู้สึกเป็นห่วง หล่อนพูดกับพี่สามจ้าว “คุณไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ นี่ก็พอแล้วแหละ!”

พี่สามจ้าวกลับพูด “คุณจะไปรู้อะไร คนอื่นต่างก็มาซื้อเต้าหู้ของผมกันหมด ถ้าผมทำออกมาไม่อร่อย เขาจะมาซื้อเหรอ? ถ้าป้ายร้านถูกทุบขึ้นมาจะทำยังไง? คุณรู้ไหมว่าการขึ้นป้ายนี้ยากขนาดไหน!”

พี่สะใภ้สามจ้าวโกรธจนเอือมระอา “พอแล้ว ๆ คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ใครจะอยากสนใจคนไม่รู้ดีร้ายแบบคุณ!”

พี่สามจ้าวย่อมเข้าใจความหมายของภรรยา แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี เต้าหู้เป็นความภาคภูมิใจของเขา ความภาคภูมิใจจะประมาทได้เหรอ?

“คนที่ซื้อยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการบอกว่าเต้าหู้ของผมดีเท่านั้น ยัยเมียโง่ รู้หรือเปล่าว่าช่วงเวลาข้ามปีพวกเราขายเต้าหู้ได้เท่าไร?” พี่สามจ้าวคิดบัญชีไปพลางก็ถามพี่สะใภ้สามจ้าวด้วยความภาคภูมิใจไปพลาง

พี่สะใภ้สามจ้าวง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว ปีนี้เป็นปีเกิดของแม่หล่อน ขนบธรรมเนียมที่บ้านของหล่อนก็คือเมื่อเป็นปีเกิดของผู้อาวุโสจะต้องทำชุดแดงหนึ่งชุด แม่บอกให้หล่อนทำเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายสีแดง อยากได้เสื้อคลุมที่เป็นแบบคอตั้ง

ไม่รู้ว่าแม่ของหล่อนไปเห็นรูปแบบมาจากที่ไหน แต่ก็ทำให้พี่สะใภ้สามจ้าวลำบากแทบตายแล้ว เพราะเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายตัวนี้หล่อนปรับ ๆ แก้ ๆ มาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังทำไม่เสร็จ นี่ก็ใกล้จะข้ามปีแล้วด้วย ตอนเช้ายุ่งทั้งวัน จึงต้องมารีบทำในช่วงค่ำ ตอนนี้ใส่คอเสื้อแล้วแต่ก็ยังยับยู่ยี่อยู่ ดูอัปลักษณ์กว่าการไม่ได้ใส่เสื้อคลุมกันหนาวบุนวมเสียอีก

เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สามจ้าว หล่อนจึงถามอย่างขอไปที “เท่าไร?”

“สองร้อยกว่าหยวน!” พี่สามจ้าวพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่ยังไม่รวมกับเต้าหู้ที่ยังทำไม่เสร็จนะ”

พี่สะใภ้สามจ้าวถึงกับตกใจ เยอะขนาดนี้เลย!

“ขายแค่เต้าหู้ได้เงินมากขนาดนี้เลยเหรอ?” พี่สะใภ้สามจ้าวแอบไม่เชื่อเท่าไรนัก

พี่สามจ้าวหัวเราะหึหึ “แหงสิ เต้าหู้ของเจ้าสามจ้าวอร่อยจะตาย! ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงต้องละเอียดขนาดนั้น นี่คือป้ายหน้าร้านเลยนะ รู้ไหม?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่รองก็เป็นคนละเอียดอ่อนเหมือนกันนะเนี่ย

สงสารพี่สะใภ้สามจัง เหนื่อยข้ามปีเลย

ไหหม่า(海馬)