ตอนที่ 276

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 276 – ผจญฤดูหนาว (1)

-นอกเหนือจากการก่อตั้งองค์กรแล้ว วัลฮาลายังได้ยกระดับขึ้นเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวาในระยะเวลาสั้นๆ

ข่าวนี้ได้กระจายออกไปทั่วทั้งอาณาเขตของมนุษย์ในเวลาแค่สี่วัน วัลฮาลาได้รับความสนใจอย่างมากนับตั้งแต่ที่เขาโค่นยักษ์ใหญ่อย่างพันธมิตรอีวาไป

วัลฮาลาที่นำโดยวีรบุรุษสงครามซอลจีฮู พวกเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น และโค่นอีวาเกลีนได้สำเร็จ จากนั้นก็นั่งลงไปในตำแหน่งพันธมิตรของราชวงศ์ที่ว่างอยู่

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่มากจนทำให้ชาวโลกทุกคนต่างก็หันมาสนใจ แน่นอนว่านี่รวมไปถึงองค์กรทรงอิทธิพลตามภูมิภาคต่างๆอีกด้วย

***

เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ คาลิโก้

“หืมมม”

หญิงสาวสีหน้าเคร่งขรึมได้ส่งเสียงขึ้นจมูกออกมาเมื่อได้อ่านข่าวที่กระจายอยู่ตามถนน

“ตอนที่ฉันเจอเขาระหว่างงานจัดเลี้ยง ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจอยู่หน่อยนะ…”

หลังจากอ่านข่าวอยู่นาน เธอก็พึมพำออกมา

“แต่มันกลายเป็นว่าเขาช่างน่าสนใจจริงๆ”

ริมฝีปากของเธอได้โค้งขึ้น และใบหน้าจริงจังของเธอก็เต็มไปด้วยความสนใจ

“เยี่ยม”

หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้ว เธอก็โยนหนังสือพิมพ์ทิ้ง และมองไปรอบๆ

***

เมืองทางเหนือ กราเซีย

“อ่า เอาจริงดิ?”

หญิงสาวที่กำลังพูดคุยอยู่ในบาร์ได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ไอ้เจ้าหมอนั่นกลายเป็นตัวแทนขององค์กรไปแล้ว?”

“ก็ตามที่พวกเขาพูดกันนั่นแหละ”

“อ่า เวรล่ะ! ตอนนี้เราก็ไปหาเรื่องเขาไม่ได้แล้วสิ”

“เธอหมายความว่ายังไงกัน?”

“อ๊าา นี่มันกำลังทำให้ฉันจะบ้า”

“อ่อ ฟันของเธอน่ะหรอ?”

เมื่อเห็นหญิงสาวถูกกรามของเธอ พรรคพวกของเธอก็หัวเราะออกมา

“หยุดฝันไปเลย ลองดูตัวแทนคนนี้สิ แถมเขายังมียัยพวกบ้าอยู่รอบตัวไปหมดอีก เธอได้กระดูกป่นก่อนที่จะได้เข้าใกล้เขาซะอีก”

“อ๊าาา~ โอกาสแก้แค้นได้หลุดลอยออกไปแล้ว~”

“แก้แค้นที่หน้าแกสิ ฉันไม่คิดจะแก้แค้นอะไรอยู่แล้ว”

“แล้วเรื่องฟันอันน่าสงสารของเธอล่ะ?”

“มันก็ชัดแล้วนี่ มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น หรือถ้าแกต้องการก็ไปถามหาความรับผิดชอบกับเขาแล้วกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้เสียงหัวเราะก็ดังออกมาอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่จะไปขอให้เขารับผิดชอบที่ทำให้ฟันเธอหักงั้นหรอ!? นี่เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า!?”

แม้กระทั่งหญิงสาวที่ฟันหายไปก็ยังหัวเราะออกมา

***

เมืองทางตะวันตก โอดอร์

“…จากที่นี่ไปอีวาใช้เวลานานแค่ไหน?”

ชายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว้ห้างจิบชาได้ถามออกมา คนรักของเขาได้มองมาด้วยความสงสัย

“ทำไมล่ะ? นายจะไปที่นั่น?”

“ใช่แล้ว”

ชายหนุ่มได้ยืนยันออกมาพร้อมกับค่อยๆอ่านหนังสือพิมพ์

“อะไรล่ะนั่น? ฉันไม่คิดเลยนะว่าคำนี้จะมาจากคนที่ควรจะกลายเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้าน”

“นั่นก็เพราะฉันไม่ได้เลือกอสิเดีย”

ชายหนุ่มได้ตอบกลับเบาๆ และพูดต่อ

“นอกไปจากนี้ฉันยังสนใจเขา”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”

“นับตั้งแต่ที่เห็นเขาไล่ล่า และฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ลงไป จากนั้นเขาก็ไล่ตามผู้บัญชาการอีกสองคนไปอย่างบ้าคลั่งจนคล้ายกับเป็นปีศาจ”

“อ๊าา ฉันก็เห็นมันเหมือนกัน เขาก็น่ากลัวอยู่หน่อยนะ”

“แทนที่จะบอกว่าน่ากลัว…”

ชายหนุ่มได้ชะงักไป และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับคิดย้อนไปถึงในตอนนั้น

“เขาแปลก”

“แปลก แปลกยังไงล่ะ?”

“เขาทำให้ฉันนึกถึงซึงชิฮยอน”

หญิงสาวได้ขมวดขึ้นออกมา

“ไอ้เจ้าเวรนั่น?”

“เขาอาจจะหยิ่งผยอง แต่ว่าเขาก็มีทักษะจริงๆ”

ชายหนุ่มได้พูดอย่างสงบ

“นี่เป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับ ต่อให้จะสู้กันกี่ครั้งฉันก็จะไม่มีวันชนะได้เลย”

“แล้วนายกำลังบอกว่าเขาคนนั้นเป็นคนประเภทเดียวกันงั้นหรอ?”

ชายหนุ่มได้เงียบลงไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของคนรัก จากนั้นเขาก็ส่ายหัวด้วยความลังเล

“ไม่หรอก มันยากที่จะพูดแบบนั้น เขาต่างออกไปแน่ๆ”

“?”

“ถึงแม้ว่าเขากับซึงชิฮยอนจะให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่ก็ต่างกันในมุมที่ลึกซึ้งอยู่…”

เขาได้ชะงักอยู่นานก่อนจะพูดต่อ

“จะว่ายังไงดีล่ะ… ยอดเยี่ยมที่สุด? แข็งแกร่งที่สุด? ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังมองจุดสูงสุดอยู่”

“หาาา นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?”

“ไม่รู้สิ มันยากที่จะอธิบาย ในจุดๆนี้เขาน่าจะยังอยู่ในพาราไดซ์ได้ไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ แต่เขาเหมือนกับคนที่ตรากตรำในโลกนี้มานับสิบปี”

ชายหนุ่มได้ส่ายหัวออกมาเหมือนกับเขาเพิ่งจะพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจออกมา

“นี่คือเหตุผลที่ฉันอยากจะไป เพราะงั้นฉันอยากจะไปดูและสัมผัสเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

“แล้วนายกำลังบอกว่านายอยากจะคลายความสงสัยของตัวเองสินะ ก็สมกับเป็นนายดี”

“นี่ก็ส่วนหนึ่ง การที่เขาออกไปจากฮารามาร์ค เขาจะต้องมีเป้าหมายที่กำลังพยายามทำให้สำเร็จอยู่ ฉันมีอยู่หลายคำถามที่อยากจะถามเขา”

ชายหนุ่มได้ค่อยๆลุกขึ้นยืน

“แล้วจะมุ่งหน้าไปเมื่อไหร่ล่ะ?”

“ในเมื่อพวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนของอีวาไปแล้ว ฉันมั่นใจว่าพวกเราก็จะได้รับการติดต่อจากพวกเขาในไม่ช้า โอ้ แบบนี้-“

ชายหนุ่มได้ดันแว่น และหันกลับไปมองหญิงสาว

“โอเดลโล่ เดลฟีน ดาวรุ่งของเราก็เป็นคนรู้จักกับเขาจากเขตพื้นที่เป็นกลางไม่ใช่หรอ?”

“..โอเดลเล็ต เดลฟีนต่างหากล่ะ”

หญิงสาวได้หลับตาถอนหายใจออกมา

“อย่างน้อยก็จำชื่อศิษย์ของตัวเองสักหน่อยสิ”

***

ท้องฟ้าของอีวาปลอดโปร่ง และเงียบสงบ แต่ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ซอลจีฮูต้องวิ่งหัวหมุนนับตั้งแต่เช้า มีสายจำนวนมากจากทุกๆที่ของอาณาเขตมนุษย์ติดต่อเข้ามาโดยเริ่มจากซันเหอ กลุ่มพ่อค้าดงชุน ไปจนถึงซิซิเรีย และต่างๆอีกมากมาย

พวกเขาได้ติดต่อมาแสดงความยินดีกับวัลฮาลาที่กลายเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวา แม้ว่าการถูกเรียกว่า ‘ตัวแทนวัลฮาลา’ และไม่ใช่ ‘ซอลจีฮู’ จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยให้เขาเข้าใจถึงจุดยืนทางสังคมใหม่ของเขา

หลังจากที่ใช้เวลาวุ่นช่วงชาวอยู่นาน ในที่สุดช่วงเที่ยงเขาก็ได้มีเวลาพัก

“ฉันตรงนี้”

“ถ้างั้นฉันตรงนั้น”

“แกว๊ก”

“อะไรล่ะ แกก็อยากจะได้ด้วย”

“ฟี๊”

“แกรู้ไหมว่าแกนี่มันเป็นลูกเจี๊ยบที่หน้าทนจริงๆ”

สมาชิกวัลฮาลาต่างก็กำลังเล่นเกมกัน พวกเขาได้กางแผนที่เมือง และเริ่มแบ่งพื้นที่กันก่อนที่จะเป็นเจ้าของซะอีก

ซอลจีฮูได้แอบมองไปรอบๆพวกเขา และหลบหนีไปที่ห้องประชุมใหญ่ หลังจากที่ได้นั่งหัวโต๊ะแล้ว เขาก็หลับตาถอนหายใจออกมา

จากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่ จริงๆแล้วเขารู้สึกเหมือนภาระอันหนักอึ้งได้ถูกยกออกไปด้วยซ้ำ

เช้านี้ เขาได้ไปที่วัง และได้รับอำนาจเหนือเขตทั้งห้าของอีวามา ในที่สุดเขาก็ทำหนึ่งในสามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในตอนมาที่อีวาสำเร็จไปแล้ว

เขาได้ตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะทำสำเร็จได้ไหม แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ทำตามเป้าหมายแรกได้สำเร็จอย่างงดงาม

สำหรับซอลจีฮูแล้วความสำเร็จนี้ได้ทำให้เขารู้สึกยินดี เขาได้ลืมตาขึ้นและถอนหายใจออกมา

เมื่อมองไปรอบๆห้องประชุมที่ว่างเปล่า ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยภาพฝัน

เขาได้ทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่สำเร็จไป แต่ว่ามันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น

เขาจะต้องใช้ความสำเร็จนี้เป็นแท่นเหยียบต่อไป เพื่อทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จ และก่อนที่เขาจะทำแบบนั้น-

แกร๊ก ความคิดของเขาได้ถูกขัด และเขาก็ต้องหันไปมองที่ทางเข้า

เมื่อประตูค่อยๆถูกเปิดออกมา หญิงสาวผมหางม้าในชุดนักธุรกิจก็ได้เดินเข้ามา แน่นอนว่าคือคิมฮันนาห์

“ยินดีด้วยนะ”

เมื่อเดินเข้ามากลางห้องประชุมแล้ว เธอก็ยิ้มขึ้น

“ขอบคุณนะ”

ซอลจีฮูได้แสดงความขอบคุณออกไปเช่นกัน คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอได้เดินเข้ามาหาเขาเวงียบๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะตรงหน้าซอลจีฮู

เธอได้ถามเขาออกมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“แล้ว?”

“?”

“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? ในตอนนี้นายอยู่ในตำแหน่งที่มีเพียงแค่เจ็ดคนในพาราไดซ์ที่จะนั่งได้นะ”

“ถามอะไรแปลกๆน่ะ?”

“บอกมาสิ ฉันสงสัยจริงๆนะ”

เธอดูจะไม่ได้พูดเล่นเลยสักนิด จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ดูจะอยากได้ยินคำตอบมาก

“ก็ดีนะ”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาสั้นๆ

“มันก็ดี แต่ว่า…”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ และเผยความคิดออกมา

“พูดตามตรงฉันก็รู้สึกกังวลอยู่หน่อย แล้วก็ร้อนรนด้วย”

“กังวลงั้นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้ถามกลับราวกับเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย

“กังวลเรื่องอะไรล่ะ? หากคิดดูแล้วมันก็น่าจะมีอยู่นะ”

“ฉันหมายถึงเรื่องปรสิต”

ซอลจีฮูได้เม้มปาก

“พวกนั้นเงียบไป เงียบสงบจนน่ากลัว ฉันคิดว่าพวกเขาจะตอบโต้กับความพ่ายแพ้ในหุบเขาอาร์เดน แต่ว่านี่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”

พวกนั้นกำลังวางแผนอะไรกันถึงได้เงียบแบบนี้?

“…ก็คงงั้นแหละ ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นก็ไม่ได้มีข่าวดีเช่นกัน แต่มันก็ไมได้ส่งผลอะไรต่อราชินีปรสิต”

คิมฮันนาห์ได้หยักหน้าเข้าใจ

“แล้วเรื่องที่นายร้อนรนล่ะ?”

“เป้าหมายที่สอง”

ซอลจีฮูได้พูดเสียงต่ำออกมา

“มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันเพิ่งบอกออกไป ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จก่อน ฉันถึงจะมีเวลาได้พักหายใจ…”

ซอลจีฮูได้ชะงักไป จากนั้นก็พยักไหล่ออกมา

“มันก็นะ ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ว่า…”

เขาได้เงยหน้ามองคิมฮันนาห์ที่จ้องเขาอยู่นิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ฉันรู้สึกว่าฉันจำเป็นต้องรีบทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จ นี่เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของฉัน”

คิมฮันนาห์ยิ้มบาง

“นายรู้ไหมว่าบางครั้งฉันรู้สึกยังไง?”

คิมฮันนาห์ได้หยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็วางลงตรงหน้าซอลจีฮู

“ฉันรู้สึกเหมือนว่านายมันไม่มีความพอดี”

“อะไรนะ?”

“ฉันชื่นชมนายนะ ฉันชอบคนที่รักษาสัญญา”

หลังพูดสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้จบ คิมฮันนาห์ก็ดันแผ่นกระดาษออกมา ซอลจีฮูได้มองดูคิมฮันนาห์ที่เดินออกไปไกล

“คิมฮันนาห์?”

“รายงาน…”

น้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ของเธอได้ดังขึ้นในห้องประชุม

“…ที่เป็นการสรุปทิศทางของวัลฮาลานับจากนี้”

ดวงตาซอลลจีฮูได้เป็นประกายขึ้น การพูดของคิมฮันนาห์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงบรรยากาศรอบตัวเธออีกด้วย

ตึก ตึก หลังจากก้าวไปได้สิบก้าวเป๊ะๆ คิมฮันนาห์ก็หันกลับมา

“ฉันวางแผนนี้เอาไว้นานแล้วนะ แต่ว่า…”

เธอได้ยืดตัวประสานมือเข้าด้วยกัน และพูดออกมา

“นับจากวันนี้ไป ทุกๆเรื่องที่เป็นทางการดิฉันจะคุยกับตัวแทนซอลด้วยความเคารพ”

การพูดอันสุภาพของเธอได้ทำให้ซอลจีฮูได้แต่สับสนไป เขาได้มองดูรายงานตรงหน้า จากนั้นก็โบกมือออกมา

“อ๊า ไม่เป็นไรหรอก ทำตามตัวปกติดีกว่านะ”

“…”

“พอเธอพูดเป็นทางการแล้วมันอึดอัด”

ซอลจีฮูได้พยายามใช้รอยยิ้มผ่อนคลายทำลายบรรยากาศนี้ แต่ว่าต่อมาเขาก็ได้แต่ต้องหยุดยิ้ม

นั่นเพราะคิมฮันนาห์ไม่ได้มีท่าทีที่เหมือนจะเล่นกับเขาเลย

ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวด้วยความอึดอัดใจ

“จำเป็นด้วยหรอ?”

“ค่ะ”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับโดยไม่ลังเล

“ต้องทำ นั่นเพราะว่าคุณ ตัวแทนซอลไม่ใช่หัวหน้าของทีมเล็กๆที่พบเห็นได้ทั่วไปอีกแล้ว”

เธอกำลังบอกให้เขาแบกรับศักดิ์ศรีให้สมกับตำแหน่งของตัวเอง

ซอลจีฮูเม้มปาก พูดตามตรงเขาไม่ชอบมันเลยจริงๆ แทนที่จะทำตัวห่างเหินเย็นชาเพราะตำแหน่งที่สูง เขารู้สึกอยากจะคงนิสัยที่หัวเราะและสนุกไปด้วยกันซะมากกว่า

แต่เขาก็เข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงพูดแบบนี้ เธอคงจะคิดว่ามันจำเป็นสำหรับแผนในอนาคต

ซอลจีฮูเข้าใจดี ในเมื่อกองกำลังของพวกเขาจะยิ่งเติบโต และเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ความสัมพันธ์ต่างๆของแต่ละคนก็จะยิ่งกลายเป็นซับซ้อน

เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้นปัญหามากมายก็อาจจะมีได้ และบางอย่างอาจจะทำให้เกิดการพังทลายได้

ในแง่ของความซับซ้อนจากความสัมพันธ์แล้ว องค์กรจำเป็นจะต้องมีรากฐานที่หนักแน่นในการยืนหยัดไม่ไปสั่นคลอนกับคลื่นกระแทกเหล่านั้น

[ฉันคิดว่ามันก็คงไม่แย่หรอกนะที่จะทำงานกับหัวหน้าที่มีคุณธรรมในการจัดการกับเรื่องส่วนตัว]

เขาได้นึกถึงคำพูดที่คาซุกิเคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว

ตัวแทนขององค์กรจะต้องมีความยุติธรรม แม้ว่าการทำตัวสบายๆกับสมาชิกทั่วไปจะไม่ใช่เรื่องแย่ แต่มันก็มีช่วงเวลาที่พวกเขาต้องทำตัวหนักแน่นไม่สั่นคลอนด้วยเช่นกัน

เพื่อไม่ให้ถูกพัดพาไป

คิมฮันนาห์คงจะเอาเรื่องนี้มาพูดเพราะแบบนี้

“ในปัจจุบันเรื่องภายในของวัลฮาลายังทำได้ไม่ดี”

เธอได้ตีความการเงียบของซอลจีฮูเป็นการยอมรับ และพูดต่อไป

“ดิฉันไม่ได้กำลังพูดถึงบรรยากาศ แม้ว่าวัลฮาลาจะกลายเป็นองค์กรตัวแทนของเมือง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่กลุ่มที่เหมาะสมกับตำแหน่งพันธมิตรราชวงศ์ พูดตามตรงก็เช่นนั้นแหละ”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา มองย้อนกลับไปแล้วพวกเขาได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ผ่านสงคราม พลัง และกลยุทธ์ พวกเขาได้ข้ามขั้นตอนส่วนกลางทั้งหมดที่องค์กรใหม่ๆจำเป็นต้องเผชิญ

อย่างคำกล่าวที่ว่าคนที่ใช้การเมืองต้องตายด้วยการเมือง คนที่รุ่งเรืองจากสงครามก็จะล่มจมจากสงคราม

นี่คงจะเป็นสิ่งที่คิมฮันนาห์กังวล

“ดิฉันเข้าใจถึงความกังวลในเป้าหมายของคุณ แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารีบร้อน แทนที่จะเริ่มสิ่งใหม่ๆ เราควรที่จะใช้เวลาทำสิ่งที่ควรจะทำดีกว่า”

ไม่ใช่การเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่เป็นการรวมกันของภายใน และเสริมสร้างรากฐาน

ซอลจีฮูได้ถามออกมาในขณะที่จับรายงาน

“แล้วเธอคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะทำให้เร็วที่สุด?”

“มีอยู่หลายอย่าง รับสมัครสมาชิกใหม่ เรียกกองกำลังที่มีความเห็นตรงกันกับเรา และก่อตั้งพันธมิตรขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ…”

คิมฮันนาห์ได้หยุดพักหายใจสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ

“แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจัดตั้งโครงสร้างภายในให้เหมาะสม”

“…”

“และดิฉันกำลังพูดถึงเรื่องการแก้ไขโครงสร้างในปัจจุบันใหม่หมด มันก็ช้ามากแล้ว ยิ่งเราปล่อยไว้นานกว่านี้มันก็ยิ่งยากจะแก้ไข”

ซอลจีฮูได้ฟังอยู่เงียบๆเพราะเขาก็เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนหลายครั้งแล้ว

“ในโลกใบนี้ไม่มีองค์กรไหนที่ไร้โครงสร้าง กองทัพมีโครงสร้างลำดับชั้น บริษัทมีโครงสร้างแบ่งหน้าที่ดูแล และแม้กระทั่งชมรมและกลุ่มคนก็ยังมีการแบ่งหัวหน้าหรือผู้ดูแล”

คิมฮันนาห์ได้กระแอ่มออกมา

“สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือการหาโครงสร้างที่วัลฮาลาอยากที่จะนำมาใช้ โครงสร้างคือสิ่งที่เราจะใช้ตัดสินในทิศทางและธรรมชาติขององค์กร”

และโครงสร้างนี้ก็จะต้องเป็นไปตามเป้าหมายของตัวแทน องค์กรที่มุ่งเป้าไปกับการหาเงินก็จะนำโครงสร้างของกลุ่มการค้าเข้ามาใช้ และองค์กรที่จะสร้างกำไรเชิงพานิชก็จะนำโครงสร้างของบริษัทมาใช้

ถ้างั้นแล้ววัลฮาลาล่ะ?

“ตามเป้าหมายของตัวแทนซอลแล้ว โครงสร้างทางทหารเหมาะที่สุด…”

คิมฮันนาห์ได้เสนอความเห็นออกมา ซอลจีฮูรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้หมายความว่าให้จำกัดอิสรภาพของสมาชิกทุกๆคนเหมือนกองทัพ แต่เป็นแค่การนำโครงสร้างของมันมาปรับใช้เพียงเท่านั้น

“ฉันเข้าใจที่เธอกำลังบอกนะ แต่มันต้องทำแบบนี้ในตอนนี้จริงๆน่ะหรอ?”

“ค่ะ แม้กระทั่งเรารับสมาชิกใหม่ พวกเราก็มีแต่จะแกร่งขึ้นโดยไร้แบบแผน องค์กรจำเป็นต้องมีระบบการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงเท่านั้นสมาชิกใหม่จะได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว และมันเป็นพลังที่จำเป็นในการยอมรับพวกเขาเข้ามา”

“เพราะงั้นแล้วเธอจะบอกให้รับสมัครคนเข้ามาหบลังจากนั้น”

“ค่ะ… นี่คือสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอก”

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขมขื่นออกมา

“น่าเสียดายที่เรามีเวลาน้อยมาก ดูเหมือนกับว่าพวกเราจะต้องปรับโครงสร้างภายใน และรับสมาชิกเข้ามาพร้อมๆกัน”

ซอลจีฮูอยากจะถามว่าทำไม แต่จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเหตุการณ์สำคัญที่กำลังมาถึง

“เขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคม”

“ถูกต้อง มามาลองคิดดู-“

คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

“ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับฉันเกี่ยวกับเขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคมหรอ?”

“ใช่แล้ว รอเดี๋ยวนะ”

เขาได้ค้นกระเป๋า และหยิบเอาสมุดจดเล่มเล็กๆออกมา

-อึนยูริ กับโอเดลเล็ต เดลฟีนได้เตรียมไพ่ตายสุดท้ายเอาไว้

นี่คือสิ่งที่ตัวซอลจีฮูเป็นคนพูดออกมา

เขาไม่รู้ว่าอึนยูริคนนี้เป็นใคร แต่ว่าการที่เธอรอดไปได้จนถึงสงครามสุดท้าย และเตรียมการโต้กลับ เธอจะต้องเป็นคนที่พิเศษแน่ๆ

“ชื่อของเธอ…”

เขารู้สึกลักเลว่าหากถามไปแล้วคิมฮันนาห์จะถามว่าเขาไปได้ชื่อนี้มาจากไหน

‘แต่ก็ไม่สำคัญหรอก’

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งจะสร้างเหตุผลขึ้นมา

เขาได้หยุดกังวล และถามขึ้น

“อึนยูริ”

“อึนยูริ?”

น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้สูงขึ้นราวกับได้ยินชื่อที่คาดไม่ถึง

‘เดี๋ยวนะ’

ซอลจีฮูคิดว่าอึนยูริยังไม่ได้กลายเป็นชาวโลก นี่มันก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นชื่อของเธอในบันทึกของเอียนเลย

ในเมื่อตัวเขาในอดีตได้พูดถึงเธอ เธอก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่หากชื่อของเธอไม่ได้อยู่ในบันทึกของเอียน ซอลจีฮูจึงคิดว่าเธอยังไม่ได้เข้ามาในพาราไดซ์

ซอลจีฮูได้ละสายตาจากสมุดจด และมองไปข้างหน้า

“อึนยูริ… นานแล้วนะที่ดิฉันไม่ได้ยินชื่อนี้”

คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ดิฉันรู้จักเธอ รู้จักเป็นอย่างดี”

ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง