ตอนที่ 277

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 277 – ผจญฤดูหนาว (2)

“ดิฉันรู้จักเธอ… แต่ว่าตัวแทนซอลรู้จักชื่อนี้มาได้ยังไงกัน?”

น้ำเสียงเธอฟังดูจะสงสัยเขา แม้ว่าคำถามที่เขากลัวจะถูกถามเร็วกว่าที่คิดไว้ แต่ซอลจีฮูก็ได้ตอบกลับอย่างสงบด้วยสีหน้าจริงจัง

“นี่เป็นชื่อที่ฉันไม่ควรจะรู้จักหรอ?”

“ไม่หรอก มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่า…”

คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวออกมาโดยที่ยังพูดไม่จบประโยค

จากปฏิกิริยาของเธอแล้วทำให้ซอลจีฮูตั้งสมมติฐานใหม่ขึ้นมา เป็นไปได้ว่าอึนยูริอาจจะยังไม่มีชื่อเสียงในพาราไดซ์

หากว่าเธอเป็นคนมีชื่อเสียง และทุกๆคนรู้จักเธอ คิมฮันนาห์ก็ควรจะพูดว่า ‘แน่นอนสิ ฉันเคยได้ยินชื่อเธอมาก่อน’ แต่ปฏิกิริยาของคิมฮันนาห์กลับเป็น ‘นายรู้จักเธอได้ยังไงกัน?’ ซะมากกว่า

นั่นมันหมายความว่าอึนยูริเป็นคนที่มีแค่ชาวโลกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก

“พอจะบอกอะไรที่เธอรู้เกี่ยวกับเธอหน่อยได้ไหม? โดยส่วนตัวแล้วนี่มันค่อนข้างจะสำคัญกับฉัน”

คิมฮันนาห์ดูเหมือนกำลังคิดออกมาว่า

‘เพื่ออะไร?’

มันหาได้ยากมากที่เจ้าทึ่มนี่จะทำเรื่องจริงจังที่อยู่นอกเหนือจากการต่อสู้กับการฝึก

‘นี่มันอะไรกัน?’

อีกด้านหนึ่งเธอก็คาดหวังเอาไว้สูงกับการที่่นานๆครั้งเขาจะจริงจัง แต่ก็เว้นเอาไว้สำหรับการตั้งชื่อด้วยเช่นกัน

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก แต่ว่าดิฉันอยากจะฟังเหตุผลของคุณก่อน?”

แม้ว่าเธอจะถามออกมาด้วยความสงสัย

“ตอนนี้ฉันยังพูดอะไรไม่ได้ แต่ฉันจะมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้รู้มากขึ้น”

ซอลจีฮูได้ปฏิเสธที่จะตอบกลับ แต่ว่าการปิดบังทุกๆอย่างมันทำไม่ถูก เขาจึงบอกความตั้งใจออกไป

“แม้ว่าฉันจะตัดสินใจหลังจากตรวจสอบทุกๆอย่างแล้ว ฉันก็คิดที่จะรับเธอเข้าองค์กร”

“อ่า รับเข้าองค์กร”

คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าพูดออกมา

“ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้จักเธอได้ยังไง แต่มัน… อาจจะค่อนข้างยาก”

“ยังไงล่ะ?”

“จากที่ดิฉันรู้มา คนที่ชื่อว่าอึนยูริ…”

และคำพูดที่ตามมา

“ได้ตายไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นในพาราไดซ์”

…นี่มันน่าตกตะลึง

ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

เขาเคยคิดไว้ว่าเธอยังไม่ได้เริ่มงานในพาราไดซ์หรือยังไม่ได้เข้ามา เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะตายไปแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาได้ยินว่าเธอมีชีวิตอยู่จนสงครามสุดท้าย เขาก็ไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้เลย

แน่นอนว่าการกระทำของเขาอาจจะเปลี่ยนอนาคตได้ หากไม่เช่นนั้น…

‘นั่นมันหมายความว่าเธอได้คืนชีพมาอะไรแบบนี้หรอ?’

ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้ว และลูบหน้าผาก

“ขออนุญาติให้ดิฉันพูดให้ชัดเจนหน่อยนะ”

น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้ดังขึ้นทำลายความเงียบของห้องประชุม

“อึนยูริได้ตายไปในเขตพื้นที่เป็นกลาง เธอตายไปโดยที่ยังไม่ได้ผ่านหลักสูตรสามเดือน”

“อะไรนะ?”

ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้น

“นี่คือเหตุผลที่เธอพูดว่ามันยากที่จะรับเธอเข้าองค์กร?”

“ดิฉันบอกว่ามันยาก ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ อืมม…”

คิมฮันนาห์ได้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจู่ๆก็ถามออกมา

“คุณรู้เกี่ยวกับบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลางมากแค่ไหน?”

ซอลจีฮูได้มองคิมฮันนาห์นิ่งๆ เธอคงจะคิดว่าต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมอีก ดังนั้นเธอจึงค่อยๆพูดต่อ

สำหรับชาวโลกแล้วการเข้าพาราไดซ์ และเริ่มงาน พวกเขาจะต้องผ่านสองขั้นตอน

อย่างแรกชาวโลกที่ตอบรับคำเชิญตามตราประทับที่ได้รับอย่างทอง เงิน ทองแดง หรือแดง จะถูกย้ายมาที่พื้นที่ทดสอบแรกโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลา

พวกเขาจะได้รับสิทธิ์เข้าไปในเขตพื้นที่เป็นกลางต่อได้ก็ต่อเมื่อผ่านด่านทั้งสามที่บทฝึกสอนแล้วเท่านั้น

“ตัวแทนซอล คุณยังจำได้ไหมว่าคุณได้ผ่านจากบทฝึกสอนไปเขตพื้นที่เป็นกลางได้ยังไง?”

“ฉันเข้าไปในประตูมิติ”

“ถ้างั้นแล้วในตอนที่คุณออกจากเขตพื้นที่เป็นกลางล่ะ? บอกดิฉันถึงสิ่งแรกที่คุณเห็นมัน”

“แน่นอนว่าต้องเป็นภาพของพาราไดซ์… อ่า”

จากนั้นซอลจีฮูถึงได้เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์จะบอก

“สิ่งสำคัญก็คือประตูมิติ แม้ว่าทั้งสองสถานที่จะเป็นสถานที่ทดสอบเหมือนกัน แต่ว่าบทฝึกสอนได้ถูกจัดขึ้นบนโลก ส่วนเขตพื้นที่เป็นกลางเป็นอาคารที่อยู่ในพาราไดซ์ นี่คือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของทั้งสองสถานที่”

คิมฮันนาห์ยิ้มอละพูดต่อ

“แน่นอนว่าไม่ว่าจะตายที่ไหนผลลัพธ์ก็จะเหมือนกัน แต่ความต่างเพียงอย่างหนึ่งก็คือระดับความรู้สึกแปลกแยกที่จะรู้สึกตามมา คุณจะเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับพาราไดซ์ และคืนชีพกลับมาที่โลก”

“แต่ว่ามันมีความต่างในการคืนชีพในพาราไดซ์ด้วยใช่ไหม?”

“แน่นอนว่าหากตายในระหว่างบทฝึกสอน ก็จะไม่มีข้อจำกัดในการเข้าซ้ำอีก เนื่องจากว่าคุณยังไม่ได้เข้าพาราไดซ์ มันจึงนับเป็นการตายบนโลก”

คิมฮันนาห์ได้ปรับน้ำเสียง

“ในทางกลับกันหากตายในเขตพื้นที่เป็นกัน ก็จะนับเป็นการตายแบบเดียวกับชาวโลก ชาวโลกทุกๆคนจะมีแค่โอกาสเดียวในการคืนชีพ และแม้ว่าจะได้ใช้ความปรารถแห่งเทพแล้ว ก็ยังต้องผ่านขั้นตอนการเชิญผู้ที่คืนชีพบนโลกอีกครั้งหนึ่งด้วย”

“มันไม่ใช่แค่คล้าย แต่เหมือนกันเลยงั้นหรอ?”

“ไม่หรอก มันมีความต่างกันอยู่หนึ่งอย่าง”

คิมฮันนาห์ได้เน้นคำพูดของเธอ

“ยกตัวอย่างเช่นหากว่าจู่ๆคุณก็ตายจากอุบัติหลังจากที่บททดสอบทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว นั่นก็จะเท่ากับว่าคุณตายอยู่นอกเขตพื้นที่เป็นกลาง ไม่ว่าคุณจะยังอยู่ในที่แห่งนั้นก็ตาม”

หรือก็คือจะนับว่าเป็นชาวโลกก็ต่อเมื่อเขตพื้นที่เป็นกลางสิ้นสุดแล้วเท่านั้น

“แต่ว่าหากคุณตายในระหว่างยังมีเขตพื้นที่เป็นกลางอยู่ มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในกรณีนี้คุณจะต้องเริ่มบทฝึกสอนใหม่ในตอนที่ถูกคืนชีพ”

“ไม่ได้เริ่มจากเขตพื้นที่เป็นกลางหรอ?”

“ไม่หรอก ถึงแม้ว่าในทางเทคนิคคุณจะเข้ามาในพาราไดซ์แล้ว แต่ว่าหลักสูตรของเขตพื้นที่เป็นกลางก็ยังไมเสร็จสิ้น ชัดเจนว่าหากเราจะตัดสินโดยใช้ข้อเท็จจริงนี้มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนของโลกเพื่อที่จะกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง”

“ใครเป็นคนตัดสินเรื่องนี้ล่ะ?”

“เทพทั้งเจ็ด”

ซอลจีฮูได้เงียบลงไป

“…ทำไมมันถึงได้ซับซ้อนนัก…”

เขาได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า

อึนยูริได้ตายไปในเขตพื้นที่เป็นกลาง เพราะงั้นแล้วการจะพาตัวเธอมาที่พาราไดซ์ พวกเขาก็จะต้องผ่านพิธีกรรมคืนชีพ

‘อึนไม่ใช่นามสกุลทั่วๆไป เพราะงั้นแล้วมันไม่น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเดียวกัน’

ตอนนี้พอมาลองคิดดู สถานการณ์มันก็ดูแปลกๆ

จากที่ซอลจีฮูรู้เขตพื้นที่เป็นกลางเป็นสถานที่ที่แยกอิสระออกมาจากพาราไดซ์ แม้ว่าจะตั้งอยู่ในพาราไดซ์ก็ตาม นั่นมันหมายความว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้กฎของพาราไดซ์ที่นั่น

ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีปัญหาในเรื่องกฎแห่งกรรมอะไรนั่น แต่เขาก็ไม่คิดว่าเทพทั้งเจ็ดจะด้อยพลังจนถึงกับต้องทำแบบนั้น พวกเขาจะต้องมีพลังมากพอจะทำแบบนั้นแน่ๆ

“นี่มันก็โหดร้ายอยู่หน่อยนะ”

ซอลจีฮูได้พึมพำเบาๆ ก่อนจะหยุดคิดเอาไว้

“ฉันเข้าใจเรื่องการทดสอบชาวโลกนะ แต่ว่าทำไมถึงมอบโอกาสที่สองให้กับพวกเขา?”

“…”

“ทำไมพวกเขาต้องกำหนดเงื่อนไขในการคืนชีพอะไรแบบนั้น? มีเหตุผลอะไรที่ทำให้จำกัดเฉพาะแค่เขตพื้นที่เป็นกลาง?”

“นั่นก็เพราะว่าเขตพื้นที่เป็นกลางได้เผยถึงคุณค่าของผู้ถูกเชิญ”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับเสียงต่ำ

“แม้กระทั่งเหล่าแมวมองต่างก็มีมาตราฐานของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครรู้ศักยภาพของผู้ถูกเชิญเว้นก็แต่พวกเขาจะปลุกพลังแล้ว มีแต่ต้องผ่านห้องปลุกพลัง และได้รับคลาสเท่านั้น คุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาถึงจะเผยออกมา”

จู่ๆคิมฮันนาห์ก็เงียบลงไปสักพักราวกับลังเลที่จะพูดมันออกมา

ขณะที่รออยู่ซอลจีฮูก็ขมวดคิ้วขึ้น

“ไม่มีทาง”

“…”

“มันไม่ใช่ใช่ไหม? ข้อจำกัดนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะชาวโลกใช่ไหม? ไม่มีทาง”

“มันเป็นเรื่องจริง”

คิมฮันนาห์ได้ยอมรับเบาๆ

ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าว่างเปล่าออกมา

“ทำไมล่ะ?”

“เขตพื้นที่เป็นกลางคือพื้นที่อิสระ เดิมทีแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในนั้น นอกจากผู้บริหารดูแลที่แห่งนั้น”

“แต่นั่นมันไม่จริง เธอก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี่”

“เพราะงั้นคำว่า ‘เดิมที’ ถึงถูกใช้ไงล่ะ เมื่อก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ก่อนที่นายจะเข้ามาในพาราไดซ์ได้มีเรื่องต่างๆมากมายเกิดขึ้น อย่างเช่นการฆ่าผู้ถูกเชิญขององค์กรศัตรูโดยปลอมแปลงให้มันเป็นอุบัติเหตุ หรือไม่ก็แกล้งไม่ให้พวกเขาได้รวบรวมคะแนน การแย่งตัวมันเป็นเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว”

“แย่งตัว? พวกเขาไม่สนใจเรื่องสิทธิ์ในการเจรจาเลยงั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว ผู้จัดการทั่วไปหรือครูฝึกได้แอบเข้าไปให้คำแนะนำพวกเขาแบบลับๆ”

“แล้วคนพวกนั้นก็รับข้อเสนอ?”

“ทำไมจะไม่รับล่ะ? ตราบใดที่คุณหลอกล่อพวกเขาได้ สัญญาก็แทบจะล้มเหลวไปแล้ว ‘นายเป็นแค่ตราประทับสีแดงนะ นายอยากจะใช้ชีวิตเยี่ยงทาสงั้นหรอ? มันคงจะน่าอับอายนะหากว่าคนที่มีพรสวรรค์แบบนายไปจบอยู่ในองค์กรแบบนั้น เฮ้ ฉันจะให้ตราประทับใหม่กับนายเป็นตราประทับทองแดงหรือเงิน นายสามารถจะเริ่มใหม่จากบทฝึกสอนได้อีกครั้ง พวกเราจะให้การสนับสนุนนายทุกวิธีเอง! นายทำมันสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองก็ไม่ได้ยากนักหรอก’ อะไรทำนองนี้ไงล่ะ”

คิมฮันนาห์ได้หยักไหล่ออกมา

“หากว่ามันไม่ได้ผล พวกเขาก็จะได้ลอบฆ่าคนๆนั้นในระหว่างที่หลบอยู่ และค่อยพาตัวกลับมาอีกทีหลังจากที่ไปไล่ตามหาบนโลก หากว่าพวกเขาไม่ได้ทำมันอย่างเปิดเผยก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ยิ่งกว่านั้นในสถานที่แห่งนั้นคนนอกก็ไม่มีทางรู้ได้เลย”

ซอลจีฮูได้หัวเราะเย้ยออกมา และจ้องคิมฮันนาห์ จากการที่เธออธิบายทุกๆอย่างได้คล่องแบบนี้ เธอคงจะเคยทำมันมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน

“…พูดกับฉันตามตรงนะ เธอเคยทำมันมาแล้วใช่ไหม?”

คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแค่มองออกไปโดยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา ไม่นานนักเธอก็กระแอ่ม และพูดต่อ

“ยังไงก็ตามหลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ อาณาจักรทั้งเจ็ดก็ได้เลิกทำตัวเป็นแค่ผู้ชม พวกเขาได้ประกาศให้ทุกๆองค์กรรับรู้ในทันที”

“ประกาศเรื่อง?”

“ถึงจะไม่ได้มีอะไรมาก แต่ว่าพวกเขาได้เตือนว่าพวกเขาจะไม่นิ่งเฉยหากว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก จากนั้นพวกเขาก็จำกัดสิทธิ์ของผู้ดูแล และครูฝึกในเขตพื้นที่เป็นกลางด้วยความช่วยเหลือจากเทพทั้งเจ็ด”

พวกเขาจะไม่อาจทำร้ายผู้ฝึกที่ยังไม่เสร็จสิ้นการฝึกได้โดยไร้เหตุผล และเหมือนกันกับการห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับพาราไดซ์บนโลก พวกเขาได้ถูกห้ามไม่ให้พูดอะไรก็ตามที่อาจเป็นการแย่งตัวไปได้

พวกเขาจะวางคริสตัลสื่อสารเอาไว้ในทุกๆจุดเพื่อที่จะสังเกตุสถานการณ์ของเขตพื้นที่เป็นกลางได้จากภายนอก และพวกเขาก็ยังทำให้ไม่มีองค์กรใด องค์กรหนึ่งผูกขาดตำแหน่งดูแลเขตพื้นที่เป็นกลางอีก

ข้อจำกัดการตายในเขตพื้นที่เป็นกลางก็ยังถูกสร้างขึ้นเพราะแบบนี้เช่นกัน

ต่อให้พวกเขาจะหาวิธีหลบเลี่ยง และแย่งตัวผู้ฝึกมาได้ แต่พวกเขาก็จะต้องเสียแต้มคุณูปการจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา

“เจ็ดอาณาจักรทำขนาดนั้นเลยหรอ? แล้วไม่มีการคัดค้านงั้นหรอ?”

“มันก็ค่อนข้างชัดแล้วว่าใครผิด นอกไปจากนี้องค์กรขนาดเล็ก และขนาดกลางต่างก็ให้การสนับสนุนการตัดสินใจของราชวงศ์”

“…ฉันก็คิดมันมาสักพักแล้วนะ ชาวโลกนี่ชอบฆ่าห่านที่ออกไข่ทองคำกันจริงๆ”

ในที่สุดซอลจีฮูก็พูดขึ้น และส่ายหัวออกมา สิ่งที่เขาได้ยินมันบ้ามาก มากถึงขนาดที่ชาล็อต อาเรียผู้น่าหงุดหงิดเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อนำมาเทียบกัน

“…เอาเถอะนะ”

ไม่ว่าจะยังไงการสนใจกับปัจจุบันมันก็ดีกว่าการจมอยู่กับความหงุดหงิด

“ฉันมีคำถามอยู่ เทพทั้งเจ็ดได้เพิ่มข้อจำกัดเข้ามาก่อนหรือหลังจากที่อึนยูริถูกเชิญ?”

“ก่อนหน้านั้น”

“ถ้างั้นก็มีความเป็นไปได้ที่การตายของอึนยูริไม่ใช่ความผิดพลาดของเธอ”

“ถึงฉันจะพูดแบบมั่นใจไม่ได้เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ฉันก็คิดว่ามันเป็นไปได้ อึนยูริได้ตายไปในวันที่ห้องแห่งการปลุกพลังถูกเปิดขึ้น”

“ในวันเดียวกัน… ชักมีกลิ่นแล้วสินะ”

ซอลจีฮูได้เคาะลงบนโต๊ะ

“แล้วจากข้อมูลที่เธอรู้นี้ เธอคิดจะเชิญเธออีกครั้งงั้นหรอ?”

“จริงๆแล้วนี่เป็นเรื่องที่เราได้คุยกันในซินยอง เพราะแบบนั้นฉันถึงได้รู้เรื่องของเธอ”

คิมฮันนาห์ได้ตอบตรงๆ

“ปัญหาก็คือในรอบถัดมาเทพทั้งเจ็ดก็ได้เข้าแทรกแซง มันเป็นความเสี่ยงที่มากเกินกว่าจะเอาคะแนนคุณูปการไปใช้งานได้ในเมื่อยังไม่ได้รู้คลาสของเธอเลย ฉันเชื่อว่านี่แหละคือการตัดสินใจของซินยอง”

“การตัดสินใจสินะ”

ซอลจีฮูได้เม้มปาก

อึนยูริถูกเชิญมาในพาราไดซ์ และตายลงไปในเขตพื้นที่เป็นกลาง นี่คือความเป็นจริง

อนาคตสามารถจะเปลี่ยนได้ แต่เราไม่อาจจะเปลี่ยนอดีต

แล้วคราวนี้ซอลจีฮูควรจะเลือกอะไรล่ะ?

เขาควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้ดี?

หลังจากคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็ตัดสินใจจะตรวจสอบเพิ่มอีกหน่อย ใจหนึ่งเขารู้สึกไม่ดีที่จะด่วนตัดสินใจอึนยูริแบบนี้

“เธอไม่ได้รู้อะไรแล้วใช่ไหม?”

“น่าเสียดาย ที่ไม่มีแล้ว”

คิมฮันนาห์ได้สังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของซอลจีฮู และถามออกมา

“คุณกำลังหาข้อมูลเพิ่มงั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว เธอพอจะช่วยได้ไหม?”

“ถ้าคุณต้องการ ดิฉันก็จะทำให้ แต่ว่า…”

คิมฮันนาห์ยังพูดไม่ตบประโยค

แน่นอน ตัวเธอมีงานอยู่หลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว นอกไปจากนี้การที่ซอลจีฮูขอให้เธอตรวจสอบเพิ่มเติมโดยไม่มีหน่วยข่าวกรองก็เป็นงานที่หนักหนาอีกด้วย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว คิมฮันนาห์ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานนี้ด้วยตัวเองเลย มันมีวิธีที่ดีกว่านั้นอยู่

ในตอนนี้เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง มันเข้ากันได้ดีกับอีกงานที่ฉันกำลังทำอยู่เลย”

“อีกงาน?”

ดวงตาคิมฮันนาห์ได้เบิกกว้าง

***

วันเวลาได้ผ่านไปย่างรวดเร็ว

ในช่วงนี้ซอลจีฮูกำลังยุ่งอย่างหนัก มันหนักมากจนเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตามเวลาได้ถึงช่วงปีใหม่แล้ว

ถึงการที่อยู่ในสำนักงานทุกๆวันจะเคร่งเครียด ซอลจีฮูก็ยังอดทนกับมัน ในตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญกับวัลฮาลาที่สุด

เนื่องจากว่าเขารู้ดีว่าหากดำเนินการต่อไปทีละก้าวมันจะสะดวกสบายยิ่งขึ้น เขาจึงตั้งใจไปกับการจัดโครงสร้างภายในใหม่

‘การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบสินะ’

ถึงแม้วาคิมฮันนาห์จะแนะนำให้พวกเขานำโครงสร้างทางการทหารมาปรับใช้ แต่ซอลจีฮูก็ตัดสินเพิ่มอีกหนึ่งอย่างเข้าไป

มันก็คือระบบของเยาวชนที่ใช้ในทีมฟุตบอลต่างชาติ

จากแรงบรรดาลใจที่พวกเขาทิ้งสำนักงานในฮารามาร์คไปไม่ได้ เขาจึงวางแผนที่จะใช้สำนักงานเก่าเป็นสถานที่ฝึกหน้าใหม่ แน่นอนว่าที่นั่นจะไม่นับรวมผู้มีประสบการณ์ในพาราไดซ์อย่างแน่นอน

เมื่อหน้าใหม่ได้แสดงศักยภาพมาให้เห็น พวกเขาก็จะถูกเรียกตัวมาที่อีวาเพื่อกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ในทางกลับกันหากว่าพวกเขาขาดศักยภาพ พวกเขาก็จะต้องถูกแยกออกจากแนวหน้า และส่งไปที่ฮารามาร์ค

ถึงแม้ว่าแผนนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะคนๆหนึ่งในวัลฮาลา

ซอลจีฮูได้ไปขอร้องครูฝึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพาราไดซ์เป็นการส่วนตัว และจางมัลดงก็ได้ยอมรับข้อเสนอของเขาแต่โดยดี ซอลจีฮูกังวลว่านี้อาจจะเป็นงานที่หนักหนาเกินไป แต่จางมัลดงก็ดูเหมือนกับจะมีความสุขกับมัน

ก่อนที่พวกเขาจะได้มุ่งสู่การปฏิรูปโครงสร้าง ซอลจีฮูก็ยังคงได้จัดการประชุมตามที่เขาเคยคุยกับคิมฮันนาห์ไว้

ถึงทุกๆคนจะเดาได้ตั้งแต่ก่อนที่องค์กรจะถูกสร้าง ดังนั้นมันจึงน่าจะไปได้สวย แต่ยังไงก็ตามปฏิกิริยาของพวกเขากลับเป็นปัญหา

เมื่อซอลจีฮูถามออกมาว่า ‘ใครอยากจะรับหน้าที่ดูแลทีมจู่โจมทีมใหม่?’ กลับไม่มีใครก้าวออกมาเลย

ซอลจีฮูวางแผนที่จะคงทีมหนึ่งที่อยู่ในการดูแลของเขาเอาไว้ที่สำนักงานใหญ่ และสร้างทีมเล็กๆขึ้นเหมือนหน่วยทหาร

เขาหวังว่าฮิวโก้หรือโชฮงจะเป็นคนอาสาออกมา แต่พวกเขากลับดูจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด ซอลจีฮูถึงขนาดนัดคุยไปโน้มน้าวพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่คำตอบของโชฮงได้ทำให้เขาต้องพูดไม่ออก

“คิดดูสิ เธอจะมีทีมของตัวเองเลยนะ”

“อ๊าา แค่คิดก็ทำให้ฉันปวดหัวแล้ว”

“เธอจะมีอำนาจเป็นหัวหน้าทีมเลยนะ”

“ฉันไม่ได้สนใจอำนาจ”

“ฉันอยากจะให้เธอรับผิดชอบดูแลนะโชฮง”

“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!? ฉันมันทึ่มเกินกว่าจะจัดการเรื่องแบบนี้ ไปถามฮิวโก้ดูซะสิ!”

การตื้อของซอลจีฮูได้ทำให้โชฮงเริ่มอารมณ์เสีย เธอได้กอดอกด้วยสีหน้าเคร่งขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับถูกทรยศ

“เฮ้ นี่มันไม่ดีเลยนะ นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน?”

“อะไรงั้นหรอ?”

“ตั้งแต่ที่นายเข้ามาในพาราไดซ์ ใครกันที่เป็นคนดูแลนาย ฉันคนนี้ไง”

“?”

“หลังจากเวลาทั้งหมดที่เราได้ใช้ร่วมกัน นายกลับจะผลักไสฉันออกไปงั้นหรอ? นี่มันช่างน่าผิดหวัง!”

“ใครผลักไสเธอกัน?”

“ไม่ว่ายังไงฉันจะอยู่ในทีมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนาย ฉันไม่ได้จะบอกว่ามีอะไรพิเศษระหว่างเรา แต่การทอดทิ้งภรรยามันไม่มีอะไรดีหรอกนะ เข้าใจไหมไอ้สารเลว?”

“เฮ้ โชฮง!”

หลังจากพูดจบ โชฮงก็ได้เดินจากไป

ซอลจีฮูรู้สึกผิดหวังกับท่าทีของเธอมาก แต่ว่าเขาจะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อเธอไม่ต้องการตำแหน่งหัวหน้าทีม?

ยังไงก็ตามเขาก็ยังไม่ยอมละทิ้งความคิดที่จะทำให้สมาชิกดั้งเดิมกลายเป็นหัวหน้าทีม เพราะงั้นเขาจึงไปถามอีกคนหนึ่ง

“ฉันไม่ต้องการ!”

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้

“ทำไมล่ะ ทำไมนายทำแบบนี้? อยู่ๆก็มาพูดอะไรแปลกๆมันทำให้ฉันตกใจนะ”

นี่มันมากยิ่งกว่าการปฏิเสธซะอีก

“คะ คุณฟีโซรา ฟังก่อนสิ”

“ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าทำไมฉันไม่รับข้อเสนอ นายอยากจะทำให้ฉันร้องไห้เป็นเลือดงั้นหรอ?”

“?”

“ขอบใจนายนะที่ตีค่าฉันไว้สูง แต่ฉันไม่คิดว่าในตอนนี้ฉันจะทำมันได้หรอก ไว้ฉันดีขึ้นแล้วฉันจะลองคิดดูนะ โอเคไว้? ฉันขอล่ะ”

นั่นเพราะเธอดูจะสิ้นหวัง ทำให้ซอลจีฮูต้องหยุดลงก่อนที่จะได้อธิบายเจ็บ เขารู้ถึงแผลใจของเธอดี เขาไม่อยากจะบังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

‘คงไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ’

ในท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจเก็บสมาชิกดั้งเดิมเอาไว้ในทีมปัจจุบัน และสร้างทีมใหม่จากสมาชิกใหม่

คิมฮันนาห์ก็ยังอยากจะให้ฟีโซรารับผิดชอบดูแลทีม แต่ว่าเธอก็บอกว่าการเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร

ที่เธอคิดก็คือสถานะของตัวแทนจะถูกยกระดับสูงขึ้นหากว่าสมาชิกก่อตั้งทั้งหมดอยู่ในทีมของเขา

แต่ว่าเขาก็ต้องปล่อยให้ตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของทีมจู่โจมว่างไว้เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

‘เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์ และความสามารถ’

ถึงเธอจะบ่นหากรู้เข้า แต่ซอลจีฮูก็คิดว่าไม่มีใครเหมาะกับหัวหน้าทีมไปกว่าฟีโซราแล้ว ทั้งหน้าต่างสถานะ และการต่อสู้ในอดีตของเธอได้พิสูจน์ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี

และขณะที่เขากำลังใช้ช่วงเวลาไปเรื่อยๆอย่างยุ่งวุ่นวาย แขกที่เขารอคอยก็ได้มาที่วัลฮาลา