ตอนที่ 278

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 278 – ผจญฤดูหนาว (3)

เมื่อที่คิมอันนาห์ได้นำทางคนๆหนึ่งมาที่ห้องรับรอง ซอลจีฮูก็ลุกขึ้นยืนด้วยความยินดี

แขกคนนี้มีผิวสีน้ำขาว รูปร่างผอม และสวมใส่ผ้าโพกหัวสีขาว

“คุณธงไชย!”

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

เขาก็คือธงไชย

“เป็นสำนักงานที่ใหญ่มากเลย คุณเป็นเจ้าของที่นี่จริงดิ?”

“ก็ทำนองนั้นแหละครับ”

“แม้กระทั่งในเขตพื้นที่เป็นกลาวตัวคุณเองก็แตกต่างไปจากคนอื่นๆแล้ว ตอนที่เราทำภารกิจร่วมกันเหมือนเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานเองนะครับ นี่มันทำให้ผมนึกถึงวันเก่าๆเลย”

ชายทั้งสองคนได้มานั่งลงกันที่โต๊ะ

“ผมรู้สึกตกใจมากที่ได้ยินว่าคุณมาเยี่ยมสาขาของเราในอีวาเป็นการส่วนตัว”

“เราต้องการหน่วยข่าวกรองในเมืองนี้”

“แล้วเรดฮวารูล่ะครับ? ในเมื่อพวกเขายังอยู่ดี พวกเราก็คิดว่าคุณจะใช้งานพวกเขารวมข้อมูลซะอีก”

“กลุ่มข่าวกรองที่ผมต้องการคือกลุ่มที่สามารถจะครอบคลุมทั้งเขตได้ อีกไม่นานเรดฮวารูก็จะลงจากตำแหน่ง และไปอยู่ภายใต้กลุ่มพ่อค้าดงชุนครับ”

หรือก็คือสมาคมหนักงานเป็นองค์กรที่เหมาะสมกับเกณฑ์ของซอลจีฮู รอยยิ้มยินดีได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธงไชย

“แต่ถึงแบบนั้นการมาถามเราว่าสนใจรับผิดชอบเขตไหมนี่มัน คุณรู้ไหมว่าหัวหน้าสาขาตกใจขนาดไหนเมื่อได้ยินเรื่องนี้?”

ธงไชยได้บ่นออกมาโดยพูดว่าซอลจีฮูก็ยังคงใจกว้างเหมือนอย่างช้า ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆ

ถึงแม้ว่าสมาคมนักฆ่าจะมีสาขาอยู่ทั่วทุกเมือง แต่ว่าสาขาภายในเมืองอีวาก็ไม่ต่างไปจากร้านขายขนมเล็กๆ นั่นก็เพราะว่ากลุ่มพันธมิตรอีวาได้กดดันพวกเขาเอาไว้ ทำให้พวกเขาแทบจะทำกกิจการต่อไปไม่ได้เลย

จากนั้นแล้วจู่ๆวันหนึ่งก็มีไข่ทองคำหล่นออกมาจากฟ้า มันจะไม่ให้พวกเขาตกใจได้ยังไงกัน?

หัวหน้าสาขาที่ตกตะลึงได้รีบถ่ายทอดข้อหนามไปที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมโดยบอกถึงสิ่งที่ซอลจีฮูบอกกับเขา และที่สำนักงานใหญ่ก็ได้อ้าแขนรับข้อเสนอนี้อย่างยินดี

ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังต้องยอมรับการที่สาขาในอีวาจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัลฮาลา แต่นี่มันก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้ว ด้วยขนาดของการดำเนินการแล้ว สาขานี้ก็จะมีตำแหน่งหน้าที่เทียบเท่ากันกับองค์กรหนึ่ง เพราะงั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเวธ

ดังนั้นแล้ววัลฮาลา กับสมาคมนักฆ่าก็ได้สร้างความร่วมมือแบบพึ่งพาอาศัยกัน

“ขอบคุณที่พูดถึงฉันด้วยนะ เพราะคุณเลยทำให้สถานะของผมสูงขึ้นมา และในที่สุดผมก็ยืดหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว

“ถึงมันจะสายไปแต่ผมก็ต้องขอบคุณ คุณเหมือนกัน ในตอนที่เราถูกจู่โจมที่ฮารามาร์คโดยไร้ทางตอบกลับ สมาคมนักฆ่าก็เป็นคนที่ช่วยเราเอาไว้”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลย เขาก็แค่เขียนข่าวตามความเป็นจริงเท่านั้น”

ธงไชยได้พูดออกมาราวกับเรื่องใหญ่ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ได้ยินแน่ๆ มันชัดเจนว่ามีองค์กรลึกลับอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้น มีแต่ต้องมีการสนับสนุนอันทรงพลังเท่านั้นถึงจะออกบทความโต้แย้งต่อสาธารณะชนได้

จริงๆแล้วการจะสร้างสัมพันธ์กับองค์กรที่มีความสามารถอย่างสมาคมนักฆ่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“อ่า แล้วเราคุยกันเรื่องงานที่คุณมอบหมายให้เราได้ไหม?”

“แน่นอน ผมก็กำลังรออยู่เลย”

“ถ้างั้นจะเริ่มที่ข้อมูลพื้นฐานก่อนแล้วกันนะ อึนยูริเป็นผู้ฝึกจากพื้นที่ที่ 1 ในเดือนมีนาคมปี 2016 ถึงอึนยูริจะเข้าสู่พาราไดซ์ได้ล้มเหลว แต่ว่าเธอก็ถูกองค์กรแม่มดผมขาวแห่งนัวร์เชิญ และเข้าร่วมเขตพื้นที่เป็นกลางครั้งที่ 17”

ธงไชยได้พูดต่อโดยไม่หยุดพักหายใจ

“ในระหว่างการฝึกสอน เธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่โดดเด่นออกมาเลย สำหรับเขตพื้นที่เป็นกลางก็เช่นเดียวกัน เธอเป็นเหมือนกับผู้ฝึกที่พบเห็นได้ทั่วไปตามปกติ… แต่ว่ามีจุดที่หน้าสนใจอยู่จุดหนึ่ง”

“อะไรงั้นหรอ?”

“ในวันที่ห้องปลุกพลังถูกเปิดขึ้น”

จากแค่บทฝึกสอนไม่อาจจะวัดคุณค่า และความแตกต่างของชาวโลกแต่ละคนได้

ตัวอย่างเช่นชินซังอา มีอยู่หลายครั้งที่ชาวโลกได้เปลี่ยนชีวิตไปหลังจากได้รับคลาสมา

“จากพยานรู้เห็นในเหตุการณ์ อึนยูริดูเหนื่อยมากหลังจากที่ออกจากห้องปลุกพลัง ถึงเธอจะไม่มีเหงื่อ แต่ทั้งเส้นผม และเสื้อผ้าของเธอเปียกโชกอยู่ ขาของเธอก็ยังสั่นราวกับว่ากำลังฝืนเดินต่อไปอยู่

ธงไชยได้อธิบายสถานการณ์ในตอนนั้นออกมาอย่างละเอียด ซอลจีฮูก็ลูบคางเช่นกัน

‘ฉันก็ลำบากเหมือนกัน’

โอเดลเล็ต เดลฟีนที่ได้รับคลาสนักเวทย์ได้บอกว่าเธอรู้สึกเหมือนกับถูกอบ ยังไงก็ตามทุกๆคนไม่ได้มีประสบการณ์ที่เหมือนกันหมด เหล่าคนที่มีระดับมานาต่ำจะค่อนข้างไม่สะทกสะท้านใดๆ

“แม้ว่าจะไม่มีทางยืนยันได้ แต่เราก็เชื่อว่าอึนยูริได้รับคลาสนักบวช หรือไม่ก็นักเวทย์”

“และเธอก็ได้เสียชีวิตอย่างกระทันหันในวันที่ได้รับคลาสหรอ?”

“อืมม มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ฝึกจะตายไปในระหว่างภารกิจของเขตพื้นที่เป็นกลาง แต่ว่ามันก็ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ พอมาคิดดูแล้ว เมื่อผู้ฝึกได้รับคลาส พวกเขาก็จะจัดทีม และท้าทายในภารกิจที่ยากยิ่งขึ้น

“ใช่ พวกเราก็ทำเหมือนกัน”

“แน่นอนว่าเราก็ต้องคำนึงถึงเรื่องที่อึนยูริไม่ได้มีทีมก่อนการปลุกพลังด้วย แต่ว่ามันก็แปลกอยู่ดีที่เธอได้ตายในการท้าทายภารกิจระดับปกติเพียงลำพังยามค่ำคืน

มันจะเป็นคนละเรื่องหากว่าเธอเป็นนักรบที่มีกันเกลื่อน นักเวทย์กับนักบวชเป็นคลาสที่มีความต้องการสูงแม้กระทั่งในกลุ่มทหารผ่านศึกของพาราไดซ์ แค่เธอเผยคลาสของเธอออกมา ทุกๆทีมก็พร้อมจะรับเธอเข้าทีม

ธงไชยได้หยุดพักสั้นๆก่อนจะพูดต่อ

“พวกเราได้พยายามติดต่อชาวโลกที่ดูแล และฝึกสอนเธอในตอนนั้น รวมไปถึงค้นหาบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย”

“โอ้ ใครงั้นหรอ?”

“เธอได้เข้าร่วมเขตพื้นที่เป็นกลางในฐานะครูฝึก”

“เธอพูดว่าอะไรงั้นหรอ?”

“ผมได้ไปถามมากแล้ว แต่ว่าเธอมีสองเงื่อนไข”

ธงไชยได้พูดต่ออย่างสบายๆ

“อย่างแรกคือการเจอกับตัวแทนวัลฮาลา และพูดกับเขาโดยตรง”

“โดยตรงงั้นหรอ?”

“เธอดูจะลังเลไม่อยากบอกให้คนอื่นรู้ นอกไปจากนี้เธอก็บอกว่าเธอไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด เธอเพียงแค่พบสิ่งน่าสงสัยเท่านั้น หรือก็คือไม่มีอะไรมารับประกันว่าข้อมูลของเธอเป็นความจริง”

“…แล้วเงื่อนไขที่สองล่ะ?”

“เธอขอ 20 เหรียญเงินเป็นการแลกเปลี่ยนกับข้อมูล แม้ว่าข้อมูลของเธอจะไม่ได้ละเอียดอะไร แต่เธอก็บอกว่ามันเป็นราคาที่ยุติธรรมสำหรับข้อมูลที่เธอไปได้ยินและมีประสบการณ์มาด้วยตัวเอง”

10,100,000 วอน ถึงบางทีมันจะดูแพงไปหน่อย แต่ซอลจีฮูก็จ่ายเงินจำนวนนี้ได้ง่ายๆ

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ คุณธงไชย?”

“มันไม่น่าเชื่อถือเลย แต่หากคุณมีเวลาอยู่ ผมก็คิดว่าการได้พูดคุยกับเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไร”

“ผมขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น?”

“ก็เพราะว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนที่คุณคาดคิด แน่นอนว่าในมุมมองของตัวแทนวัลฮาลา”

ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาด้วยความสงสัย แต่ธงไชยก็แค่หัวเราะออกมา

“ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าผมไม่อาจจะเผยตัวตนของเธอได้จนกว่าคุณจะให้คำยืนยันว่าจะพบกับเธอ สำหรับองค์กรด้านข่าวกรองแล้ว ความเชื่อใจคือชีวิตของเรา”

ซอลจีฮูเดาะลิ้นออกมา

“ก็คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะนะ แล้วผมจะเจอเธอได้เมื่อไหร่?”

ธงไชยยิ้มออกมา

“หากคุณต้องการวันนี้ก็ได้”

***

บุคคลลึกลับได้มาที่วัลฮาลาในคืนนี้อย่างที่ธงไชยได้พูดเอาไว้

ซอลจีฮูที่นั่งคอยอยู่ในห้องรับรองเพียงลำพังได้มองดูมาแชล จิโอเนียนำทางหญิงสาวสวยเดินเข้ามา ดจากส่วนสูง ผมสีบลอนด์ และหน้าตาแบบชาวตะวันตกแล้ว เธอดูจะเป็นคนยุโรป

“สวัสดี…”

เมื่อได้ยินคำทักทายที่ค่อนข้างเคอะเขิน ซอลจีฮูก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส

“ยินดีต้อนรับครับ ผมซอลจีฮู ส่วนคุณก็คงจะเป็น…”

“ค่ะ อย่างที่คุณได้ยินมา ฉันอีวาเกลีน ทอนย่า”

อีวาเกลีน ทอนย่า

ในตอนที่เขาได้ยินนามสกุลเขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา แต่พอคิดดูแล้ว เธอเป็นน้องสาวของอีวาเกลีน โรส

เมื่อได้ยินชื่อเกี่ยวกับอีวาเกลีน โรสอีกครั้งได้ทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย นับตั้งแต่ที่เขามาที่อีวา เขาต่างก็เจอกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเธอไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตามที

ทั้งๆที่เธอได้เสียชีวิตไปแล้วในงานจัดเลี้ยง

“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะขอพบกับผมตรงๆ นี่มันน่าจะเป็นเรื่องอึดอัดสำหรับคุณ”

“หากคุณกำลังพูดถึงเรื่องการล่มสลายของอีวาเกลีน ฉันโอเคกับมันมากเลย”

ทอนย่าได้พูดออกมาเบาๆ

“จริงๆแล้วฉันก็อยากจะขอบคุณคุณด้วยซ้ำไป ถึงมันจะน่าเศร้าที่เห็นองค์กรของพี่สาวต้องหายไป แต่ว่ามันก็ดีกว่าการต้องดูมันเน่าเฟะเป็นร้อยเท่า ฉันยิ่งยินดีกับการที่จองซูได้สูญเสียตำแหน่งไป ฉันอยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้คุณด้วยซ้ำไป”

ต่อให้เธอจะแค้นวัลฮาลา ซอลจีฮูก็จะไม่โทษเธอเลย แต่ว่าดูแล้วเธอจะไม่ได้แค้นอะไรพวกเขาเลยสักนิด

“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะครับ”

จากนั้นจู่ๆซอลจีฮูก็เอียงหัวออกมา

“อืมม… เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า…?”

“คุณอาจจะเคยเห็นฉันที่กำลังหนีในระหว่างงานจัดเลี้ยง”

“งานจัดเลี้ยง… อ่อ ในด่านที่ 2”

“ค่ะ”

ทอนย่าได้ยิ้มอย่างร่าเริง

“พี่สาวได้ส่งฉันออกมาโดยแลกกับการเข้าไปในลานกว้างแห่งการเสียสละเพื่อตรวจสอบ”

“จริงด้วย ช่างน่าเสียดาย เธอยังสบายดีนะครับ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าของทอนย่าก็กลายเป็นมืดมนอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากเงียบอยู่สักพัก เธอก็ฝืนส่งเสียงพูดออกมา

“พี่ตายแล้ว”

“…อะไรนะครับ?”

“หลังจากที่ตายไปในงานจัดเลี้ยง พี่ได้ฆ่าตัวตายบนโลกในทันที”

ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน

“มันเป็นความผิดของฉัน”

ทอนย่าได้เม้มปากทำหน้าบึ้งออกมา

“ฉันรู้ว่ามันเป็นข้อแก้ตัว แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวจะฆ่าตัวตาน พี่เป็นคนที่โดดเด่น ฉันคิดว่าพี่จะเคลียร์ด่าน และเดินกลับมาบ้านเหมือนกับการเดินเล่นอย่างเคย”

ที่หางตาของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย

“ถึงแม้ว่าฉันจะรีบกลับบ้านหลังจากด่านที่ 2 และได้ยินข่าว แต่ว่า…”

ในที่สุดเธอก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้า

“มันเป็นฝันร้าย ทั้งบ้านได้เต็มไปด้วยกลิ่นเห็มน เท้าของพี่ลอยอยู่ ลิ้นของพี่ห้อยออกมาจนถึงคาง…”

เธอได้เริ่มสะอื้นจนไม่อาจจะพูดได้จบประโยค

ซอลจีฮูกลายเป็นพูดไม่ออก อีวาเกลีนแขวนคอตาย?

ถึงมันจะยากที่จะเชื่อ แต่เมื่อดูจากความเจ็บปวดของเธอ เขาก็ไม่คิดว่าทอนย่าจะโกหก

“ฉันรู้ว่าพี่สาวหมกหมุ่นกับพาราไดซ์มากเกินไป ฉันควรที่จะกลับไปที่โลกในทันทีที่ฉันออกจากงานจัดเลี้ยงอย่างปลอดภัย…”

ความหลงใหลที่มากเกินไป

เมื่อได้ยินคำนี้ก็ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกดิ่งลง เขาได้พูดออกมาด้วยสีหน้าอึดอัดใจ

“ผมขอโทษ ผมไม่น่าถามออกไปเลย”

“ไม่ค่ะ มันไม่เป็นไร”

ทอนย่าได้เช็ดน้ำตา และส่ายหัว

“ฉันดีใจจริงๆที่คุณถามถึง นอกเหนือจากท่านชาล็อต อาเรียแล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สาวบนโลก… แค่กๆ”

ทันใดนั้นทอนย่าก็ไอออกมา จากนั้นก็หลับตาลง ซอลจีฮูได้นั่งรอคอยเธอ

“…ขออภัยนะคะ”

หลังจากผ่านไปนานทอนย่าก็ดูจะสงบใจได้นิดหน่อยแล้ว เธอได้พูดออกมาด้วยลมหายใจแรง

“ก่อนที่ฉันจะตอบคุณ ฉันอยากจะยืนยันในเงื่อนไขอีกครั้งหนึ่ง”

“แน่นอนครับ ผมจำได้ดี”

ซอลจีฮูได้หยิบเหรียญเงิน 20 เหรียญออกมาวางบนโต๊ะ

“ที่คุณต้องทำก็คือตอบคำถามผม และกลับไปพร้อมกับรางวัล”

ทอนย่าได้ผ่อนคลายออกมา ในที่สุดเธอก็ดูพร้อมจะพูดแล้ว

ซอลจีฮูได้พูดตรงๆ

“การตายของอึนยูริได้เกี่ยวข้องกับการแย่งตัวไหม?”

“ฉันไม่มั่นใจ”

ทอนย่าตอบกลับอย่างสงบ

“แต่ว่ามีคนที่เกี่ยวข้องอยู่ ฉันค่อนข้างจะมั่นใจในเรื่องนี้ประมาณหนึ่ง”

“ประมาณหนึ่ง?”

“ค่ะ ฉันได้บอกคุณไปแล้ว ฉันไม่ได้รู้เบื้องลึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

‘งั้นสินะ?’

ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้ว ทอนย่าถอนหายใจออกมา

“พี่เป็นคนแบบนี้ เธอจะไม่เชื่อใจใครง่ายๆ และจะพยายามทำสิ่งต่างๆเพียงลำพังอยู่เสมอ”

“เดี๋ยวนะ คุณพูดถึงพี่สาว…”

“ค่ะ ฉันกำลังพี่ถึงพี่สาว อีวาเกลีน โรส”

ทอนย่าได้กระแอ่มออกมา

“พี่มอบหมายงานนี้ให้ฉันก็เพราะว่าเธอเชื่อใจฉันที่เป็นน้องสาว แต่มันก็ไม่ใช่งานที่สำคัญอะไรหรอกค่ะ”

“คุณพูดเหมือนคุณอีวาเกลีน โรสได้ติดต่อกับอึนยูริเพื่อดึงตัวไปเลยนะ”

“ฉันจะไม่ปกป้องพี่ค่ะ”

ทอนย่าได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

“ในตอนนั้นการแย่งตัวเป็นสิ่งที่ทุกๆคนทำ ถึงตอนนี้มันจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ว่าองค์กรแม่มดผมขาวก็เคยถูกตั้งข้อสงสัยว่าแย่งตัวผู้ฝึกในเขตพื้นที่เป็นกลางไปอยู่หลายครั้ง”

นี่มันคาดไม่ถึงเลย ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้รีบตั้งสติกลับมา

“แล้วคุณทอนย่าทำหน้าที่อะไรในเขตพื้นที่เป็นกลางหรอครับ?”

“ฉันได้ทำงานอยู่ในโรงอาหาร มีผู้ฝึกมากมายเข้ามาในทุกๆวัน”

“คุณบอกว่าคุณอีวาเกลีน โรสได้มอบหมายงานให้กับคุณ งานนั้นคืออะไร?”

“เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย พี่ได้ขอให้ฉันแอบส่งจดหมายให้กับอึนยูริ เพราะเธอชอบมากินอาหารในตอนเกือบหมดช่วงเย็นแล้ว มันจึงไม่ใช่งานที่ยากอะไร”

“แล้วคุณรู้เนื้อหาในจดหมายไหม?”

“ไม่เลย พี่สาวได้เน้นย้ำไม่ให้ฉันอ่านมัน”

ทอนย่ามีหลักฐานในการยืนยันข้อสงสัยของเธอจริงๆ ซอลจีฮูได้ถามอีกคำถามหนึ่ง

“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าคุณอีวาเกลีน โรสถึงได้สนใจในตัวเด็กที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรอย่างอึนยูริด้วยล่ะ?”

ทอนย่าได้เงียบลงไปอยู่สักพักก่อนพูดออกมา

“ฉันคิดว่ามันก็เพราะสายตาในการมองคนของพี่”

“สายตาในการมองคน?”

“พี่สาวเป็นนักธนู มันก็ไม่แปลกที่เธอจะมีสายตาที่ดี แต่ว่าฉันอยากจะบอกคุณว่าพี่สาวมีสัมผัสที่พิเศษมาก”

“เธอสามารถจะรับรู้ถึงพรสวรรค์ อะไรแบบนี้หรอครับ?”

“อืมม ฉันก็ไม่รู้…”

ทอนย่าเอียงหัวออกมา

“จะว่ายังไงดีล่ะ แทนที่จะมองผู้คนหรือสิ่งของ แล้วนำไปจัดหมวดหมู่ พี่สามารถจะแยกออกไปว่าพวกเขาดีหรือแย่… คงเป็นเหมือนสัญชาตญาณล่ะมั้งคะ”

“สัญชาตญาณสินะ”

“พี่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แต่ว่าสัมผัสของพี่ได้พัฒนาขึ้นอีกเมื่อพี่เข้ามาในพาราไดซ์ ผลประโยชน์ที่เราได้รับมาจากการเชื่อสัญชาตญาณของพี่มันไม่ได้มีแค่ครั้งหรือสองครั้งด้วยนะคะ”

‘ความสามารถโดยกำเนิด!’

เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็คิดขึ้นได้ทันที เขาไม่อาจจะปฏิเสธในความเป็นไปได้นี้ ยังไงแล้วตัวเขาเองก็มีความสามารถที่คล้ายกัน

ถึงแม้ว่าทอนย่าจะบอกว่าเธอไม่เคยคิดว่าพี่สาวของเธอจะตาย แต่ซอลจีฮูรู้สึกว่าเขารู้ว่าทำไม เขายังเกือบจะถูกฆ่าหลังจากได้เห็นสีที่เตือนให้ระวัง และรีบร้อนเกินไป

‘บางทีเธออาจจะเชื่อในสัญชาตญาณของเธอมากเกินไป’

นพเนตรก็เป็นเรื่องของตัวเลือกและความเป็นไปได้ มันไม่ได้มีอำนาจเสร็จสรรพ

“ดังนั้นเพราะสองเหตุผลนี้ คุณก็เลยกำลังจะบอกว่า…”

“ไม่ค่ะ ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล”

ทอนย่าได้พูดออกมา

“ที่ฉันมั่นใจได้เลยคืออึนยูริได้ตายลงไปในเวลาไม่นานหลังจากที่ฉันส่งจดหมายให้เธอ ฉันไม่รู้ว่าระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าฉันก็รู้สึกสงสัยในตัวพี่สาว และเพราะฉันสงสัย ฉันถึงได้ถามพี่ออกไป”

“จากที่คุณบอกผมมาถึงขนาดนี้ ผมชักจะสงสัยแล้วสิว่าเธอพูดอะไร”

“ปกติแล้วพี่จะไม่พูดอะไรกับฉัน แต่ว่าในวันนั้นมันต่างออกไป”

“เธอพูดว่าอะไรงั้นหรอครับ?”

“เธอบอกว่า ‘ฉันรู้ว่าสัญชาตญาณของฉันมันไม่ผิด’”

ซอลจีฮูได้หยุดหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

“เธอยังดูจะมีความสุขอีกด้วย พี่สายได้เผยอารมณ์ออกมาจนทำให้ฉันจำได้อย่างชัดเจน”

ทอนย่าพูดออกมาอย่างชัดเจน

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม แต่ว่าหลักฐานสภาพแวดล้อมมันก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นเรื่องระหว่างอีวาเกลีน โรสกับอึนยูริ

‘เป็นราคาที่คุ้มค่า’

ซอลจีฮูไม่คิดว่า 20 เหรียญเงินเสียเปล่าเลย ยังไงก็ตามสิ่งที่เธอบอกก็เป็นเพียงหลักฐานแวดล้อมที่ไม่ได้รับการยืนยัน

20 เหรียญทองเป็นาคาที่เหมาะสมแล้ว และนี่ก็ทำให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

“ทีนี้ฉันก็บอกทุกๆอย่างกับคุณแล้ว คุณมีคำถามอะไรไรอีกไหม?”

เมื่อได้ยินทอนย่าพูด ซอลจีฮูก็หลุดจาความสับสน

“ไม่ครับ พอแล้วล่ะ”

“ถ้างั้น…”

“ครับ คุณออกไปได้เลย ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

“ไม่มีปัญหา ฉันยินดีอยู่แล้ว”

ซอลจีฮูได้ดันถุงเงินออกไปด้านหน้า

ทอนย่าได้คำนับก่อนที่จะหยิบถุงเงิน และลุกขึ้นไป

***

แม้ว่าทอนย่าจะจากไปแล้ว แต่ซอลจีฮูก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

‘อึนยูริ อึนยูริ…’

มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ซอลจีฮูพยายามคิดหนัก เขายังไม่มั่นใจว่าอึนยูริเป็นคนที่ควรค่ากับการใช้ความปรารถนาแห่งเทพหรือเปล่า

ซอลจีฮูก็เป็นมนุษย์ เขาไม่อยากที่จะใช้แต้มคุณูปการที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากออกไปโดยไม่ระวัง

นี่มันมีโอกาสน้อยกว่า 50% หากเธอเป็นนักบวช เขาก็จะต้องเสียเวลา ความพยายาม และเงินอย่างเสียเปล่า

หรือต่อให้เธอเป็นนักเวทย์ แต่หากว่าความถนัดของเธอต่ำมาก เขาก็จะรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน

หากว่าเขาสามารถไปหาตัวอึนยูริเพื่อใช้นพเนตรมองที่เธอได้ก็คงจะดี แต่น่าเสียดายที่การสังเกตทั่วไปมันใช้ไม่ได้ผลบนโลก

เขาเคยลองทดสอบกับผู้คนตามท้องถนนแล้ว และบางทีอาจจะเพราะพวกเขายังไม่ได้ผ่านบทฝึกสอน เขาจึงมองไม่เห็นหน้าต่างสถานะเลย

การใช้สีก็ไม่อาจจะตัดสินความสามารถของเธอได้ด้วยเช่นกัน

‘สมมติว่าเราได้เชิญเธอแล้ว มันยังมีประโยชน์อะไรที่เป็นไปได้อีก…?’

จากนั้นเอง เมื่อเขาลองคิดให้ดี

‘เอ๋?’

ความคิดหนึ่งได้แล่นเข้ามาในหัวของเขา

‘เดี๋ยวก่อนนะ’

เขาได้เบิกตากว้าง และอ้าปากค้าง

“ใช่แล้ว.. ทำไมฉันถึงไม่คิดเรื่องนี้เลย…?”

เขาได้พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าสับสน… ตึง! เขาทุบโต๊ะ และลุกขึ้นยืด

“อ๊าาา เว้ยเอ้ย คิมฮันนาห์!”

จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปจากสำนักงาน พร้อมโทษคิมฮันนาห์ที่ไม่ได้อยู่ด้วย ด้วยเหตุผลบางประการ