“พวกแกจะทำอะไร! รู้มั้ยว่าข้าเป็นใคร แน่จริงแตะต้องข้าดูสิ!”
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่วิ่งเข้ามา หวางจื้อเฟย ก็ตื่นตระหนกและตะโกนออกไป
รปภ. เหล่านั้นไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่ามันจะเป็นใคร กล้าท้าทายพี่เทียนของพวกเขาก็คงต้องโยนออกไปนอกร้านก่อนค่อยว่ากัน!
จากนั้นรปภ.ทั้งสี่ก็เข้ามายืนอยู่ข้างหวางจื้อเฟยแล้วจับเขาคนละข้างและลากเขาออกไป
หยูเสี่ยวเหวินก็จนปัญญา เนื่องจากความสวยของเธอ รปภ.สองคนก็ได้โอกาสแตะต้องเธอไปด้วย
เมื่อเห็นภาพนี้ ห่าวเหรินก็ตกตะลึง
เขารู้จักตัวเองดี ไม่อย่างนั้นหยูเสี่ยวเหวินคงไม่เหยียบเรือสองแคมหรอก
สำหรับบาร์แห่งนี้ เขาเคยมาแค่สองครั้งเท่านั้น แม้แต่ซูเหมยเขาก็แค่เคยมองผ่านๆ เท่านั้น คงไม่ต้องพูดถึงการรู้จักรปภ. ในบาร์แห่งนี้หรอก
อย่างน้อยเขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ต่อให้ไร้การศึกษาสักแค่ไหน อย่างน้อยเขาก็มีวิสัยทัศน์อยู่
แต่ในชั่วพริบตา ห่าวเหรินก็ตั้งสติได้และพูดอย่างตื้นตันว่า “เย่เทียน ขอบใจนะเพื่อน ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ข้าไม่รู้จะต้องอับอายขายหน้าแค่ไหนแล้ว!”
เย่เทียนยิ้มและตบไหล่เขาเบาๆ “เราเป็นพี่น้องกันนะ จะเกรงใจกันทำไมล่ะ มาชนแก้ว!”
ห่าวเหรินได้แต่ยิ้มตอบ ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เทียนถึงสั่งรปภ. ของบาร์นี้ได้ แต่เท่าที่สังเกตมา เพื่อนสนิทของเขาคนนี้เหมือนยังมีความลับที่เขาไม่รู้
แต่เย่เทียนไม่ได้พูดถึงมัน และเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะถาม สีหน้าของทั้งสองไม่ได้แสดงถึงความอึดอัดใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองจึงพูดคุยกันและกินดื่มอย่างมีความสุข
ส่วนหวางจื้อเฟยที่ถูกไล่ออกจากร้าน ในเวลานี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขากัดฟันแน่นๆ และดูเหมือนกำลังจะฆ่าคน
“คุณชายหวางคะ เราตกอับมากเลยนะ เรื่องนี้เราจะยอมแบบนี้ไม่ได้!”
หยูเสี่ยวเหวินที่อยู่ด้านข้างก็เต็มด้วยความโกรธและตะโกนส่งเสียงดัง
“อีดอกทอง หุบปากเดี๋ยวนี้!”
หวางจื้อเฟยสุดจะทนอีก เป็นแค่กะหรี่คนหนึ่ง แต่กล้าส่งเสียงโวยวายที่นี่ เขาจึงง้างมือแล้วตบไปที่กลางหน้าของเธอ “ไปให้พ้นซะ!”
หยูเสี่ยวเหวินที่ถูกตบหน้าได้แต่กุมใบหน้าที่แดงก่ำของเธอไว้ เมื่อตั้งสติได้ เธอจึงรู้สึกเจ็บใจและโกรธมาก แต่เนื่องจากสถานะของเธอกับหวางจื้อเฟยมันต่างกันมาก เธอจึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรอีก ได้แต่เดินจากไปอย่างน่าสงสาร
ในใจยังคงคิดว่า “เย่เทียน ห่าวเหริน พวกแกรอฉันไว้!”
เธอเกลียดเย่เทียนกับห่าวเหรินจนเข้ากระดูก!
แม้หยูเสี่ยวเหวินจะไปแล้ว แต่หวางจื้อเฟยยังคงยอมกับเรื่องนี้ไม่ได้และพูดพึมพำว่า “เก่งจริงนะพวกแก คอยดูว่าข้าจะจัดการกับพวกแกยังไง!”
เดิมทีเขาเป็นคนจิตใจคับแคบอยู่แล้ว แต่เขาต้องอับอายขายหน้าในบาร์ และยังถูกกลุ่มรปภ. ลากออกมานอกร้านด้วย ตอนนี้ศักดิ์ศรีของเขาไม่เหลือแล้ว แค้นในครั้งนี้ เขายอมไม่ได้จริงๆ!
จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออกหมายเลขหนึ่ง “พี่ ผมถูกไล่ออกมาจากบาร์……มันชื่อเย่เทียน ว่าไงนะ? พี่ก็เคยมีเรื่องกับมันด้วยเหรอ? พี่จะพาพี่ใหญ่เหลยมาคิดบัญชีกับมันเหรอครับ? ได้สิ ผมจะรอที่นี่นะครับ!”
หลังจากหวางจื้อเฟยวางสายลง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ
เขาไม่นึกเลยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เคยมีเรื่องกับเย่เทียนคนนี้ และยังจะเรียกเหลยเหลาหู่จากหนึ่งในสามปรมาจารย์หางเสือ ของแก๊งไผ่เขียวมาด้วย!
เหลยเหลาหู่คือใครน่ะหรือ? เขาคือบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกใต้ดินของเมืองเจียงหนัน!
นอกจากนี้ เขามีลูกมือที่โหดเหี้ยมมากกว่าสามร้อยคนอีกด้วย
ซึ่งคนที่โหดเหี้ยมในสังคมนั้นมีไม่มากนัก แต่เหลยเหลาหู่ถือเป็นคนหนึ่งที่ถ้าหากมีใครสักคนกล้ามีเรื่องกับเขา ศัตรูของเขาจะต้องถูกหักแขนหักขา หรือกระทั่งต้องล่มสลายไปทั้งครอบครัวอย่างง่ายดายได้!
“เหอะ แกตายแน่!”
“อยากโชว์พาวนักใช่ไหม กล้าไล่กูออกมา เดี๋ยวมึงเจอดีแน่!”
หวางจื้อเฟยยิ้มอย่างได้ใจ ร่างกายของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บอีก และเขาก็รอลูกพี่ลูกน้องของเขาอยู่ในรถ
สิบนาทีต่อมา รถสามคันที่ขับเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ได้จอดอยู่ตรงหน้าประตูบาร์
หวางจื้อเฟยที่เห็นภาพนี้ดวงตาก็เป็นประกายทันที ซึ่งรถเฟอร์รารีสีเหลืองที่ขับนำหน้าก็คือรถของลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาเฟอร์รารีคันนั้นและตะโกนอย่างตื่นเต้น “พี่ชายครับ! พี่มาจนได้!”
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเห็นคนที่ลงจากรถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและถามว่า “พี่ครับ หัวของพี่……”
ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นซุนปินที่เพิ่งถูกเย่เทียนจัดการจนใบหน้าบวมช้ำเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว!
แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังบวมอยู่เล็กน้อย และบนหัวของเขายังถูกพันด้วยผ้าก๊อซ ซึ่งดูก็รู้ว่าเขาเพิ่งถูกคนอื่นสั่งสอนมาอย่างสาหัส!
“เย่เทียนไอ้หมอนั่นล่ะ?”
เมื่อซุนปินลงจากรถ เขาก็ถามด้วยสีหน้าหม่นหมองทันที
“ผมเฝ้ามันอยู่ตลอดเลยครับ ตอนนี้มันยังอยู่ด้านในครับ!”
หวางจื้อเฟยตอบอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก!”
ดวงตาซุนปินประกายแสงเย็นวาบ เขาหันมองไปทางด้านหลัง จากนั้นคนมากกว่ายี่สิบคนที่มีชายหัวโล้นร่างใหญ่เป็นผู้นำก็เดินตามเขามา ใบหน้าของชายหัวโล้นคนนี้ยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่เหมือนตะขาบ ซึ่งดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมมาก
และเขาคนนี้ ก็คือเหลยเหลาหู่ หนึ่งในสามปรมาจารย์หางเสือ ของแก๊งไผ่เขียว!
“พี่ใหญ่เหลยครับ เรื่องต่อจากนี้ต้องฝากให้คุณแล้วนะครับ!”
ซุนปินพูดกับเหลยเหลาหู่อย่างสุภาพ
เหลยเหลาหู่ก็ยิ้มตอบอย่างพึงพอใจและพูดด้วยความมั่นใจ “เรื่องของคุณชายซุนก็คือเรื่องของผม! ไปกันเถอะ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้กระจอกหน้าไหนที่กล้าทำร้ายคนของผมและยังกล้าท้าทายคุณชายซุนอีกด้วย!”
ขณะที่เขาพูดอยู่ ชาย 20 กว่าคนก็หัวเราะออกมาดังๆ ด้วยท่าทางที่ดูถูกศัตรูที่กำลังจะเจอ
“เสี่ยวเฟย นำทาง!”
ซุนปินรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น ส่วนหวางจื้อเฟยที่รู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้วก็ไม่มีทางนิ่งเฉยได้อีก เขาจึงรีบเดินนำไปในบาร์ทันที เมื่อเหลือบมองไปรอบๆ บาร์ ในที่สุดเขาก็พบเย่เทียน จากนั้นชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “พี่ครับ ไอ้หมอนั่นอยู่ทางนั้นครับ!”
ซุนปินมองไปในทิศทางที่หวางจื้อเฟยชี้และดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น “พี่ใหญ่เหลย……”
“เสี่ยวหวง เอ็งเข้าไปลากคอมันมาหน่อยสิ๊”
เหลยเหลาหู่ออกคำสั่งอย่างไม่แยแสและไอ้ผมเหลืองก็รีบทำตามคำสั่งของเขาทันที
เย่เทียนกับห่าวเหรินยังนั่งคุยกันในคลับอยู่ แต่จู่ ๆ ก็มีไอ้ผมเหลืองคนหนึ่งเดินเข้ามา
“นี่คุณ ออกไปกับผมหน่อย!”
ไอ้ผมเหลืองยืนอยู่ตรงหน้าเย่เทียนแล้วพูดอย่างหยิ่งทะนง
เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นใคร?”
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมจะเป็นใคร เจ้านายผมเรียกคุณ ไม่อยากตายก็ออกไปกับผมซะ!”
ไอ้ผมเหลืองเหลือบมองไปที่เย่เทียนแล้วพูดอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่เทียนก็มองไปรอบๆ และเมื่อเห็นหวางจื้อเฟยกับซุนปินยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบาร์ เขาก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
เย่เทียนยิ้มจางๆ ในใจเขารู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่เขาไม่เลือกที่จะถามมากและลุกขึ้นยืนทันที
“เย่เทียน อย่าไปเลย!”
ในขณะนี้ ห่าวเหรินดึงเย่เทียนไว้แล้วพูดอย่างประหม่า
“ทำไมล่ะ?”
เย่เทียนเห็นสีหน้าความกลัวของเขาจึงถามอย่างสงสัย
“ถ้าข้าดูไม่ผิด คนที่ยืนอยู่ข้างหวางจื้อเฟยคนนั้นก็คือเหลยเหลาหู่ หนึ่งในสามปรมาจารย์หางเสือ ของแก๊งไผ่เขียวเชียวนะ! ถ้านายไปแบบนี้คงไม่ดีแน่เลย!”
ห่าวเหรินตื่นตระหนกมาก ไม่คิดเลยว่าคนของแก๊งไผ่เขียวจะมา
“แก๊งไผ่เขียว? เหลยเหลาหู่? แล้วทำไม?”
สำหรับเรื่องนี้แล้ว เย่เทียนแค่ยิ้มอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไรหรอก ข้าลองไปดู”
ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็ก้าวออกมาแล้วมองไปที่ไอ้ผมเหลือง “พาผมไปสิ!”
ไอ้ผมเหลืองที่เห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดดูถูกและแอบนินทาในใจว่าไอ้หมอนี่ไม่รู้ฟ้าจริงๆ และหลังจากนั้นเขาก็หันเดินไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นเย่เทียนไปกับไอ้ผมเหลืองแล้ว ห่าวเหรินก็กัดฟันกระทืบเท้าและเดินตามพวกเขาไป