บทที่ 1303+1304

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1303+1304 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1303 พาข้าไปหานาง 2

ฝูงชนเบิกตาค้างอ้าปากหวอ ไม่เคยนึกเลยว่าจะใช้งานเช่นนี้ได้ด้วย

เพียงแต่การทำเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังยิ่งนัก บนหน้าผากของคนผู้นั้นปกคลุมด้วยหยาดเหงื่อ สีหน้าก็ซีดเซียวลงอีกระดับหนึ่ง

“ท่านผู้สูงศักดิ์…วิชาแพทย์ล้ำเลิศนัก เจ้าเป็นคนของสำนักถามสวรรค์หรือ?” หลัวจั่นอวี่สอบถาม ถึงอย่างไรเขาก็ถูกขังไว้ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี เพียงได้ยินมาว่าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์ที่โลกภายนอกวิชาแพทย์ร้ายกาจเป็นที่สุด ล้ำเลิศที่สุด บุรุษชุดขาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้พลังวิญญาณไม่สูง ทว่าวิชาแพทย์กลับสูงส่งปานนี้ ดังนั้นหลัวจั่นอวี่จึงคาดเดาเช่นนี้

คนผู้นั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ย้อนถามประโยคหนึ่ง “ที่นี่…มีแม่นางแซ่กู้คนหนึ่งมาที่นี่หรือไม่?” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแหบพร่า แต่ไม่อาจปิดบังเนื้อเสียงเดิมกระจ่างชัดได้ ยังคงไพเราะยิ่งนัก

หลัวจั่นอวี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองพินิจคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

คนผู้นั้นสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ตอบข้ามาก่อน!”

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพลังวิญญาณไม่สูง แต่ความทรงอำนาจกลับมากล้น บนร่างถึงขั้นมีแรงกดดันไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่งแผ่ออกมารางๆ ด้วย ทำให้คนอยากศิโรราบอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าล่วงเกิน

หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนที่เข้ามาเหล่านั้น ราวกับผู้ที่เข้ามาไม่ใช่เด็กหนุ่มอาการร่อแร่ปางตายคนหนึ่ง แต่เป็นราชันองค์หนึ่ง เป็นเทพสังหารองค์หนึ่ง…

เมื่อนึกถึงว่าคนผู้นี้พลังวิญญาณต่ำต้อยทว่าสามารถสร้างวีรกรรมต่อสู้กับสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดสี่ตัวได้ หลัวจั่นอวี่จึงไม่กล้าประมาท คนผู้นี้ที่มาไม่ชัดเจน หากว่าประสงค์ร้ายต่อซีจิ่วล่ะ?

อย่างไรเสียหลัวจั่นอวี่ก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้า แรงกดดันบนร่างจึงไม่นอยเช่นกัน ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งขรึม “ถ้าท่านผู้สูงศักดิ์ไม่แจ้งฐานะมาก่อน ก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่อาจตอบคำถามใดๆ ของเจ้าได้!”

คนผู้นั้นหลับตาลงเล็กน้อย คล้ายจะทราบเช่นกันว่าตนใจร้อนไปหน่อย เขากวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง มีคนอยู่รอบๆ ไม่น้อย สตรีก็มีอยู่แปดคน ทว่าไม่มีเงาร่างของคนที่เขาตามหา

ถึงอย่างไรเขาก็บาดเจ็บสาหัส ถึงแม้จะกินยาไปแล้ว และเชื่อมกระดูกซี่โครงตรงทรวงอกที่หักไปแล้ว แต่เมื่อขยับเบาๆ ก็ยังคงมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาอยู่ดี ไม่อาจฟื้นฟูกำลังวังชาได้ภายในสามวันห้าวัน

คนที่รายล้อมอยู่ไม่น้อยเลย พลังวิญญาณก็ต่ำต้อยเช่นกัน ดูเหมือนอยู่ที่นี่พวกเขาจะฝึกฝนได้ไม่เลวเลย บรรลุขั้นสูงที่ผู้บำเพ็ญข้างนอกไม่อาจบรรลุถึงได้ เมื่อออกไปจะต้องกลายเป็นกำลังรบหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งนักเป็นแน่

เพียงแต่ คนเหล่านี้น่าจะเห็นเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกันทั้งสิ้น…

ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแว่วมาแต่ไกล “มีคนมาใหม่อีกแล้วหรือ? หวา เช่นนั้นให้ผู้เฒ่าดูหน่อยสิ!”

พายุฝุ่นหมุนตลบ เงาร่างสีเขียวจางๆ สายหนึ่งกระพือฝาสร้างลมโหมกรรโชก มาถึงด้านนอกกลุ่มคนในทันใด “หลบไปให้หมด! ให้ข้าดูบ้าง!”

ฝูงชนแหวกทาง หอยยักษ์ตัวหนึ่งกลิ้งกลุกๆ เข้ามา อ้าฝาหอยออก หนูน้อยคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน

ทันทีที่ได้เห็นผู้บาดเจ็บที่เพิ่งลุกขึ้นนั่ง ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”

เสียงของมันไม่เบาเลยจริงๆ หกคำนี้เสมือนระเบิดลูกหนึ่ง ระเบิดใส่ฝูงชนรอบข้างโดยตรง!

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?!

ตี้ฝูอี?!

เป็นไปไม่ได้กระมัง?!

ฝูงชนเงียบกริบก่อน จากนั้นก็เกิดเสียงจอแจขึ้นมาเสมือนหม้อน้ำเดือด! ผู้คนพากันถอยหลังไปหลายก้าวประหนึ่งถูกพายุกวาดพัด แต่ต่อมาก้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก้าวเข้ามาหลายก้าวอีกครั้ง! เสียงชักอาวุธดังขึ้นไม่ขาดหู ระกายแสงเยียบเย้นนับไม่ถ้วนจ่อใส่ผู้มาใหม่ที่อยู่ภายในวงล้อม

หลัวจั่นอวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความแค้นกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่ว่า…สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินกรอกหูอยู่ทุกวันคือความเคียดแค้นชิงชังที่เกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทั้งสิ้น ดังนั้นในจิตใต้สำนึกจึงหวาดหวั่นประกอบกับรังเกียจต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน…

เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนกัน ชูฝ่ามือทั้งสองขึ้นเล็กน้อย หันไปถามเจ้าหอยยักษ์ “เขาคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม?”

———————————————————————–

บทที่ 1304 พาข้าไปหานาง 3

ยามที่ตี้ฝูอีเดินทางอยู่ภายนอกจะสวมหน้ากากไว้ตลอด ถึงแม้คนเหล่านี้ล้วนถูกเขาจับโยนเข้าป่าทมิฬแทบทั้งสิ้น ทว่าไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย

อีกอย่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ถึงแม้ผู้ลงโทษ แต่ผู้ที่ลงมือจริงๆคือผู้คุ้มกันทั้งสี่ของเขา

พวกเขาบ้างก็เคยพบเขาแค่บนแท่นเบิกสวรรค์ บางคนแม้แต่แท่นเบิกสวรรค์ก็ไม่ได้ขึ้นด้วยซ้ำ ถูกเขามองอยู่ไกลๆแวบหนึ่งก็ถูกตัดสินแล้วว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ตัวปลอม…

ดังนั้นถึงแม้ในใจของคนเหล่านี้จะแค้นเคืองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ ทว่าไม่รู้จักรูปลักษณ์ของเขาเลย

ยามนี้จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ก็ตะโกนออกมาเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่แต่ละคนจะแตกตื่นไม่เชื่อถือ

ในใจของพวกเขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นบุคคลกึ่งเทพกึ่งเซียนที่เหยียบย่างบนเมฆา ยามนี้ผู้มาใหม่ที่สภาพน่าเวทนาเป็นล้นพ้นคนนี้มีพลังวิญญาณเพียงขั้นหกเท่านั้นจะใช่เขาจริงๆ หรือ?

สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเจ้าหอยยักษ์ เจ้าหอยยักษ์ตกเป็นจุดรวมสายตาของฝูงชนอีกครั้ง มันภาคภูมิใจยิ่งนัก “แน่สิ! ของแท้แน่นอน! ยามที่ข้าติดตามอยู่ข้างกายเจ้านายได้พบเขาอยู่บ่อยๆ…”

จากนั้นมันก็กลิ้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตรงไปอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านมาได้ยังไง? อ๋า ซ้ำยังบาดเจ็บไปทั้งตัวด้วย…”

คนผู้นั้นย่อมเป็นตี้ฝูอี เมื่อเขาเห็นเจ้าหอยยักษ์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

นางอยู่ที่นี่!

เขาไม่ได้มาเสียเปล่า…

“นายของเจ้าล่ะ?” ตี้ฝูอีเอ่ยถาม

“เจ้านายไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาด้านหลัง ยังไม่กลับมาเลย”

มิน่าเล่าเขาถึงไม่เห็นนาง นึกว่านางเห็นเขาเข้ามาจึงไปซ่อนตัวอีกครั้ง…

ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก “พาข้าไปหานาง!” เขาคิดจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับส่ายโงนเงน ลุกไม่ขึ้น เหงื่อออกท่วมร่างอีกครั้ง

ในที่สุดปฏิกิริยาตอบสนองของฝูงชนรอบข้างก็กลับมาแล้ว!

ในบรรดาคนพวกนี้เหล่าสตรียังพอว่า ความรู้สึกที่มีต่อตี้ฝูอีค่อนข้างซับซ้อน แต่บุรุษนั้นต่างกันลิบลับ! เหล่าบุรุษเลือดร้อน อีกทั้งบ่มเพาะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้มาเนิ่นนนปี แต่ละคนล้วนเหมือนหมาป่าเดียวดาย พวกเขาใฝ่ฝันว่าอยากทุบตีเจ้าคนร้ายผู้นี้ให้น่วมสักยกหนึ่ง!

ยามนี้คนผู้นี้อยู่ตรงหน้าแล้ว ซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ กำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ ถ้าไม่ล้างแค้นในยามนี้จะให้ไปล้างแค้นยามไหนเล่า?

ด้วยเหตุนี้ ฝูงชนจึงล้อมวงเข้าไปจนเสียงดังตุบๆ ตับๆ แต่ละคนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ตี้ฝูอี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!”

“ตี้ฝูอี ”

“วันนี้เจ้าเองก็พลาดท่ามาอยู่ที่นี่เช่นกันนับว่าเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์ใช่หรือไม่?”

“ตี้ฝูอี เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่?! แต่เดิมผู้เฒ่าก็ไม่ได้พูดเลยว่าตัวเองเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เพียงล้อเล่นเล็กน้อยกับสหายเท่านั้น ผลลัพธ์ก็คือถูกเจ้าโยนเข้าป่าทมิฬ หวิดจะสิ้นชีพ! สิบห้าปีแล้ว! ข้าถูกขังอยู่ที่นี่สิบห้าปีแล้ว!”

แรกสุดมีคนด่าประณามอยู่คนเดียว ในไม่ช้าก็ดึงดูดจิตใจของฝูงชนรอบข้างที่มีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกัน จนเกิดเสียงประณามเต็มไปหมด

มีบางคนที่ค่อนข้างเลือดร้อนมุทะลุ สะกดความโกรธไว้ไม่อยู่ ตรงเข้าลงมือต่อตี้ฝูอีทันที “เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ? เจ้าไปตายซะเถอะ!”

เมื่อคนหนึ่งลงมือ คนที่เหลือก็ลงมือตามด้วย ทันใดนั้น แสงทักษะยุทธ์นับไม่ถ้วนก็พุ่งวาบไปทางตี้ฝูอี!

คนเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้ความเคียดแค้นชิงชังจนเลือดขึ้นหน้า ย่อมออกกระบวนท่าอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ล้างแค้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

พยัคฆ์ร้ายก็ยังหวั่นเกรงฝูงหมาป่า นับประสาอะไรกับตี้ฝูอีในยามนี้ที่เป็น ‘เสือ’ เจ็บหนัก กระบวนท่าชุดใหญ่ซัดเข้าใส่เขาจากทุกทิศทุกทาง หากถูกซัดเข้าเขาอาจจะไม่ทันได้รอเจอกู้ซีจิ่ว ร่างนี้ก็คงหมดสภาพไปก่อน…

ในช่วงเวลาคับขันนี้ ตี้ฝูอีเคลื่อนไหวแล้ว!

เมื่อครู่เขานั่งอยู่ตรงนั้นราวกับขยับเขยื้อนไม่ได้ ทว่าการเคลื่อนไหวนี้ประหนึ่งสายฟ้าแลบก็มิปาน เกิดเสียงดังฟิ้วแวบไปอยู่ข้างกายหลัวจั่นอวี่ เอ่ยออกไปตรงๆ ประโยคหนึ่ง “ข้าเป็นคู่หมั้นของน้องสาวเจ้า!”

หลัวจั่นอวี่พลันสั่นสะท้าน เขาตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน!”

——————————————————————