บทที่ 86.3 ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่น ฮ่องเต้สาบสูญ (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เย็นวันนี้ในเมืองหลวงมีเหตุการณ์ที่จะพลิกเปลี่ยนครั้งใหญ่ เขากลับหลักแหลมเป็นอย่างมาก ที่ตัดสินใจรวดเร็วอย่างเด็ดขาดเช่นนี้…

เรื่องนี้ ฉู่สวินหยางนับถือเขามาโดยตลอด

ฉู่หลิงอวิ้นได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งงันตกตะลึงอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ จึงค่อยดึงสติกลับมาได้ แค่นหัวเราะออกมาอย่างไม่คาดคิด “ฉู่ฉี้เหยียนเจ้าเลอะเลือนไปแล้วรึ? เจ้าจะกลัวอะไร? แค่คำพูดสองสามคำก็เชื่อฟังนังแพศยานี่แล้วรึ เจ้า…”

เห็นได้ชัดว่าฉู่ฉีเหยียนได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ไม่กล่าวอะไรก็หมุนกายออกไปยังตรอกลึกทันที

หลี่หลินก็ไม่ชักช้า ยกฝีเท้าตามไปเช่นกัน

แม้ฉู่หลิงอวิ้นจะไม่ยอม แต่เวลานี้กลับไม่มีใครสามารถช่วยนางได้แล้ว หากจะสู้กันขึ้นมาจริงๆ?

อย่าว่าแต่ฉู่สวินหยางเลย แค่หัวแม่มือนาง ฉู่หลิงอวิ้นก็ยังไม่อาจจะเอาชนะได้เลย

ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับนางอีก เขาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ฉู่หลิงอวิ้นขุ่นเคืองอยู่ในใจ ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ทั้งจ้องไปที่ใบหน้าของฉู่สวินหยางอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดแล้ว เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่จำใจกัดฟันไว้ หมุนกายไล่ตามพวกฉู่ฉีเหยียนออกไป

ฉู่สวินหยางยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ทอดสายตามองร่างของคนสามคนเดินออกไปไกล สุดท้าย ร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดในตรอกโดยแทบที่จะไม่มีใครรู้ตัว

รอจนสามคนนั้นจากไป จูหย่วนซานจึงค่อยเดินออกมาจากด้านหลังด้วยท่าทีที่จริงจังเล็กน้อย “ท่านหญิง!”

“อืม!” ฉู่สวินหยางจับสังเกตเขาได้ตั้งนานแล้ว ยามนี้จึงค่อยเก็บแส้อย่างช้าๆ เดินเข้าไปในตรอกนั้นไปพลาง ทั้งกล่าวไปพลาง “เจ้าตามพวกฉู่ฉีเหยียนนายบ่าวมาอย่างนั้นรึ?”

“ขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว “เดิมทีบ่าวได้รับคำสั่งมาจากฝ่าบาท ต้องเข้าวังไปดูสถานการณ์ แต่ในตอนที่ไปถึงถนนใหญ่ทิศใต้ ก็เห็นสองนายบ่าวซื่อจื่อหนานเหอแอบลอบตามคนผู้หนึ่งอยู่ ตอนแรกบ่าวก็ยังสองจิตสองใจว่าจะลงมือดีหรือไม่  คล้อยหลังกลับมีคนอื่นปรากฏตัว พาตัวคนผู้นั้นไป ยามที่ซื่อจื่อหนานเหอย้อนมาที่นี่ บ่าวจึงตามมาดู ไม่คิดว่าจะมาพบท่านหญิงที่นี่ขอรับ”

มิน่าเล่า ฉู่ฉีเหยียนถึงปล่อยฉู่หลิงอวิ้นไว้ที่นี่คนเดียว ทั้งยังปรากฏกายยังพรวดพราด แท้จริงแล้ว…

เขากลับจับตาดูคนชุดดำลึกลับอยู่ตลอด

แทบไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า ผู้ที่พาตัวคนไปกลางทางก็คงเป็นว่าที่เจ้าสาวของซูอี้ ซื่อหรงอย่างแน่นอน

คิดดูแล้ว สามคนนั้นก็ยังนับว่าเป็นปัญหาจริงๆ

ทว่ายามนี้ ฉู่สวินหยางกลับไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ นางเพียงเดินไปเตะองค์ชายหกหนานฮวาครั้งหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฟื้นขึ้นมาก็ค่อยวางใจ กล่าวกำชับกับจูหย่วนซาน “นำตัวเขาไปส่งให้เฟิงเหลียนเซิ่งที่เรือนรับรอง มอบให้คนหนานฮวาเสียเถิด!”

“ขอรับ!” จูหย่วนซานก็ไม่มากความ แบกคนขึ้นก่อนจะจากไปด้วยความรวดเร็ว

ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้จะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก นางยังคงต้องเข้าไปในวัง

คนแซ่ฟางไม่ให้นางก้าวก่ายเรื่องของฉู่ฉีเฟิง นางกลับไม่ได้คิดจะฟังอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เรื่องความเป็นความตายเช่นนี้ แม้ว่าฉู่ฉีเฟิงจะไปแล้ว…

แต่หากนางไม่อยู่ที่นั่นด้วยจะวางใจลงได้อย่างไร?

ชั่วขณะนั้นฉู่สวินหยางก็ไม่ชักช้า ตรงไปที่พระราชวังอย่างทันที ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะเห็นประตูวังอยู่ไกลๆ ก็ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นออกมาจากที่นั่นก่อน

เกิดเรื่องขึ้นในวังแล้ว?

เป็น…

ฉู่อี้เจี่ยนลงมือแล้วรึ?

ใจของฉู่สวินหยางบีบรัดโดยพลัน เร่งร้อนตามเข้าไป

เพิ่งจะถึงหน้าประตู ก็เจอเข้ากับฉู่ฉีเฟิงและฉู่อี้เจี่ยนอยู่พอดี ทั้งสองคนนำกองทหารองครักษ์จำนวนมากวิ่งออกไปจากประตูวัง

“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางเกิดความสงสัย จึงเดินเข้าไปหา

ก่อนหน้านี้ม้าศึกของนางตายเพราะกลลวงขององค์ชายหกหนานฮวา ดังนั้นยามนี้นางจึงทำได้แค่เดินมา

ฉู่ฉีเฟิงเห็นนาง ก็รีบหยุดบังเหียนม้า “เจ้ามาได้อย่างไร?”

 “ท่านพี่ออกมานานแล้ว ไม่ส่งข่าวอันใดเลย ข้าไม่สบายใจ จึงตามมาดู!” ฉู่สวินหยางกล่าว ในขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่ฉู่อี้เจี่ยนอย่างเงียบเชียบ “ท่านอาเล็กก็อยู่ด้วยรึ? ดึกดื่นเช่นนี้ พวกท่านกำลังจะไปไหนกัน?”

ฉู่อี้เจี่ยนเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ใบหน้ายังเผยท่าทีกังวล ทั้งไม่ได้ตอบนางไปแต่อย่างใด

ฉู่ฉีเฟิงเบนสายตามองอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฝ่าบาทหายตัวไป มีคนกล่าวว่าเขาอาจจะถูกหรงเฟยลักพาตัวกลับไปยังโม่เป่ย ข้ากับท่านอาเล็กจึงเตรียมจะตามไป!”

ฮ่องเต้หายตัวไป? ทั้งยังถูกทั่วป๋าหรงเหยาพาตัวไป?

ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นหญิงสาวนอกด่าน อีกทั้งเพิ่งประสบภาวะคลอดยากจนสูญเสียลูกไป หากจะพูดถึงเรื่องนางกับฮ่องเต้นั้น ก็ยังพอเป็นไปได้อยู่

แต่เหตุใดฉู่อี้เจี่ยนจึงบังเอิญมาอยู่ในวังเช่นกัน? ทั้งยังจะไล่ตามไปพร้อมกับฉู่ฉีเฟิงด้วย?

เหตุบังเอิญเช่นนี้ ไม่อาจทำให้ฉู่สวินหยางละความสนใจไปได้อย่างง่ายๆ

“หรงเฟยเพิ่งจะเสียลูกไป อาจจะมีความคิดสุดโต่งอะไรขึ้นมา เช่นนั้นเสด็จปู่ก็อาจมีอันตรายได้!” พูดจามีเหตุผล ทั้งยังเผยสีหน้ากังวลใจ นางก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งไปให้ฉู่ฉีเฟิง “ข้าไปด้วย!”

น้ำเสียงของนางดูเหย่อหยิ่งทั้งยังเผด็จการ

ฉู่อี้เจี่ยนมองดูจากด้านข้าง ก่อนจะยกมุมปากขึ้นยิ้ม ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา

ฉู่ฉีเฟิงมีสีหน้าลำบากใจ ทว่าทุกคนรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นใครในวังบูรพาก็ยังยากจะรับมือกับท่านหญิงฉู่สวินหยางอยู่ดี

คิดลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็ยื่นมือออกไป “ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องระหว่างทาง!”

“เข้าใจแล้ว!” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม จับมือเขา เตรียมที่จะพลิกกายขึ้นไปบนหลังม้า

กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของนางเร็วเกินไปหรือไม่ก็อะไรสักอย่าง ตอนที่เหยียบโกลนม้าจึงเหยียบพลาด ไถลลงไปในทันที

“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงเรียกนางอย่างตกใจ ก่อนจะพลิกลงจากหลังม้าตามไป

ฉู่สวินหยางนั่งอยู่บนพื้น ประคองข้อเท้าเอาไว้ บนหน้าผากนั้นมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นอยู่เต็ม

“เป็นอย่างไรบ้าง?” แม้ฉู่ฉีเฟิงจะรู้ว่านางจงใจแสร้งแสดงละคร แต่พอยกมือจับ กลับพบว่าข้อเท้านางพลิกจริงๆ

สีหน้าจึงดำคล้ำไปชั่วขณะ ทั้งแฝงด้วยความโมโหอยู่บ้าง

“เป็นอะไรมากหรือไม่?” ฉู่อี้เจี่ยนมองลงมาจากบนด้วยสายตาเรียบนิ่งมาโดยตลอด จึงกล่าวถามเสียงเบา

“ข้อเท้าพลิกเสียแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม ขณะที่พูดก็ประคองฉู่สวินหยางขึ้นมา กล่าวอย่างรีบร้อนกับ

ฉู่อี้เจี่ยนไปพลาง “สวินหยางบาดเจ็บเช่นนี้ ท่านอาเล็กล่วงหน้าไปก่อนดีหรือไม่ ข้าจะกลับวังบูรพาไปส่งนางก่อน แล้วจะรีบติดตามไป!”

ฉู่อี้เจี่ยนมองละครของสองพี่น้องคู่นี้ไม่ออกแต่อย่างใด เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ผงกศีรษะอย่างเรียบเย็นเล็กน้อย “ได้! ข้าจะไปทางประตูเมืองตะวันออก เวลานั้นเจ้าก็ตามข้าไปทางนั้นก็แล้วกัน!”

พูดจบ อย่างไรเขาก็นับว่ายังยอมเชื่อแต่โดยดี ไม่พูดมากอันใดก็หวดแส้ม้านำกองทหารองครักษ์ออกไปก่อน

ฉู่ฉีเฟิงพยุงนางยืนขึ้นมาข้างๆ รอจนพวกเขาจากไปไกลแล้ว ก็ค่อยอุ้มนางขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังวังบูรพา ทั้งกล่าวต่อว่าด้วยความโมโหเล็กน้อยไปพลาง “แค่เล่นละคร เหตุใดจึงต้องทำให้ตัวเองเจ็บจริงๆ เช่นนี้?”

“ข้ากลัวว่าหากดูไม่สมจริง ท่านพี่จะปลีกตัวออกมายาก” ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ พลางเอนนั่งพิงหลังเขา

หลังจากยิ้มไปแล้ว นางก็ประกายสายตาวาบชั่วขณะ มองตามไปยังทางที่กลุ่มของฉู่อี้เจี่ยนลับหายไป กล่าวอย่างเยือกเย็น “เขาจะใช้โอกาสนี้ดึงท่านออกไป เพื่อลงมือระหว่างทางกระมัง?”

ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือว่าประสบการณ์การวางแผน ฉู่อี้เจี่ยนจะล้มฉู่อี้อันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากจะลงมือกับฉู่ฉีเฟิงแล้วก็นับว่ายังมีลุ้นอยู่บ้าง

ดูแล้วเขาคงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจริงๆ ค่อยๆ กำจัดสายเลือดของฉู่เป้ยทีละคนๆ จากนั้นก็ยึดครองอำนาจทั้งหมด

ใบหน้าของฉู่ฉีเฟิงดูเคร่งขรึมขึ้นมา “เจ้าพูดถูก เขายังจดจำเรื่องในครั้งนั้นไว้ในใจอยู่ตลอด หากเพียงเพื่อตำแหน่งฮ่องเต้แล้วก็คงจะจัดการได้ไม่ยาก กลัวเสียแต่ว่า…ใจเขาที่อยากล้างแค้นในเรื่องนี้ จะแฝงไปด้วยความกระหายเลือดอย่างเต็มเปี่ยมแล้วน่ะสิ”

———————-