เริ่มแรกฉู่เป้ยก็รู้ดีว่าบ้านรองสกุลฉู่และเครือญาติต่างก็อยู่ในเมืองหลวงทั้งหมด แต่เพราะความเห็นแก่ตัวก็ยังนำทัพทหารก่อโศกนาฏกรรม สังหารล้างบางสกุลฉู่จนหมดสิ้น ทั้งคนบ้านรองก็ได้ประสบกับเรื่องนี้เป็นกลุ่มแรก ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่
ฉู่อี้เจี่ยนจะแค้นฝังใจเพราะเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด
ดังนั้น ถ้ามองในสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาไม่ได้ต้องการเพียงตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ…
ต้องการกำจัดลูกหลานทั้งหมดของฮ่องเต้ให้สิ้น เพื่อที่จะล้างแค้น
“เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าเขาจะขัดขวางท่านไม่ให้ปลีกตัวออกมาเสียอีก” ฉู่สวินหยางกล่าว น้ำเสียงแฝงมาด้วยความโล่งใจเล็กน้อย
“วังบูรพายังมีท่านพ่ออยู่ หากยังไม่ได้หงายไพ่ใบสุดท้ายอย่างเป็นทางการ อย่างไรเขาก็ต้องเหลือทางรอดไว้ให้ตัวเองอยู่ดี” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ทั้งกลัวว่าบรรยากาศเช่นนี้จะกดดันเกินไป คล้อยหลังจึงหันศีรษะไปคุยกับฉู่สวินหยางด้านหลัง “เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าจะมีคนนำเรื่องข้าไปทูลฝ่าบาท กล่าวว่าข้าไม่รู้จักแยกแยะว่า เรื่องใดสำคัญหรือไม่สำคัญ ในเวลาที่เร่งด่วนเช่นนี้กลับไม่สนใจความปลอดภัยของฝ่าบาท!”
“ถูกคนนำเรื่องไปรายงานต่อฝ่าบาทเช่นนั้นก็ดีกว่าไปตายเช่นนี้ ใครอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถิด” ฉู่สวินหยางแค่นหัวเราะออกมา เพราะไม่คิดเช่นนั้น ครู่ต่อมาก็ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ นัยน์ตานั้นมีเงามืดดำพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อแผนครั้งนี้ของฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้ อีกทั้งยังยอมปล่อยฉู่ฉีเฟิงไปเช่นนี้ เกรงว่าในขณะเดียวกันเขาก็คงจะมีแผนอื่นอยู่ด้วย
ฮ่องเต้ที่มีลูกหลานจำนวนมากมายขนาดนี้ นอกจากพ่อของพวกเขาแล้ว ยามนี้ที่พอจะสูสีก็น่าจะมี…ฉู่ฉีเหยียนเพียงคนเดียวแล้ว
ผู้คนกล่าวว่า ต้นไม้ใหญ่มักจะสูงเด่นสะดุดตาจนใครๆ ก็อยากโค่น…
ไม่รู้เหมือนกันว่าฉู่ฉีเหยียนจะโชคดีสามารถจัดการเรื่องราวในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่
เรื่องการสูญหายของฮ่องเต้ในวังนับเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวสารทั้งหมดย่อมจะถูกปกปิดเอาไว้ เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมา
เวลานี้ฉู่ฉีเหยียนกลับยังไม่รู้อะไรเลย หลังที่แยกจากฉู่สวินหยางแล้วก็พาฉู่หลิงอวิ้นออกจากเมืองอย่างเร่งรีบทันที
เพราะว่าเรื่องนี้ ฉู่หลิงอวิ้นจึงโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ยามที่นั่งบนรถม้าก็เอาแต่จ้องเขาอย่างดุดัน มองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเขาเป็นศัตรูชาติที่แล้วก็มิปาน
ฉู่ฉีเหยียนก็มีท่าทีหงุดหงิดใจไม่น้อย จึงหลับตาสงบจิตสงบจิตพิงกับพนักรถอยู่ตลอด แทบที่จะไม่สนใจต่อสายตาที่มองมาของนางโดยสิ้นเชิง
บาดแผลบนแขนของเขานับว่าลึกมาก หลังจากพันไว้อย่างลวกๆ แม้จะใช้ยาจินซวงไปแล้ว แต่ก็ยังมีรอยเลือดกระจายผ่านผ้าพันแผลออกมาอยู่ดี
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งรู้สึกคับอกคับใจ
นางทนมานานแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกว่ามิอาจสงบใจได้ จึงเอื้อมตัวขึ้นไป ตบประตูรถดังปั่กๆ “หยุดรถ! หลี่หลินหยุดรถเดี๋ยวนี้!”
หลี่หลินที่อยู่ด้านนอกแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนาง
ฉู่หลิงอวิ้นรู้สึกฉุนเฉียว จึงออกแรงผลักประตูนั้น
แต่แรงของหลี่หลินนางจะสู้ไหวได้อย่างไร จึงถูกเขาต้านอยู่หน้าประตูเช่นนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นอับจนปัญญา แหกปากขึ้นมาเสียงดัง ก่อนจะหันกลับไปคว้าชุดชาที่อยู่บนโต๊ะเขวี้ยงออกไปนอกหน้าต่างอย่างเกรี้ยวกราด
เครื่องเคลือบลายครามพวกนั้นปะทะเข้ากับต้นไม้ตามทาง แตกกระจัดกระจายจนเกิดเป็นเสียงดังลั่น
นิสัยท่านหญิงผู้นี้ของตนเป็นอย่างไร หลี่หลินนั้นรู้ดี เขากลัวว่านางจะทำเรื่องมากกว่านี้อีก จึงจำใจต้องหยุดรถไป
เมื่อรถหยุดแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นก็เปิดประตูกระโดดลงไปทันที
เมื่อได้สูดเอาบรรยากาศชื่นเย็นในป่าจากด้านนอกเข้าไป นางจึงรู้สึกใจเย็นลงบ้าง
บนรถนั้น ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก ยังคงนั่งอย่างนั้นอยู่สักพัก ค่อยจัดชุดคลุมก่อนจะตามลงไป
“เจ้าเป็นอะไรกันแน่?” ฉู่หลิงอวิ้นย้อนถามอย่างโมโห เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหันมาจากที่เดิม “โอกาสดีอย่างนี้ เจ้ากลับปล่อยพวกเขาไป ฉู่ฉีเหยียน เจ้าเปลี่ยนเป็นคนอ่อนไหวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ฉู่ฉีเหยียนมองนาง ทำเป็นว่าไม่ได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจนั้นของนาง กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าราบเรียบ “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าสักคำ ในเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นมากมายเช่นนี้ จู่ๆ เจ้ากลับมาทำไมกัน? เจ้าไม่รู้หรือว่าหากมีคนจับได้ ท่านพ่อจะเดือดร้อนไปด้วย?”
“หากข้าไม่กลับมาเอง กลัวเสียแต่ว่าหากตายอยู่ที่นั่นจริงๆ พวกเจ้าก็คงไม่มีใครสนใจไยดีข้าน่ะสิ” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว พูดถึงเรื่องนี้ก็คล้ายจะน้อยใจอยู่บ้าง แต่แค่ประเดี๋ยวเดียว นางก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึม “สองแม่ลูกคนแซ่ฟางนั้นมีอะไรซ่อนไว้อยู่จริงๆ ด้วย เหตุใดเจ้าไม่ถือโอกาสจับตัวนางไว้เพื่อเค้นถามเรื่องราว ปล่อยเสือเข้าป่าเช่นนี้ ไม่เร็วก็ช้าคงมิวายต้องเกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่”
ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่สนใจนาง ยังคงยืนกรานถามอยู่อย่างนั้น “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่า เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลับมา!”
“ข้า…” ฉู่หลิงอวิ้นอ้าปากค้าง เห็นใบหน้าที่มีโทสะของเขา น้ำเสียงจึงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว สะบัดกระโปรงไปด้านข้าง ทั้งหลีกออกมาสองก้าว “ข้าเคยบอกไปแล้วว่าเรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
ฉู่ฉีเหยียนมองใบหน้าด้านข้างของนาง ทั้งยังเห็นนางมีท่าทีหลบหลีก ฉับพลันนั้นเขาก็คิดอะไรออก จึงกล่าวถามออกไป “สาวใช้สองคนของเจ้าล่ะ?”
“เจ้าจะยุ่งกับพวกนางไปทำไม?” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าวอย่างไม่ยินดี
ฉู่ฉีเหยียนมองไปที่ใบหน้าครึ่งซีกของนาง ไม่กล่าวอะไร เพียงแค่จ้องมองอยู่อย่างนั้น
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สายตาเช่นนี้ของเขามีแรงกดดันมหาศาลอย่างแท้จริง ฉู่หลิงอวิ้นถูกเขาจ้อง ก็เริ่มที่จะทนไม่ได้ กล่าวออกไปอย่างหงุดหงิด “พวกเจ้าโยนข้าทิ้งไว้ที่นั่นไม่แม้แต่จะไถ่ถามอันใด ทั้งเจ้าสองคนนั่นนับวันก็ยิ่งขัดหูขัดตา ไม่กี่เดือนมานี้ จื่อซวี่จู่ๆ ก็ป่วยออดๆ แอดๆ ข้าเห็นแล้วหงุดหงิด จึงส่งนางลงเขาไปพำนักในหมู่บ้านแถวนั้น ส่วนจื่อเหวย…ข้าให้นางกลับจวนไปส่งข่าวให้ท่านแม่ แต่ท่านแม่ยังไม่ทันมา ข้าก็พบเข้ากับเจ้าเสียก่อน!”
ฉู่ฉีเหยียนจ้องมองนาง พยายามคาดเดาความน่าเชื่อถือจากท่าทีของนาง
“เจ้าไม่ได้เจอจื่อซวี่มานานเท่าไรแล้ว?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวถาม
“น่าจะประมาณสามเดือนกว่าแล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเรื่องของสาวใช้นางหนึ่งเท่านั้นจึงไม่ได้สนใจอะไร “เห็นอยู่ว่าสีหน้าก็สดใส ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาไม่หยอก แต่กลับอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ทั้งวัน เจ้าพวกคนใช้การไม่ได้!”
ฉู่ฉีเหยียนได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็มืดมนลงอย่างแปลกประหลาด กระทั่งยังแฝงมาด้วยความเย็นเยียบ
หลี่หลินเห็นท่าทีนั้นของเขา จึงครุ่นคิดตามอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักพัก หน้าก็เปลี่ยนสีโดยพลัน อดที่จะตกใจไม่ได้ “ซื่อจื่อ หรือว่า…”
เขาพูดได้แค่ครึ่งเดียว ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ
ฉู่หลิงอวิ้นรู้สึกมึนงง จึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ยินดี
ฉู่ฉีเหยียนปิดตาลงไปทันที ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน…
มิน่าเล่า ไม่ว่าเขาจะพลิกฟ้าเสาะหาจางอวิ๋นอี้อย่างไรก็ไม่พบเบาะแสสักนิด ทั้งฉู่สวินหยางยังแสดงท่าทีราวกับไม่กลัวสิ่งใด มั่นใจว่าเขาต้องไม่กลับมาอย่างแน่นอน
จื่อซวี่ล้มป่วย? สุดท้ายยังไม่มาปรากฏให้ฉู่หลิงอวิ้นเห็นหน้าอยู่หลายเดือน?
ฉู่หลิงอวิ้นก็นับว่าเป็นคนที่หลักแหลมมาโดยตลอด ทว่ากับเรื่องนี้สุดท้ายแล้วกลับยังโง่เขลาเช่นนี้…
“ออกเดินทางไปวัดก่วงเหลียนเดี๋ยวนี้!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวทั้งกำหมัดแน่น
หลี่หลินนั้นเห็นได้ชัดว่าคิดเชื่อมโยงเรื่องนี้ได้แล้วก็ไม่ชักช้า
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นอย่างนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา พุ่งพรวดเข้าไปขวางทางฉู่ฉีเหยียนไว้ กล่าวอย่างโมโห “ฉู่ฉีเหยียน หากวันนี้เจ้าจะให้ข้ากลับไป ข้าก็ไม่ขัดอะไร แต่เจ้าต้องพูดให้ข้าเข้าใจชัดเจนเสียก่อน เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่เป็นคนประเภทใจกว้างที่จะปล่อยให้พวกวังบูรพาอยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้? แต่ตั้งแต่ที่เจ้าไปทำราชกิจที่เมืองฉู่กลับมา ความคิดของเจ้าก็เปลี่ยนไป แทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เจ้ากำลังรอเวลาจริงๆ หรือว่าจงใจถ่วงเวลาไว้เพราะยังลังเลกันแน่? หากว่าเจ้าไม่คิดอธิบายให้ข้าเข้าใจ วันนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปที่นั่นเลย”
หลังจากฉู่ฉีเหยียนกลับมาจากเมืองฉู่ ก็แทบที่จะไม่เคลื่อนไหวทำอะไรกับวังบูรพา แม้จะอาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะลงมือจริงๆ แต่ถึงฉู่ฉีเหยียนรอได้ ทว่าฉู่หลิงอวิ้นกลับรอไม่ไหวอีกแล้ว
“เจ้าคิดมากไปแล้ว รีบขึ้นรถเดี๋ยวนี้!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ยื่นมือไปคว้าแขนนาง
ฉู่หลิงอวิ้นถอยหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ยิ่งจ้องตาเขาอย่างโมโห “วันนี้เจ้าอย่าได้คิดว่าจะทำอะไรข้าได้ เจ้าพูดมา…เหตุใดวันนี้เจ้าจึงต้องออมมือให้นังนั่น?”
แม้ว่าจะปล่อยคนแซ่ฟางให้หนีรอดไปได้ แต่เดิมทีฉู่สวินหยางก็นับว่าไม่ใช่คู่ประมือของฉู่ฉีเหยียนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายฉู่ฉีเหยียนกลับยอมถอย เชื่อฟังอย่างง่ายดายเช่นนั้น?
———————-